23 กรกฎาคม 2568

MongoDB Transactions with mongosh: A Step-by-Step Guide

MongoDB Transactions with mongosh: A Step-by-Step Guide

MongoDB transactions allow you to execute multiple operations as a single, atomic unit. This means either all operations within the transaction succeed and are applied to the database, or if any operation fails, all changes are rolled back. This guide will walk you through the process using the mongosh shell.



Prerequisites

Before you begin, ensure you have:
  • A running MongoDB instance (version 4.0 or higher, as transactions were introduced in 4.0).
  • mongosh (MongoDB Shell) installed and connected to your MongoDB instance.
  • A sample database and collection. For this guide, we'll assume a database named a_test and a collection named student.
Let's start by ensuring we have some initial data in our student collection:

// Switch to the database 
use a_test; 

 // Insert a sample document if it doesn't exist 
db.student.insertOne({ _id: "s1", name: "Alice", age: 10, grade: "A" }); 

 // Verify the initial data 
db.student.findOne({ _id: "s1" });



Step-by-Step Transaction Example

Follow these steps to perform a transaction:

1. Create a MongoDB Session

Transactions in MongoDB are associated with a session. First, you need to create one.

// Create a new client session 
session = db.getMongo().startSession();


2. Start the Transaction

Once the session is created, you can initiate a transaction on it. It's good practice to define readConcern and writeConcern for the transaction to ensure data consistency and durability.

  • readConcern: { "level": "snapshot" }: Ensures that reads within the transaction see a consistent snapshot of the data, preventing dirty reads and non-repeatable reads.
  • writeConcern: { "w": "majority" }: Ensures that write operations are acknowledged by the majority of the replica set members, providing strong durability guarantees.
// Start the transaction with specified read and write concerns 
session.startTransaction({ 
  "readConcern": { "level": "snapshot" }, 
  "writeConcern": { "w": "majority" } 
});


3. Get the Collection within the Session

All operations within the transaction must be performed on collections obtained through the session object.

// Get the 'student' collection from the 'a_test' database within the session
coll = session.getDatabase('a_test').getCollection('student');



4. Check Data (Pre-Update)

You can perform read operations within the transaction. This read will reflect the state of the data before any modifications made within the current transaction, but it will see the latest committed data from outside the transaction.

// Find the document with _id "s1" 
coll.findOne({ _id: "s1" }); 

// Expected output (assuming initial state): { _id: "s1", name: "Alice", age: 10, grade: "A" }


5. Update Data within the Transaction

Now, perform your write operation. This change is not yet visible to other sessions or outside this transaction. It's only staged within the current transaction's context.

// Update the 'age' field for the document with _id "s1" 
coll.findOneAndUpdate({ _id: "s1" }, { $set: { age: 11 } });


6. Check Data Again (Within Transaction)

If you check the data again within the same transaction, you will see the updated value. This demonstrates that changes are visible locally within the transaction's scope before being committed globally.

// Check the document again within the transaction 
coll.findOne({ _id: "s1" }); 

// Expected output: { _id: "s1", name: "Alice", age: 11, grade: "A" }


7. Global Verification (Before Commit/Abort)

To confirm that the changes are not yet public, open a new mongosh window or session and query the same document. You will see the original age value.

// In a NEW mongosh window/session: 
use a_test; 
db.student.findOne({ _id: "s1" }); 

// Expected output: { _id: "s1", name: "Alice", age: 10, grade: "A" }



Finalizing the Transaction: Abort or Commit

You have two options to finalize the transaction: aborting it (rolling back changes) or committing it (making changes permanent).

Option A: Abort Transaction (Rollback)

If you decide to cancel the changes made within the transaction, you can abort it. All modifications made since startTransaction() will be discarded.

// Abort the transaction 
session.abortTransaction();
print("Transaction aborted. Changes rolled back.");


After aborting, verify the result in the global database. The data will revert to its state before the transaction began.

// Verify the result in the global database (in any mongosh window) 
use a_test; 
db.student.findOne({ _id: "s1" }); 

// Expected output: { _id: "s1", name: "Alice", age: 10, grade: "A" }


Option B: Commit Transaction (Apply Changes)

If the operations within the transaction were successful and you want to make the changes permanent and visible to all other sessions, you commit the transaction.

// Commit the transaction 
session.commitTransaction(); 
print("Transaction committed. Changes applied to the database.");


After committing, verify the result in the global database. The data will now reflect the changes made within the transaction.

// Verify the result in the global database (in any mongosh window) 
use a_test; 
db.student.findOne({ _id: "s1" }); 

// Expected output: { _id: "s1", name: "Alice", age: 11, grade: "A" }



Important Notes on Transactions
  • Replica Sets Only: Transactions are only supported on replica sets. They are not available on standalone MongoDB instances.
  • Sharded Clusters: Transactions are also supported on sharded clusters starting from MongoDB 4.2.
  • Size Limitations: There are limitations on the number of operations and total document size within a single transaction.
  • Error Handling: In a real application, you would wrap transaction operations in try-catch blocks to handle potential errors and ensure abortTransaction() is called if an error occurs.
  • Session Management: Always ensure you close or end sessions properly in your application code to free up resources. In mongosh, the session is automatically managed when you close the shell or if it's explicitly ended.

This guide provides a foundational understanding of using transactions in MongoDB with mongosh.

กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)



 


ที่มา กอช



21 กรกฎาคม 2568

คำคม เรื่องเล่าและนิทาน VI - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในแวดวงของเหล่า “VI” นั้น พวกเราก็มีคำคม เรื่องเล่า และนิทาน ที่เป็นอุทาหรณ์สอนวิธีดำเนินชีวิตด้านการลงทุนแบบ VI มากมาย เรื่องราวเหล่านั้นมักจะถูกกล่าวโดยกูรูหรือเซียน VI ระดับโลกและก็มักจะถูกอ้างอิงพูดซ้ำกันต่อ ๆ มาจนบางทีก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกล่าวคนแรก นอกจากนั้นก็อาจจะมีเพี้ยนไปบ้างในรายละเอียด อย่างไรก็ตาม สาระสำคัญก็มักจะยังเหมือนเดิม ลองมาดูกันว่าผมพอจะจำเรื่องไหนได้บ้าง

เรื่องแรกที่ผมเคยอ่านมานานมากตั้งแต่เข้าวงการ VI ใหม่ ๆ ก็คือการลงทุนในน้ำมันที่น่าจะกำลังบูมจัดในยุคนั้น ซึ่งในวันนี้ผมจะเปลี่ยนเป็น “ทอง” แทน เรื่องมีอยู่ว่า

เซียนและเศรษฐีนักเล่นทองตายลงอย่างกะทันหัน เขาเดินเข้าไปในแดนของสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของคนที่ได้ทำความดีจนได้อยู่ในสวรรค์หลังจากความตาย เซียนเข้าพบกับเซ็นต์ปีเตอร์ซึ่งเป็นผู้ดูแลสมาชิกทั้งหมดและขอเข้าไปอยู่บนสวรรค์ด้วย แต่เซ็นต์ปีเตอร์ตอบว่าทุกห้องเต็มหมด และไม่มีใครย้ายออกไปเลย ถ้ามีใครออกไป เซียนก็จะมีสิทธิเข้าไปอยู่ในสวรรค์แทน

เซียนทองไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ก่อนที่จะจากไปได้ขอเซ็นต์ปีเตอร์พูดเพียง 3-4 คำ ซึ่งเขาก็ตะโกนเสียงดังไปทั่วสวรรค์ว่า “มีทองอยู่ในนรก”

ทันใดนั้น สวรรค์ก็แตกตื่น ทุกคนต่างแห่กันออกจากสวรรค์และมุ่งหน้าไปสู่นรก เซ็นต์ปีเตอร์รู้สึกทึ่งมาก และก็บอกกับเซียนทองว่า ตอนนี้สวรรค์ว่างแล้ว เชิญท่านเข้าไปเลือกห้องอยู่ได้เลย

เซียนทองเองก็รู้สึกทึ่งมากเช่นกัน เขามองหน้าเซ็นต์ปีเตอร์แล้วตอบว่า ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะไปพร้อมกับพวกเขา คงมีทองมากมายในนรกจริง ไม่อย่างนั้นทุกคนจะแห่กันไปอย่างนั้นเหรอ?

นิทานเรื่องนี้ ให้ข้อคิดว่า เวลาที่ตลาดการลงทุนบูมจัด และคนกำลังแห่กันเข้าไปซื้อสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์นั้น แม้แต่คนที่ปั่นหุ้นหรือสินทรัพย์หรือสร้างเรื่องนั้นเอง ก็ยังเชื่อว่ามันเป็นสินทรัพย์หรือหุ้นที่ดีสุดยอดจริง ๆ และกลับเข้าไปเล่นอย่างบ้าคลั่ง ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะคือ “นรก”

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าทองหรือคริปโต หรือแม้แต่หุ้นเท็คขนาดใหญ่ที่ขึ้นมาแรงมาก ๆ ในช่วงเร็ว ๆ นี้กำลังจะตกลงมาแรงนะครับ นี่เป็นแค่ข้อเตือนใจ

นิทานเรื่องที่สองคือ “เจ้าชายกบ” นิทานเด็กชื่อดังที่วอเร็น บัฟเฟตต์ชอบพูดถึงเวลาที่คนบอกว่าหุ้นจะเปลี่ยน “พื้นฐาน” หรือเป็นหุ้น “Turnaround” หรือหุ้นฟื้นตัว โดยเปรียบบริษัทหรือกิจการเหมือนกับ “เจ้าชายกบ” ในนิทานที่เป็นเจ้าชายแต่ถูกสาบให้เป็นกบ ที่เมื่อถูกเจ้าหญิงจูบ ก็จะฟื้นหรือแปลงกลับมาเป็นเจ้าชายรูปงาม และแต่งงานกัน

บัฟเฟตต์บอกว่า เขาเจอมามาก ในชีวิตจริง “กบ” หรือกิจการที่ไม่ดีหรือเป็นกิจการ “เจ๊ง” และเราหวังว่าเราเข้าไปซื้อหรือเข้าไปปรับปรุงหรือ “จูบ” แล้วมันจะแปลงเป็น “เจ้าชาย” นั้น แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น หรือ “จูบ” กี่ตัว ๆ มันก็ยังเป็นกบอยู่นั่นเอง และนั่นก็ทำให้บัฟเฟตต์ไม่สนใจลงทุนในหุ้นคุณภาพแย่หรือหุ้น Turnaround เขายังพูดด้วยว่า “Turnaround seldom Turnaround”

แม้แต่กิจการสิ่งทอของเบิร์กไชร์ที่มีผู้บริหารที่ดีและเก่งมากที่พยายามแก้ปัญหาความตกต่ำของธุรกิจมานานมากในที่สุดก็ต้องปิดตัวลง ไม่สามารถ Turnaround หรือฟื้นตัวได้ และนั่นนำมาสู่คำคมของบัฟเฟตต์อีกคำหนึ่งนั้นก็คือ
“When a management with a reputation for brilliance tackles a business with a reputation for bad economics, it is the reputation of the business that remain intact”

คำแปลก็คือ เมื่อผู้บริหารที่มีชื่อเสียงดีเด่นเข้ามาจัดการปัญหาของธุรกิจที่มีชื่อเสียงว่าแย่มาก สิ่งที่จะเหลืออยู่ก็คือชื่อเสียงของธุรกิจ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ชื่อเสียงของผู้บริหารที่ว่าดีเด่นก็จะหายไป เพราะแก้ปัญหาไม่ได้

บทเรียนก็คือ เวลาจะลงทุนในหุ้นบริษัทไหน ให้ดูว่าธุรกิจดีหรือเปล่า อย่าไปคิดว่าผู้บริหารเก่งมากที่จะนำพาให้บริษัทดีเด่นหรือดีต่อไปเรื่อย ๆ

พูดถึงเรื่องนี้คนจำนวนมากคิดว่าบัฟเฟตต์ถือว่าผู้บริหารคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุนในหุ้นของบริษัท เพราะบัฟเฟตต์มักจะ “ชม” ผู้บริหารของบริษัทที่เขาถือหุ้นเสมอว่าเป็น “สุดยอด” แต่ผมเชื่อว่านั่นเป็นกลยุทธ์ในการ “บริหารงานบุคคล” ของบัฟเฟตต์ มากกว่าที่จะเป็นเงื่อนไขในการลงทุนในตัวกิจการของเขาที่เน้นว่า บริษัทเป็นกิจการที่ต้องดีก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าไม่ดียังไงก็ไม่เอา

ว่าที่จริงปีเตอร์ ลินช์ เซียนหุ้นนักบริหารกองทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งก็เชื่อเหมือนกันว่าผู้บริหารนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องเก่งหรือยอดเยี่ยมในกรณีที่บริษัทดีเยี่ยมอยู่แล้ว เขาพูดว่า “Go for business that any idiot can run- because sooner or later any idiot probably is going to run it.” แปลว่า ลงทุนในธุรกิจที่คนทึ่มก็ยังบริหารได้ เพราะว่าไม่ช้าก็เร็ว จะมีคนทึ่มที่อาจจะเข้ามาบริหารมัน

คำคมที่ผมชอบคำหนึ่งที่เริ่มเห็นว่าเป็นจริงมากขึ้นมากในช่วงเร็ว ๆ นี้ในตลาดหุ้นไทยคือคำของชาร์ลี มังเกอร์ คู่หูบัฟเฟตต์ที่พูดว่า มีเพียง 3 สิ่งที่ผู้ชายที่ฉลาดจะหมดตัวได้นั่นคือ 1) แอลกอฮอร์ 2) ผู้หญิง และ 3) การใช้เงินกู้ในการทำธุรกิจ หรือ “There is only three ways a smart person can go broke: liquor, ladies and leverage”

สำหรับนักลงทุนก็คือ ข้อ 3) คือการซื้อหุ้นโดยใช้มาร์จินจำนวนมากหรือใช้เครื่องมือในการขยายการลงทุนเกินตัวมากเช่น บล็อกเทรด เป็นต้น ที่ทำให้สามารถเพิ่มผลตอบแทนมหาศาลในยามที่คิดถูกและสถานการ์เอื้ออำนวย แต่ในยามที่คิดผิดและสถานการณ์เลวร้ายถูก Force Sell ก็อาจจะทำให้เกิดหายนะได้ในชั่วข้ามคืน

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เป็นแนวของ VI ที่มักจะเน้นถึงการดูตัวธุรกิจเป็นหลัก แต่ในด้านของการ “เทรดหุ้น” แนวเก็งกำไรนั้น เราก็ควรจะเรียนรู้บ้างจากเซียนหุ้นนักเก็งกำไรระดับโลกว่าเขามีความคิดอย่างไร ซึ่งคนแรกนั้นก็คือ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ ที่ชอบพูดเสมอว่า นักเก็งกำไรที่จะชนะจริง ๆ นั้น ไม่ใช่คนที่จะเทรดหรือซื้อขายหุ้นทุกวัน หรือแม้แต่ทุกเดือน เขาพูดว่า

“There is time to go long, time to go short and time to go fishing.” ซึ่งแปลว่า ในการเล่นหุ้นนั้น “มีบางช่วงที่เราจะซื้อหุ้นลงทุน บางช่วงเราก็ขายช้อร์ต และบางช่วงเราก็ไปตกปลา” คือไม่ทำอะไร อยู่เฉย ๆ

เขายังบอกว่า หลังจากการใช้ชีวิตยาวนานมากในวอลสตรีท ทำกำไรและขาดทุนเงินเป็นล้าน ๆ ดอลลาร์ ผมอยากจะบอกพวกคุณว่า “It never was my thinking that made the big money for me. It always was my sitting. Sitting tight!”

คำแปลก็คือ “มันไม่ใช่เรื่องของการใช้ความคิดเลยที่ทำให้ผมได้กำไรมาก ๆ แต่มันคือการนั่ง นั่งเฉย ๆ ที่ทำให้ผมรวย” ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับนักเก็งกำไรทั้งหลายที่มักจะเชื่อว่า จะต้องซื้อ-ขายหุ้นตลอดเวลา เข้าออกเร็วและถูกจังหวะถึงจะสามารถเอาชนะได้ในเกมเล่นหุ้นหรือลงทุน

คำคมที่มีชื่อเสียงอีกอันหนึ่งเป็นของจอร์จ โซรอส ที่พูดว่า “It’s not whether you’re right or wrong that’s important, but how much money you make when you’re right and how much you lose when you’re wrong.” ซึ่งแปลว่า “มันไม่สำคัญว่าคุณจะผิดหรือถูกในการซื้อ-ขายหุ้น สิ่งที่สำคัญก็คือ คุณกำไรแค่ไหนเมื่อคุณคิดถูกและขาดทุนแค่ไหนเวลาคุณคิดผิด”

สำหรับโซรอสแล้ว นี่คือสูตรสำคัญของเขา คือเขาจะพยายามประเมินก่อนว่าหุ้นหรือหลักทรัพย์น่าสนใจหรือแข็งแกร่งขนาดไหนก่อนที่จะซื้อลงทุนมาก ๆ ที่จะทำให้เขาได้กำไรมาก ๆ โดยวิธีที่เขาทำนั้น ถ้าเขาอยากจะซื้อ เขาอาจจะขายช้อร์ตแบบแรง ๆ ไปล็อตหนึ่งก่อนเพื่อที่จะดูว่ามีคนกำลังเล่นหุ้นหรือหลักทรัพย์ตัวนั้นไหม ถ้าหุ้นตกก็อาจจะเป็นสิ่งที่แสดงว่าเขาจะเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้นมาก ๆ ไม่ได้ เขาอาจจะกำไรหรือขาดทุนจากหุ้นตัวนั้นเล็ก ๆ น้อยซึ่งเขาก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าหุ้นไม่ตอบสนองกับการขายช้อร์ตของเขา คือหุ้นไม่ลงเลย เขาอาจจะเข้าไปซื้อลงทุนได้เต็มที่และกำไรอย่างงดงามเป็นกอบเป็นกำ



20 กรกฎาคม 2568

ให้แล้วสุข เส้นทางแห่งการแบ่งปันที่เติมเต็มชีวิต


ผมได้รับการปลูกฝังเรื่อง "การทำความดี" มาตั้งแต่เด็กเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการที่คุณพ่อคุณแม่พาเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม การสอนให้รู้จักการบริจาคเงินทำบุญทำทาน การปล่อยนกปล่อยปลา หรือแม้แต่การให้อาหารสัตว์จรจัด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้ผมซึมซับและเข้าใจถึงความสุขที่ได้จากการเป็นผู้ให้

พอเริ่มก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ผมก็ยังคงสานต่อเจตนารมณ์นี้ครับ ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม CSR (Corporate Social Responsibility) ของบริษัทอยู่เสมอ ได้เป็นอาสาสมัครในโครงการต่างๆ บริจาคเลือดเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย หรือแม้แต่การอุดหนุนลอตเตอรี่การกุศลเพื่อช่วยเหลือคนพิการและผู้ยากไร้ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนการเติมเต็มชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง นอกเหนือจากความสำเร็จในหน้าที่การงาน

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมได้รู้จักกับการให้ในอีกมิติหนึ่งคือช่วงปี 2020 ครับ ตอนนั้นผมได้มารู้จักกับแพลตฟอร์ม "เทใจดอทคอม" ซึ่งพอได้ศึกษาดูแล้วรู้สึกทึ่งมาก เพราะที่นี่เราสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดว่าเงินบริจาคของเราถูกนำไปใช้ในโครงการต่างๆ อย่างไรบ้าง มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน ทำให้ผมมั่นใจได้อย่างเต็มเปี่ยมว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราตั้งใจบริจาคไปนั้น จะส่งตรงถึงมือผู้รับอย่างแท้จริง และโอกาสที่จะเกิดการทุจริตก็น้อยมาก ทำให้ผมหมดความกังวลและกล้าที่จะบริจาคอย่างสบายใจ

หลังจากนั้น ผมก็ตั้งใจบริจาคเงินผ่านเทใจดอทคอมอย่างสม่ำเสมอครับ พยายามทำให้ได้ทุกเดือนเท่าที่กำลังจะอำนวย และคิดว่าจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ชีวิตไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง เพราะผมเชื่อมั่นว่า การแบ่งปันน้ำใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินก้อนใหญ่เสมอไป แค่แบ่งปันอย่างสม่ำเสมอก็สร้างผลกระทบเชิงบวกได้มหาศาลแล้ว

นอกจากการบริจาคเงินแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่ผมทำมาอย่างต่อเนื่องคือ การบริจาคเลือดกับสภากาชาดไทย ครับ ผมพยายามไปบริจาคทุกๆ 3 เดือนเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย เพราะผมเชื่อว่าเลือดของเราสามารถต่อชีวิตใครอีกหลายคนได้จริง แค่สละเวลาไม่กี่นาที ก็สามารถสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว

และอีกหนึ่งช่องทางที่ผมใช้ในการช่วยเหลือสังคม คือการซื้อลอตเตอรี่ดิจิทัลกับผู้พิการผ่านแอปฯ เป๋าตัง ครับ นอกจากจะได้ลุ้นโชคเล็กๆ น้อยๆ แล้ว ยังเป็นการอุดหนุนพี่น้องผู้พิการโดยตรงอีกด้วย ส่วนตัวเลขที่ผมจะมองหาก็หนีไม่พ้น เลขเด็ดประจำตัวของผมเองนั่นแหละครับ คือ 248 และ 753 ไม่ปิดบังเลย! (ฮ่าๆๆ) ถือเป็นการทำบุญที่ได้ลุ้นไปในตัว

ผมมองว่าการจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งมาบริจาคอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้มีแค่ประโยชน์กับผู้รับเท่านั้นนะครับ แต่ยังมีข้อดีมากมายสำหรับตัวเราเองด้วย นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือสังคมแล้ว ยังเป็นการให้ที่สะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องใช้เวลามากมาย และที่สำคัญคือไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนจนเกินตัว นอกจากนี้ การบริจาคเงินผ่านมูลนิธิหรือองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ถือเป็นประโยชน์สองต่อที่ทำให้การให้ยิ่งคุ้มค่า

สำหรับแนวทางในการบริจาคของผมนั้น ผมจะเน้นไปที่โครงการที่เกี่ยวข้องกับ การช่วยเหลือสัตว์ ที่ถูกทอดทิ้งหรือเจ็บป่วย โครงการที่มุ่งเน้นการดูแล สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ปลูกป่า หรือการอนุรักษ์ธรรมชาติ และสุดท้ายคือโครงการที่ให้ความช่วยเหลือผู้ยากไร้และด้อยโอกาสในสังคม เพราะผมเชื่อว่าการช่วยเหลือในด้านเหล่านี้ เป็นการสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืนขึ้นได้อย่างแท้จริงครับ

ดูสรุปการบริจาคเงินแต่ละปี ได้ที่ Link

19 กรกฎาคม 2568

ภาษี e-Payment เงินโอนเข้าบัญชีกี่ครั้ง สรรพากรถึงจะตรวจสอบ?

ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือคนทำธุรกิจ ที่มีเงินโอนเข้าบัญชีอยู่บ่อยครั้ง หากเข้าเกณฑ์ของกฎหมาย e-Payment ธนาคารมีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลรายงานกับกรมสรรพากร โดยเริ่มนับยอดเงินเข้าธนาคาร ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. ของทุกปี ดังนี้
  1. มีการฝากหรือรับโอนเงิน 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปี ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะเท่าไหร่ก็ตาม (นับรวมทุกบัญชีของแต่ละธนาคารนั้นๆ)
  2. มีการฝากหรือรับโอนเงิน 400 ครั้งขึ้นไปต่อปีและมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาท ขึ้นไป



ตัวอย่าง
  1. เงินเข้า 500 ครั้ง ยอดเงิน 1.5 ล้านบาท = ไม่ถูกส่งข้อมูล
  2. เงินเข้า 200 ครั้ง ยอดเงิน 10 ล้านบาท = ไม่ถูกส่งข้อมูล
  3. เงินเข้า 4,000 ครั้ง ยอดเงิน 1 แสนบาท = ถูกส่งข้อมูล




15 กรกฎาคม 2568

วินัยการเงินในวันนี้สร้างเศรษฐีในวันหน้า เคล็ดลับ 10 ประการสำหรับสอนการเงินกับเด็ก

วินัยการเงินในวันนี้สร้างเศรษฐีในวันหน้า เคล็ดลับ 10 ประการสำหรับสอนการเงินกับเด็ก



ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเงินเป็นสิ่งที่ปลูกฝังกันได้ตั้งแต่เยาว์วัย ผู้ที่สามารถสอนการเงินกับเด็กได้ไม่ได้มีเพียงแต่คุณครูในรั้วโรงเรียน ผู้ปกครองของเด็กสามารถสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจของเด็กที่มีต่อการเงินได้ตั้งแต่ในบ้าน ยิ่งเด็กได้เรียนรู้การเงินจากคนในบ้านมากมายเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงมั่นคงให้แก่เด็กได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ในครั้งนี้ ลงทุนศาสตร์ขอนำเสนอเคล็ดลับ 10 ประการสำหรับสอนการเงินกับเด็ก ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ [1, 2, 3]



ข้อแรก สอนให้เด็กเข้าใจความต่างระหว่างความต้องการและความจำเป็น เด็กจะมีพื้นฐานการเงินที่ดีได้จากความเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จำเป็นเสมอไป หากทำความเข้าใจได้ระหว่างสิ่งที่ขาดไม่ได้ และสิ่งที่แค่อยากได้ ย่อมทำให้เด็กสามารถทำความเข้าใจความต้องการของตนเอง และจัดการการเงินได้อย่างเหมาะสม



ข้อสอง ให้เด็กเป็นผู้ควบคุมการเงินของตนเอง ผู้ปกครองบางท่านอาจเลือกที่จะควบคุมการเงินของเด็กทั้งหมด แต่การให้อิสระกับเด็กในการควบคุมเงินจะทำให้เด็กรู้ถึงคุณค่าของเงินอย่างชัดเจนด้วยตนเอง และเรียนรู้ที่จะบริหารเงินด้วยตัวเองได้อย่างมั่นใจ



ข้อสาม ฝึกให้เด็กตั้งเป้าหมายในการเก็บออม หากต้องการให้เด็กรู้จักเก็บออม ต้องสร้างเป้าหมายในการออมให้กับเด็กด้วย เพื่อให้เด็กได้มีแรงจูงใจในการเก็บเงินได้อย่างเหมาะสม



ข้อสี่ หาที่เก็บเงินให้กับเด็กอย่างปลอดภัย มองหากระปุกออมสินน่ารักที่เด็กชื่นชอบ หรือพาเด็กไปทำความรู้จักกับการเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อให้เด็กมีแรงจูงใจในการฝากเงิน และรู้สึกว่าการเก็บเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว



ข้อห้า สอนให้เด็กได้รู้จักวิธีจดบันทึกรายรับรายจ่ายของตนเอง การมีบันทึกรายรับรายจ่ายทำให้เด็กมองเห็นเส้นทางความเคลื่อนไหวเงินของตนเอง และรู้จักพิจารณาการใช้จ่ายของตนเองได้มากขึ้น



ข้อหก ให้เงินสนับสนุนการออมของเด็กเป็นรางวัล หากเด็กเก็บออมได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ท่านอาจมอบเงินสนับสนุนให้เด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกดีกับการเก็บเงินได้ถึงเป้าหมาย



ข้อเจ็ด หากเด็กต้องการใช้เงินซื้อของที่มีราคาแพง ท่านอาจลองให้เด็กได้ยืมเงินและทยอยผ่อน ผู้ปกครองสามารถจำลองการเป็นเจ้าหนี้ และให้เด็กลองเป็นลูกหนี้ที่ทยอยผ่อนจ่าย เพื่อให้เด็กเข้าใจวงจรทางการเงินได้มากขึ้น



ข้อแปด พูดคุยเรื่องการเงินกับเด็กอยู่เสมอ ทำให้บรรยากาศการพูดคุยเรื่องการเงินเป็นเรื่องปกติธรรมดา และระวังอย่าเข้มงวดมากเกินไปจนตึงเครียด



ข้อเก้า ให้โอกาสเด็กได้ลองทำผิดพลาดดูบ้าง อย่าตำหนิเด็กอย่างรุนแรงหากว่าเด็กไม่สามารถเก็บเงินได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ปล่อยให้เด็กได้ลองผิดลองถูกจนกว่าจะเข้าใจความสำคัญของการเก็บเงินได้ด้วยตนเอง ผู้ปกครองทำได้ดีที่สุดด้วยการประคับประคอง ไม่ใช่การบังคับให้เป็นไปตามต้องการ



ข้อสุดท้าย ผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างวินัยทางการเงิน คำสอนใดใดก็ไร้ความหมายหากผู้ปกครองไม่อาจเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กเห็น



การปลูกฝังพื้นฐานการเงินให้กับเด็กในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับเด็กอย่างมากในวันข้างหน้า ลงทุนศาสตร์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเด็ก ๆ ที่ได้เติบโตมาจะมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแรง จากการปลูกฝังความรู้ทางการเงินจากที่บ้านอย่างต่อเนื่อง



ที่มา ลงทุนศาสตร์ – Investerest

14 กรกฎาคม 2568

หุ้นโลก (all time) Hi หุ้นไทย (long time) Lo - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

หุ้นโลก ซึ่งดัชนีหลัก ๆ ก็คือ S&P500 Nasdaq และดัชนี Dow Jones ต่างก็ปรับตัวขึ้นจน “สูงสุดในประวัติศาสตร์” หรือใกล้จุดสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว และก็เช่นเดียวกับหุ้นในหลาย ๆ ตลาดที่นักลงทุนติดตามกันเช่น ญี่ปุ่นหรือแม้แต่จีนฮ่องกงเอง ที่อดีตเคยซบเซาเงียบเหงามานาน ในระยะเร็ว ๆ นี้ ดัชนีหุ้นก็วิ่งขึ้นเร็วสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก

ตรงกันข้ามกับหุ้นไทยที่ย่ำแย่มานานนับ 10 ปี และปีนี้ก็ยังแย่อยู่ และก็แย่มากขึ้นไปอีกโดยที่คนก็โทษภาษีการค้าของทรัมป์ราวกับว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ถูกกระทบหนัก เพราะความเป็นจริงก็คือ แทบทุกประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาต่างก็โดนเหมือนกัน แต่ตลาดหุ้นของพวกเขาก็ยังทำผลงานได้ดีมากแบบ “ผิดคาด” ทำไมตลาดหุ้นไทยจึงแทบจะเป็นตลาดหุ้นเดียวที่แย่ และนับจากต้นปีเราก็เป็นตลาดที่ “ตกมากที่สุด” ในบรรดาตลาดหุ้นหลัก ๆ ของย่านนี้

บางทีปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยแย่และตลาดหุ้นอื่นดีนั้น อาจจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า และก็อาจจะเป็นปัจจัยระยะยาวที่ดำเนินมานานพอสมควรแล้วและก็กระทบและมีผลต่อตลาดหุ้นมาตลอด เรื่องสงครามการค้านั้น อาจจะไม่ได้มีผลมากอย่างที่คิด และถึงจะมีก็อาจจะน้อยกว่าเรื่องของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI ที่อาจจะก่อให้เกิดผลดีต่อตลาดหุ้นที่สามารถลบล้างผลเสียของสงครามการค้าได้ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความสามารถหรือความคิดสร้างสรรค์ในการใช้เทคโนโลยีสูง

ผมเองไม่มีคำตอบที่ถูกต้องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็จะใช้ ประวัติศาสตร์ของดัชนีตลาดหุ้นของประเทศหรือตลาดหลัก ๆ มาอธิบายเท่าที่จะทำได้ โดยการมองย้อนหลังกลับไปเป็นระยะ ๆ คือ 10 ปี 5 ปี และจากต้นปีถึงวันนี้ประมาณ 6-7 เดือน ตามลำดับ

ตลาดหุ้นที่ดีที่สุดมองย้อนหลังไป 10 ปี ก็คือ Nasdaq ที่ประกอบไปด้วยหุ้นดิจิทัลไฮเท็คและแน่นอน AI ที่โดดเด่นที่สุดของโลก ดัชนีแนสแด็กในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นปรับตัวขึ้น 3 เท่าหรือ 300% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 16.1% ในเวลาติดต่อกัน 10 ปี หุ้น 7 นางฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในดัชนีนั้นเติบโตยิ่งกว่ามาก หุ้นอย่าง NVIDIA น่าจะเติบโตเป็น 100 เท่าและกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลาเพียงไม่กี่ปี

มองย้อนหลังไป 5 ปี ดัชนีแนสแด็กก็โตขึ้น 95.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 14.9% ซึ่งก็ยังแสดงให้เห็นว่า ดัชนีก็ยังเติบโตเร็วอยู่ทั้ง ๆ ที่ ขนาดของบริษัทหรือหุ้นนั้นใหญ่มาก “คับโลก” อยู่แล้ว

จากสิ้นปีที่แล้วหรือต้นปีถึงวันนี้ มีช่วงที่ดัชนีตกลงมาแรงในช่วงต้นปีที่เกิดการประกาศสงครามการค้าของทรัมป์ทำให้ดัชนีตกลงมาแรงกว่า 10% และคนคิดว่า “หมดยุคหุ้นบูม” ที่ดำเนินมายาวนานแล้ว แต่หลังจากนั้น ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นมาใหม่และสูงขึ้นไปกว่าเดิมที่เคยเป็นจุดสูงสุด นับจากต้นปี ดัชนีปรับตัวขึ้นประมาณ 3.2% และตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความคึกคัก สถิติต่าง ๆ ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนโดยรวมของเศรษฐกิจอเมริกันเองนั้น ดูเหมือนจะชี้ว่าอเมริกายังคงแข็งแกร่งและเป็นผู้นำโลกมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เหมือนอย่างที่ทรัมป์พูดว่า “Make America Great Again” ซึ่งแฝงนัยว่าอเมริกาแย่และจะต้องฟื้นฟูอเมริกาโดยการตั้งกำแพงกันผู้อพยพและสินค้าเข้าประเทศอย่างบ้าคลั่ง

ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นถึง 218% ในเวลา 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนบทต้นปีละ 12.3% ตลอด 10 ปี และในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีให้ผลตอบแทนไม่รวมปันผลถึง 73.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.7% ลดลงเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมเมื่อคำนึงถึงขนาด Market Cap. ที่ใหญ่ขึ้นมาก คือมูลค่าตลาดใหญ่เกินกว่า 2 เท่าของรายได้ประชาชาติของสหรัฐไปแล้ว ในขณะที่บัฟเฟตต์เองเคยบอกว่า ถ้ามูลค่าสูงเท่ากับ GDP ก็ถือว่าตลาดหุ้นแพงเกินไปแล้ว

ตั้งแต่ต้นปี S&P ก็เช่นเดียวกับ Nasdaq ที่มีช่วงตกใจดัชนีลดลงจากเรื่องภาษีทรัมป์ แต่ขณะนี้บวกไปแล้วจากสิ้นปีที่แล้วประมาณ 7% และนำโดยหุ้นเท็คขนาดยักษ์อย่าง NVIDIA เป็นต้น

จากสหรัฐ ผมอยากกลับมาที่ประเทศกำลังพัฒนาที่กำลัง ถูกปั้นให้เป็น “The New Great Economy” นั่นคือ อินเดีย และ เวียตนาม ซึ่งผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากประเทศที่จนมากและแทบไม่มีความสำคัญ กลายเป็นประเทศที่ผู้นำระดับโลกต้องมาเยี่ยมเยียน เจรจา และ “เกรงใจ” เมื่อจะทำอะไรที่กระทบกับ 2 ประเทศนี้

ดัชนีหุ้นอินเดียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นเกือบ 200% เป็น 3 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.6% ไม่รวมปันผล และในช่วง 5 ปีหลัง ดัชนีเติบโตขึ้นถึง 125.8% หรือเท่ากับ 17.7% ต่อปีแบบทบต้นซึ่งสูงยิ่งกว่าดัชนีแนสแด็กที่ว่าสูงมากเสียอีก และนั่นทำให้ตลาดหุ้นอินเดียที่คนไทยแทบไม่รู้จักเมื่อ 5-6 ปีก่อน กลายเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยสนใจมากขึ้นมาก ผลงานนับจากต้นปีนี้ก็ยังทำได้ดีคือบวกประมาณ 5-6%

ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 135% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.9% แบบทบต้นไม่รวมปันผล ในช่วง 5 ปี ดัชนีปรับตัวขึ้น 67.6% หรือให้ผลตอบแทน 10.9% ซึ่งก็ต้องถือว่าค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อคำนึงถึงว่าเวียตนามยังเป็นตลาด “Frontier Market” ที่สถาบันนักลงทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติยังไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเวียตนามจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ดัชนีหุ้นตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 15% สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ตกลงดีลการค้ากับอเมริกาได้สำเร็จ

ตลาดหุ้นฮั่งเส็งซึ่งผมใช้เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นจีนนั้น ดูเหมือนว่าจะคล้ายตลาดหุ้นไทยที่สุดในแง่ที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองที่ทำให้ประเทศถอยหลังกลับไปในด้านของความเป็นเสรีทางเศรษฐกิจและการเมืองตั้งแต่เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ดัชนีฮั่งเส็งลดลงมาประมาณ 25% ในเวลา 10 ปีหรือลดลงเฉลี่ยปีละ 2.8% แบบทบต้น หรือเรียกว่าเป็น “Loss Decade”

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีก็ยังลดลงประมาณ 10% หรือลดลงปีละ 2.1% แบบทบต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดูเหมือนว่าจะมีการปรับในเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงเร็ว ๆ นี้ของรัฐบาล ดัชนีฮั่งเส็งก็เริ่มดีขึ้นมากทั้ง ๆ ที่สงครามการค้ารุนแรงและอนาคตของเศรษฐกิจจีนก็ยังไม่สดใส ดัชนีตั้งแต่ต้นปีได้ปรับตัวขึ้นถึง 12.9% เราคงต้องจับตาดูต่อไปว่าจีนกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นเคยตกต่ำเป็น Loss Decade มาไม่น้อยกว่า 10-20 ปี แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการปฎิรูปอย่างสำคัญของชินโสะอาเบะนายกรัฐมนตรี ได้ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความหวังและพร้อมกลับมามีบทบาทมากขึ้นในโลก

ดัชนีนิกเกอิปรับตัวเพิ่มขึ้น 126% ในเวลา 10 ปีคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.5% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แทบไม่ได้ดอกเบี้ยเลยเป็นเวลาสิบ ๆ ปีติดต่อกัน ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 65% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.6% ซึ่งก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสุดท้าย ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันก็ยังเสมอตัวแม้ว่าต้องเผชิญกับภาษีทรัมป์
กล่าวโดยสรุปแล้วก็ต้องถือว่าตลาดญี่ปุ่นน่าจะสะท้อนว่า ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากภาวะ “Loss Decades” แล้วอย่างสมบูรณ์จากการที่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจที่หยุดยั้งการถดถอยของ GDP ที่เคยดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน

สุดท้ายก็คือ ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา 10 ปี ดัชนีลดลงต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่มีปัญหาทางการเมืองซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้และเกิดการรัฐประหารซึ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงการที่ประชากรแก่ตัวลงและขาดการพัฒนาการศึกษาและเทคโนโลยี ผลก็คือ ดัชนีช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลง 22% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ -2.5%
ในขณะที่มองย้อนหลัง 5 ปี ดัชนีลดลง 15.6% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น -3.3% ในช่วงเวลาติดต่อกัน 5 ปี และถ้ามองจากต้นปีถึงวันนี้ ดัชนีก็ติดลบไปแล้วถึง 19.9% แย่ที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

ภาพของประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยถึงวันนี้ก็คือ เราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เรียกว่า “Loss Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ที่ยังอาจจะไม่หมดและยังไม่เห็นวี่แววว่าจะฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นแบบของจีนหรือญี่ปุ่น


08 กรกฎาคม 2568

MongoDB check index creation progress information

MongoDB check index creation progress information

db.adminCommand( { currentOp: true, $or: [ { op: "command", "command.createIndexes": { $exists: true } }, { op: "none", "msg" : /^Index Build/ } ] } )

06 กรกฎาคม 2568

เจาะลึกภาวะตลาดหมีของ S&P500 บทเรียนจากอดีตและความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ


ดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและตลาดหุ้นโลก ไม่ได้มีแต่ช่วงขาขึ้นที่สดใสเท่านั้น แต่ยังเคยเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่เรียกว่า "ภาวะตลาดหมี" (Bear Market) อยู่หลายครั้ง ภาวะตลาดหมีจะเกิดขึ้นเมื่อดัชนีมีการปรับตัวลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดก่อนหน้า การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของภาวะตลาดหมีเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนและเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต



เปิดตำนานภาวะตลาดหมีของ S&P500

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา S&P500 ได้เผชิญกับภาวะตลาดหมีมาแล้วหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งล้วนมีปัจจัยกระตุ้นและระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ดังนี้:

1. วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) (กันยายน 1929 – มิถุนายน 1932): นี่คือภาวะตลาดหมีที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ S&P500 โดยดัชนีลดลงอย่างมหาศาลถึง -86.2% เป็นผลมาจากฟองสบู่ในตลาดหุ้น การว่างงานที่สูงขึ้น และความล้มเหลวของภาคธนาคาร


2. วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ครั้งที่สอง / ภาวะถดถอยปี 1937 (มีนาคม 1937 – มีนาคม 1938): หลังจากที่ตลาดเริ่มฟื้นตัวจาก Great Depression ก็ต้องเผชิญกับการปรับฐานอีกครั้ง โดยดัชนีลดลงประมาณ -54.5% ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการเงินและการคลังที่ผิดพลาด


3. วิกฤตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พฤษภาคม 1946 – มิถุนายน 1949): แม้สงครามจะสิ้นสุดลง แต่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลังสงครามทำให้ตลาดมีความผันผวน ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -29.6%


4. ภาวะถดถอยไอน์สไตน์ (กรกฎาคม 1957 – ตุลาคม 1957): เป็นภาวะตลาดหมีที่ค่อนข้างสั้นและไม่รุนแรงมากนัก ดัชนีลดลงประมาณ -20.7%


5. การร่วงลงอย่างรวดเร็วในปี 1962 / สงครามเย็น (ธันวาคม 1961 – มิถุนายน 1962): ความตึงเครียดของสงครามเย็นและปัจจัยทางเศรษฐกิจทำให้ตลาดปรับตัวลง ดัชนีลดลงประมาณ -28.0%


6. ตลาดหมีขนาดเล็กปี 1966 (กุมภาพันธ์ 1966 – ตุลาคม 1966): ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -22.2% ในช่วงสั้นๆ


7. วิกฤตหุ้นเทคโนโลยีปี 1970 (พฤศจิกายน 1968 – พฤษภาคม 1970): แม้จะไม่ได้รุนแรงเท่า Dot-Com ในภายหลัง แต่ตลาดหุ้นที่ลดลงในช่วงนี้ส่งผลให้ดัชนีลดลงประมาณ -35.4%


8. ภาวะเงินเฟ้อสูง (Stagflation) (มกราคม 1973 – ตุลาคม 1974): เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญกับทั้งเงินเฟ้อสูงและการเติบโตที่ซบเซา ส่งผลให้ S&P500 ลดลงอย่างรุนแรงถึง -48.2%


9. การคุมเข้มนโยบายของโวลเกอร์ (พฤศจิกายน 1980 – สิงหาคม 1982): ธนาคารกลางสหรัฐฯ ภายใต้ประธาน Paul Volcker ได้ใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้ดัชนีลดลงประมาณ -27.1%


10. วันจันทร์ทมิฬ (Black Monday) (สิงหาคม 1987 – ธันวาคม 1987): แม้เป็นการลดลงที่รวดเร็วและรุนแรงในวันเดียว (วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987) แต่ภาวะตลาดหมีโดยรวมกินเวลากว่านั้น โดยดัชนีลดลงประมาณ -33.5%


11. ฟองสบู่ Dot-Com แตก (มีนาคม 2000 – ตุลาคม 2002): ฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่พองตัวมานานได้แตกออก ส่งผลให้ S&P500 ร่วงลงเกือบครึ่งหนึ่งที่ประมาณ -49.1%


12. วิกฤตการณ์การเงินโลก (Global Financial Crisis) (ตุลาคม 2007 – มีนาคม 2009): วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์และการล่มสลายของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะตกต่ำอย่างรุนแรง S&P500 ลดลงถึง -56.8% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression


13. การระบาดของโควิด-19 (กุมภาพันธ์ 2020 – มีนาคม 2020): เป็นภาวะตลาดหมีที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ดัชนี S&P500 ดิ่งลงกว่า -33.9% ภายในเวลาเพียงประมาณหนึ่งเดือน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดใหญ่ทั่วโลก


14. เงินเฟ้อ / การคุมเข้มนโยบายของเฟด (มกราคม 2022 – ตุลาคม 2022): การที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุม ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับฐานลง ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -25.4%



บทสรุปและข้อคิดสำหรับนักลงทุน

ประวัติศาสตร์ของภาวะตลาดหมีใน S&P500 แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นเรื่องปกติ และช่วงเวลาที่ราคาหุ้นตกต่ำนั้นเกิดขึ้นเป็นระยะๆ จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรจดจำคือ หลังจากการลดลงอย่างรุนแรง ตลาดหุ้น S&P500 ก็มักจะฟื้นตัวกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอในเวลาต่อมา



การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถ:
  • เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน: เข้าใจว่าภาวะตลาดหมีเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาด
  • มีวินัยในการลงทุน: หลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยอารมณ์ในช่วงที่ตลาดตื่นตระหนก
  • มองหาโอกาสในวิกฤต: บางครั้งภาวะตลาดหมีก็เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลง
การลงทุนระยะยาวและกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาด และคว้าโอกาสในการเติบโตที่ S&P500 ได้พิสูจน์ให้เห็นมาตลอดประวัติศาสตร์



Prompt Reference:

"list ภาวะตลาดหมี (Bear Market) ของดัชนี S&P500 ทั้งหมด และ ลบกี่ % (เรียงตามวันที่ เก่ากว่า ไปใหม่กว่า)"

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)