คัมภีย์ห้าเหรียญ
ความรุ่งเรืองสมัยอียิปต์ สร้างการค้ามากมายมีคนรวย และคนจน อาศัยอยู่ปะปนกันมากมาย มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ เคล็ดลับของความมั่งคั่งที่แท้จริง
สมัยอียิปต์ ยุคจักรพรรดิ์ฟาโรห์รุ่งเรือง การค้าได้เริ่มเจริญขึ้นมากมีการค้าผ้าจากต่างเมือง มีการทำปศุสัตว์ การบริโภคนมแพะ แกะ เลี้ยววัว เป็ด ห่าน ความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น การค้าดีมากพวกพ่อค้าเติบโต และร่ำรวยอย่างรวดเร็ว
มีการแบ่งชนชั้นต่างๆ เป็นสามระดับ ได้แก่ พวกชนชั้นสูงชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง
พวกชนชั้นสูง มีฐานะทางสังคมดีกว่าชนชั้นอื่นๆ พวกชนชั้นสูงได้แก่ สมาชิกพระราชวงศ์ ข้าราชการ นักบวชอาวุโส แพทย์ และขุนนางต่างๆ ส่วนพวกพ่อค้า ช่างฝีมือ เป็นชนชั้นกลาง ประชาชนกลุ่มใหญ่ที่สุดคือ พวกแรงงานไร้ฝีมือ บ่าวรับใช้และทาส เป็นชนชั้นล่าง
ชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่พยายามรับราชการเป็นทหารรับใช้องค์จักรพรรดิ์ แต่ถ้าใครไม่ได้เป็นลูกชุนนางก็จะต้องเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร หรือถ้าใครมีกำลังมากก็จะมาเป็นคนทำอาวุธ ที่จะต้องใช้พละกำลังมากในการตีดาบ และสร้างเกราะเหล็กซึ่งจะต้องใช้แรงงานมาก
ส่วนผู้หญิงก็จะมาทำร้านค้าขายของต่างๆ ที่มาจากนูเบียซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์ หรือร้านดอกไม้ที่ต้องเดินไปเด็ดมาจากนอกเมืองที่ห่างไปหลายไมล์ เด็กๆ จะต้องเริ่มทำงานตั้งแต่เจ็ด หรือแปดขวบด้วยการรับจ้างอาบน้ำให้อูฐ หรือดูแลเด็กเล็ก หรือรีดนมแพะ ไล่นกให้กับพวกชาวนาหรือเฝ้าร้านค้าให้พ่อค้าทั้งหลาย
มีการนำต้นกก มาแปรรูปเป็นวัสดุ เครื่องใช้ต่างๆ มากมายเช่น นำมาทำเป็นเชื้อเพลิง สรร้างบ้าน สานตระกร้าและอุปกรณ์อื่นๆ อีกหลายอย่าง รวมทั้งมีการนำต้นกก มาทำเป็นกระดาษ เพื่อที่สามารถบันทึกเหตุการณ์ หรือข้อมูลต่างๆ ลงไป สำหรับใช้ประโยชน์ในอนาคตกระดาษที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจากต้นกกในสมัยอียิปต์นั้น มีชื่อ เรียกว่ากระดาษปาปิรุส
สมัยอียิปต์ ยุคจักรพรรดิ์ฟาโรห์รุ่งเรือง การค้าได้เริ่มเจริญขึ้นมากมีการค้าผ้าจากต่างเมือง มีการทำปศุสัตว์ การบริโภคนมแพะ แกะ เลี้ยววัว เป็ด ห่าน ความเป็นอยู่ของคนดีขึ้น การค้าดีมากพวกพ่อค้าเติบโต และร่ำรวยอย่างรวดเร็ว
มีการแบ่งชนชั้นต่างๆ เป็นสามระดับ ได้แก่ พวกชนชั้นสูงชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง
พวกชนชั้นสูง มีฐานะทางสังคมดีกว่าชนชั้นอื่นๆ พวกชนชั้นสูงได้แก่ สมาชิกพระราชวงศ์ ข้าราชการ นักบวชอาวุโส แพทย์ และขุนนางต่างๆ ส่วนพวกพ่อค้า ช่างฝีมือ เป็นชนชั้นกลาง ประชาชนกลุ่มใหญ่ที่สุดคือ พวกแรงงานไร้ฝีมือ บ่าวรับใช้และทาส เป็นชนชั้นล่าง
ชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่พยายามรับราชการเป็นทหารรับใช้องค์จักรพรรดิ์ แต่ถ้าใครไม่ได้เป็นลูกชุนนางก็จะต้องเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร หรือถ้าใครมีกำลังมากก็จะมาเป็นคนทำอาวุธ ที่จะต้องใช้พละกำลังมากในการตีดาบ และสร้างเกราะเหล็กซึ่งจะต้องใช้แรงงานมาก
ส่วนผู้หญิงก็จะมาทำร้านค้าขายของต่างๆ ที่มาจากนูเบียซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์ หรือร้านดอกไม้ที่ต้องเดินไปเด็ดมาจากนอกเมืองที่ห่างไปหลายไมล์ เด็กๆ จะต้องเริ่มทำงานตั้งแต่เจ็ด หรือแปดขวบด้วยการรับจ้างอาบน้ำให้อูฐ หรือดูแลเด็กเล็ก หรือรีดนมแพะ ไล่นกให้กับพวกชาวนาหรือเฝ้าร้านค้าให้พ่อค้าทั้งหลาย
มีการนำต้นกก มาแปรรูปเป็นวัสดุ เครื่องใช้ต่างๆ มากมายเช่น นำมาทำเป็นเชื้อเพลิง สรร้างบ้าน สานตระกร้าและอุปกรณ์อื่นๆ อีกหลายอย่าง รวมทั้งมีการนำต้นกก มาทำเป็นกระดาษ เพื่อที่สามารถบันทึกเหตุการณ์ หรือข้อมูลต่างๆ ลงไป สำหรับใช้ประโยชน์ในอนาคตกระดาษที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจากต้นกกในสมัยอียิปต์นั้น มีชื่อ เรียกว่ากระดาษปาปิรุส
การทำการค้าคึกคักมาก ทุกเมืองจะมีแหล่งที่แลกเปลี่ยนสินค้าจากพ่อค้าต่างเมืองที่นำสินค้าแปลกๆ ใหม่ๆ มาขายทุกวัน โดยไม่มีวันหยุด ทุกคนหวังเพียงอย่างเดียวคือ เหรียญทองคำ และต้องการจะมีเหรียญทองคำให้มากที่สุด รวมทั้งแมคก้าชายหนุ่มที่มีความฉลาดคล่องแคล่วว่างไวอันเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านแมคก้าเป็นเด็กดีคนหนึ่งในหมู่บ้าน เขาต้องทำงานเหมือนเด็กคนอื่นๆ แมคก้าเริ่มสังเกตว่าทุกครั้ที่เพื่นอๆ หาเงินมาได้ก็จะต้องไปดื่มน้ำผลไม้หมักที่ร้านป้าปิลลี่แล้วก็จะเลหือเหรียญทองคำติดตัวนิดหน่อยก่อนกลับบ้าน
แมคก้าจึงเริ่มวางแผนหาเงินด้วยการหาวิธีทำผลไม้หมักมาหลายๆ ชนิด การค้าของเขาได้เริ่มต้นขึ้น เขาเริ่มประดับร้านค้าด้วยผลไม้สดที่ฝากหญิงสาวชาวบ้านไปเก็บมาจากนอกเมือง หลังจากนั้นไม่นานการค้าของแมคก้าก็เริ่มดีขึ้น แต่แมคก้าเริ่มรู้สึกว่าเมื่อการค้าดีขค้นแต่ทำไมทองคำที่หามากลับฝืดเคืองลงทุกที แมคก้าจึงไดไปขอยืมเงินจากเศรษฐีกาแลใหญ่ประจำหมู่บ้านที่เป็นลูกค้าประจำของแมคก้าด้วย
แมคก้าก้าวขาเข้ามาในปราสาท และจ้องมองรอบๆ ห้องรับรองของท่านเศรษฐีกาแลอย่างประทับใจ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แมคก้าได้เห็นเครื่องประดับทองคำระยิบระยับมากมายราวกับอยู่ในวัง ทั้งผ้าม่านที่มอด้วยสีทองอร่าม กาน้ำอมฤตทองคำ ถ้วยน้ำทองคำและสาวใช้ที่มีผ้าปิดหน้าสีทองอร่าวม และท่านเศรษฐีกาแลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เท้าแขนเป็นทองคำ “ท่านกาแลขอรับ การค้าของข้าประสบปัญหานิดหน่อย ข้าจึงอยากจะมาขอยืมเหรียญทองคำของท่านเพื่อไปซื้อผลไม้มาหมักเพราะถ้าไม่ได้เงินจากท่านไป คงไม่มีใครยอมขายผลไม้ให้ข้าแน่” แมคก้าเริ่มต้นพูด
“เจ้าคิดว่าข้าต้องช่วยเจ้ามั้ยล่ะ” เศรษฐีกาแลตอบ
“ข้าเพียงอยากมาขอให้ท่านช่วยเหลือข้าทั่นั้น ข้าจักขอบพระคุณท่านมากถ้าท่านจะกรุณาข้า” แมคก้าวิงวอนต่อท่านเศรษฐี
“เสียใจ ข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องให้ทุกอย่างตามที่เจ้าขอและข้าก็ไม่ได้อยากจะได้รับคำขอบคุณจากใครด้วย” เศรษฐีปฎิเสธ
“จะต้องให้ข้าทำอย่างไรท่านถึงจะยอมช่วยข้า” แมคก้าเอ่ย
“หึ หึ หึ” เศรษฐีหัวเราะในลำคอ และพูดต่อ
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเพียงหนึ่งครั้ง ข้าจะช่วยเจ้าโดยตอบคำถามเพียงประโยคเดียวที่จะทำให้เจ้ามีเหรียญทองใช้ไม่มีวันหมด แต่ข้าจะตอบก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถถามคำถามที่ตรงกับคำตอบที่ข้าจะตอบเท่านั้น”
“แล้วถ้าข้าตอบผิดล่ะ” แมคก้าถามต่อ
“พรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดินเจ้าจงมาถามคำถามข้า นี้คือโอกาสเดียวของเจ้า” เศรษฐีพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าประสาท
แมคก้า ชายหนุ่มผู้มีไหวพริบ และปราเปรื่องถึงกับงงงันว่าจะถามคำถามอะไรให้ท่านเศรษฐีพอใจที่จะตอบ ชายหนุ่มเดินทางกลับด้วยท่าทางครุ่นคิดตลอดทาง ระหว่างทางกลับบ้านนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าในเมื่อก่อนเคยได้ยินเครื่องราวของท่านเศรษฐีมาก่อนว่าตอนเด็กๆ ท่านเศรษฐีเคยรับจ้างรีดนมแพะ ใส่เกือกอูฐ และขายถุงน้ำที่ทำจากหนังสัตว์ใหกับนักท่องเที่ยวผู้เดินทางผ่านเมือง หรือพ่อค้าเร่ข้ามเมือง
แมคก้าจึงเดินทางมาพบกับคุณป้ารอนนี่ผู้ใจดี เจ้าของฟาร์มอูฐ จึงตรงเข้าไปถามประวัติของท่านเศรษฐี จึงได้ทราบเรื่องราวเหมือนกับข่าวลือที่คนเคยพูดกัน “สมัยท่านเศรษฐีกาแลยังเด็กๆ ก็เคยทำเหมือนกับเด็กทุกคนในหมู่บ้านนี้แหละ ท่านกาแลรับตอกเกือกอูฐ และรับอาบน้ำให้อูฐให้กับพ่อค้าเร่ต่างเมือง รายได้ดีนะเพราะมีพ่อค้าผ่านไปผ่านมาเยอะมาก” คุณป้ารอนนี่เริ่มเล่า
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนที่ท่านกาและจะหายไปจากหมู่บ้านท่านเคยมาถามป้าว่า จะทำอย่างไรถึงจะมีเหรียญทองใช้ไม่มีวันหมด” คุณป้าเล่า
“แล้วคุณป้าตอบท่านเศรษฐีไปว่าอย่างไรครับ” แมคก้าถามต่อ
“ป้าก็บอกไปว่า ป้าก็ไม่รู้ ป้าเองมีเท่าไหรก็ใช้เท่านั้น” ป้ารอนนี่ตอบ
“หลังจากนั้ท่านกาแลหายไปจากหมู่บ้าน หายไปประมาณหลายปี กลับมาท่านกาแลก็เริ่ทำการค้า มีเงินมีทองเพิ่มขึ้น การค้าดีขึ้นทุกวัน และร่ำรวยขึ้นทุกวัน จนกระทั่งท่านกลายเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองของเรา” คุณป้ารอนนี่ชื่นชม
“ขอบคุณครัรบคุณป้า แล้วผมจะกลับมาเยี่ยมคุณ้าใหม่นะครับ” แมคก้ากล่าวลา และเดินกลับไปยังที่พักของตน
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หลังจากได้พูดคุยกับคุณป้ารอนนี่ว่า คำถามใดที่จะทำให้ท่านเศรษฐีกาและ ช่วยบอกวิธีทำการค้าใหกับคนหนุ่มที่กำลังต้องการความรู้ในการทำการค้า
คำตอบที่รอคำถาม “ถ้าอยากจะรู้เคล็ดลับความร่ำรวยจะต้องใช้ค วามตั้งใจ และอดทน”
เช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มผู้มีไหวพริบ ก็ไปหาเกือกอูฐ กับถุงน้ำที่ทำจากหนังสัตว์ และเหรีญทองคำที่มีอยู่ทั้งหมดแล้วมาขอเข้าพบเศรษฐีกาแล
“มาเร็วกว่าที่ฉันคิดอีกนะ” เศรษฐีกาแลทักทาย
แมคก้าเริ่มต้น “ผมเองเคยได้เหรียญทองจากการเปลี่ยนเกือกม้าให้พวกพ่อค้า และก็เคยขายถุงน้ำหนังสัตว์ให้กับนักท่องเที่ยวหลังจากนั้นผมก็ทำอีกหลายอาชีพจนกระทั่งได้มาเปิดร้านน้ำผลไม้หมัก ทำมาตั้งแต่ยังเด็ก็กพอจะมีเหรียญทองอยู่จำนวนหนึ่งถุงนี้แหละ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความมุ่งมั่น ก่อนที่จะถามคำถามว่า
“ท่านพอจะช่วยบอกข้าได้มั้ยว่า ทำอย่างไรข้าจึงจะมีเหรียญทองที่ใช้ไม่มีวันหมดเหมือนท่านเศรษฐี”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าทำได้จริงๆ” ท่านเศรษฐีหัวเราะอย่างมีความสุขด้วยเสียงกังวาล
“ข้าเตรียมของชิ้นหนึ่งไว้ให้เจ้าแล้ว” เศรษฐีพูดจบพร้อมกับหยิบกล่องสีทองลายฉลุจากด้านข้างขึ้นมา
“ข้างในมีของล้ำค่าที่สุด ที่ข้าเก็บไว้ตั้งแต่ยังหนุ่ม ข้าได้ออกเดินทางหาคำตอบว่าทำอย่างไรจึงจะมีเหรียญทองใช้ไม่มีวันหมดแล้วข้าก็ได้สิ่งนี้มา” เศรษฐีมอบกล่องสีทองให้กับชายหนุ่ม
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกต่นเต้นมาก เมื่อได้รับของจากมือท่านเศรษฐี ชายหนุ่มนึกในใจว่า นี่นะหรือคือสิ่งที่คนหนุ่มอย่างท่านกาแลกลายเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง
ชายหนุ่มค่อยๆ เริ่มบรรจงแกะสลักข้างกล่องออก แล้วเปิดดูข้างในภายในนั้มีแผ่นกระดาษปาปิรุสหนึ่งแผ่นดูเหมือนจะเป็นแผนที่และมีเหรียญทองคำห้าเหรียญที่ดุแล้วไม่เหมือนกัน ด้านหน้าของแต่ะเหรียญนั้มีตัวสัญลักษณ์หนึ่งตัว ที่ไม่เหมือนกัน ส่วนด้านหลังก็มีสัญลักษณ์บางอย่างท่ดูเหมือนเป็นตัวอักษร แต่เขาไม่รุ้ว่าสัญลักษณ์ของแต่ละเหรียญที่ไม่เหมือนกันนั้น หมายความว่าอย่างไร
ถูกต้องแล้ว มันคือแผนที่ที่ข้าเขียนขึ้นมาเพื่อที่จะหาผุ้สืบทอดไปหาท่านผุ้วิเศษทั้งสาม ผุ้เป็นอาจารย์ของข้า ท่านเปรียบเสมือนผุ้พลิกทั้งชีวิตของข้า ข้าคิดว่าท่านสามารถให้คำตอบแก่เจ้าได้ เหรียญทั้งห้านี้ ท่านผู้วิเศษทั้งสามเป็นคนมอบให้ข้าเอง
ท่านให้ข้ามอบเอาไว้ ให้กับผุ้เหมาะสม เจ้าจงนำเหรียญห้าเหรียญนี้ไปหาผู้วิเศาทั้งสาม ณ ดินแดนปุนต์ พวกเท่านจะทดสอบเจ้า
“ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบเหล่านั้น พวกท่านผู้วิเศษทั้งสามจะสอนเจ้าในเรื่องการทำการค้าที่แสนวิเศษท่เจ้าอยากรู้ และหลังจากนี้เจ้าจะสามารถหาคำตอบจากคำถามที่ถูกต้องของเจ้า ได้ด้วยความสามารถของเจ้าเอง ถ้าเจ้ามีความสามารถเพียงพอ” เศรษฐีกล่าว
“แล้วท่านผู้วิเศษทั้งสามหน้าตาเป็นอย่างไร” “ท่านจะทดสอบอะไรข้า”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นกับการได้เดินทางไปหาผู้วิเศษทั้งสาม
“เจ้าสมควรรู้ในสิ่งที่เจ้าต้องรู้ แค่นั้นก็เยงพอแล้ว” เศรษฐีกล่าว
“ถ้าเจ้าอยากรู้มากกว่านี้เจ้าก็รีบออกเดินทางไปตามหาท่านโดยเร็วจะดีกว่า” เศรษฐีกล่าวต่อ
“ขอรับ ขอบพระคุณเศรษฐีมาก ข้าจะออกเดินทางทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้” ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งในของขวัญของท่านเศรษฐี
“แต่ข้าก็ยังสงสัยเหมือนกัน ว่าข้าเป็นคนแรกหรือไม่ที่ได้รับของขวัญพิเศษเช่นนี้” ชายหนุ่มอยากรู้
“ถูกต้อง มีคนมากมายที่มาหาข้า เพื่อที่จะมาขอยืมเหรียญทองคำไปจากข้า แต่ไม่เคยมีใครเลยที่อยากรู้ว่าข้าทำอย่างไรจึงมีเหรียญทองคำที่ใช้ได้ไม่มีวันหมดไปตลอดชีวิต ข้าเองก็ให้พวกเขาหาคำตอบเช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ คนเหล่านั้นไม่เคยที่จะตั้งคำถามเช่นเจ้า พวกเขาต้องการเหรียญทองจากข้าเพื่อไปต่อชีวิตเท่านั้น” เศรษฐีอธิบายพร้อมกับกล่าวลาชายหนุ่มผู้มุ่งมั่น
“ขอให้เจ้าได้กลับมาพร้อมกับสิ่งที่เจ้าปรารถนานะ” “ขอบพระคุณท่านเศรษฐีมากขอรับ ข้าจะพยายามค้นหาความจริงแล้วกลับมาโดยเร็วที่สุด” ชายหนุ่มกล่าวลาด้วยความซาบซึ้งใจ
คืนนั้นชายหนุ่มได้หยิบเหรียญทั้งห้าขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังว่า เหรียญเหล่านี้นะหรือที่ทำให้ท่านเศรษฐีร่ำรวยขึ้นมาได้มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่ภายใน หรือมีอะไรที่เป็นความลับของเหรียญนี้แน่ๆ แล้วด้านหลังของเหรียญคืออะไรกันนะ
ชายหนุ่มรู้แต่เพียงว่า เขาต้องพยายามหาเคล็ดลับความรุ้หรือเคล็ดลับความสำเร็จให้ได้ในชีวิตนี้ เขาไม่เกรงกลัวต่อความลำบาก เพราะเขารู้ว่าการหาความรู้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่
ชายหนุ่มหยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมา แล้วเขียนสิ่งที่เขาคิดลงไปในกระดาษแผ่นนั้นว่า
การทำการค้า จะต้องมีความรู้
ความรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องแสวงหา
การหาความรู้ คงไม่ใช้เวลาเพียงวันเดียว
กว่าจะได้ความรู้ คงไม่ใช้เรื่องง่าย
การสะสมความรู้ สามารถทำได้ทุกวัน
การหาความรู้ คงจะยากลำบากมาก
การหาความรู้ จึงต้องอดทน
ถ้าล้มเลิกกลางคัน ก็จะไม่ได้ความรู้
ถ้าหมดความอดทน ก็จะไม่ได้ความรู้
จะต้องมีความมุ่งมั่น จึงจะไปถึงจุดหมายได้
และจุดหมายนั่นคือ ความสำเร็จ
รุ่งขึ้นตะวันส่องแสงผ่านช่องหน้าต่างไม้เห็นกระเป๋าเดินทางและอุปกรณ์ในการเดินทางมากมาย ชายหนุ่มฝากกิจการร้านผลไม้หมักไว้กับพี่สาวที่ชื่อมูมาย และร่ำลาน้องสาวที่น่ารักชื่อมินนาที่ยังเล็กอยู่
“พี่หวังว่า จะค้นพบสิ่งที่พี่ต้องการโดยเร็ว ฝากดูแลน้องมินนาด้วยนะครับ” ชายหนุ่มร่ำลาพี่สาวมูมายผู้ที่คอยช่วยเหลือกันและกันตั้งแต่ยังเด็ก
<<<<< มุ่งสู่แดนปุนต์ ที่ลึกลับ >>>>>>
นี้เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ออกเดินทางไปนอกหมู่บ้านโดยที่ตั้งใจอย่างมุ่งมั่น และแน่วแน่ว่าจะต้องไปค้นหาความลับของเหรียญทั้งห้าให้สำเร็จ แล้วค่อยกลับมาพบกับครอบครัว
ก่อนที่ชายหนุ่มจะขึ้นขึ่อูฐ เขาก็หยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมาแล้วเขียนข้อความเตือนสติตัวเองก่อนออกเดินทางว่า..
“การค้า เปรียบเสมือนการเดินทาง
บางวันอากาศก็ร้อนระอุ
บางวันมีพายุมา
บางวัน ฝนก็ตก
บางวัน ต้องการน้ำมาก
บางวัน ต้องการอาหาร
ก่อนที่จะออกเดินทางต้องเตรียมตัวให้พร้อม
ก่อนที่จะทำการค้า ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
ชายหนุ่มออกเดินทางมาหลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือน ผ่านทะเลทรายร้อนระอุ บางวันก็ต้องพบกับพายุทราย ชายหนุ่มปะทังชีวิตโดยดื่มน้ำจากต้นไม้ และน้ำที่เตรียมไว้ กินอาหารแห้งที่เตรียมเอาไว้ หรือจับสัตว์กินเพียงเพื่ออยู่รอด ชายหนุ่มต้องผ่านชีวิตที่ยากลำบาก เวลากลางคืนที่เงียบสงัดบางครั้งก็เผชิญกับพายุทราบตลอดคืน
เขาได้แต่เดินตามแสงของดวงดาวชิริอุส ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่สุกสว่างที่สุดบนท้องฟ้า
หลายเดือนผ่านไปตามแผนที่ อีกไม่กี่วันชายหนุ่มก็จะเข้าเขตดินแดนปุนต์ ที่ท่านผู้วิเศษทั้งสามอาศัยอยู่
ชายหนุ่มนึกถึงการเดินทางที่ผ่านมา จึงหยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมา แล้วเขียนลงไปว่า..
“การคิดล่วงหน้าว่าจะพบอะไร ก่อนออกเดินทางนั่นคือ การวางแผน การคิดล่วงหน้าว่าจะพบอะไร ก่อนทำการค้า นั่นคือ การวางแผน การเดินทางย่อมพบอุปสรรค การเดินทาง ย่อมมี ความท้อแท้ การเดินทางจะสำเร็จ ต้องมีความมุ่งมั่น การเดินทางถ้าล้มเลิก กลาทาง จะไม่ถึงจุดหมาย ”
“การค้าย่อมพบ อุปสรรค การค้าย่อมมี ความท้อแท้ การค้าจะสำเร็จได้ต้องมีความมุ่งมั่น การค้าถ้าล้มเลิกกลางคัน จะไม่ประสบความสำเร็จ”
ชายหนุ่มเดินทางมาหลายเดือน เพื่อที่ต้องการจะหาความรู้ เพื่อต้องการจะหาความรู้ในการสร้างการค้าให้ประสบความสำเร็จ ชายหนุ่มต้องรอนแรมหลบพายุทราย และเดินทางผ่านทะเลทรายที่ร้อนระอุมาด้วยความยากลำบาก”
เมื่อมาถึงเขตเมืองปุนต์แล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกดีใจมาก ชายหนุ่มจึงบรรยายความรู้สึกลงบนแนกระดาษปาปิรุสว่า..
“ยิ่งผ่าน อุปสรรค มาก เรายิ่งภูมิใจมาก เมื่อถึงจุดหมาย จึงรู้ว่า ยิ่งผ่าน อุปสรรค มากขึ้น เรายิ่งเห็น คุณค่าของสิ่งนั้นมากขึ้น”
“คนชนะ ไม่เคยล้มเลิก คนล้มเลิก ไม่เคยชนะ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาผ่านประตูใหญ่แล้วเดินมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่พบผู้เฒ่า 3 คนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่อย่างสุภาพ พูดจาอย่างเป็นกันเอง และสนุกสนาน
ชายหนุ่มเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ วงสนทนา ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นผู้เฒ่าหนึ่งในสามคนนั้น มีเหรียญที่มีอักษร S เหมือนกับที่ชายหนุ่มมีอยู่ด้วย
ชายหนุ่มไม่กล้าเข้าไปรบกวนการสนทนา ระหว่างนั้นเอง ชายหนุ่มได้หันไปพบเห็นก้อนหินใหญ่แกะสลักตัวอักษรเอาไว้ว่า....
“การทำการค้าเปรียบเสมือนขี่หลังเสือ ถ้าเกิดเบื่ออยากจะลงคงไม่ได้ ถ้าตกลงจากหลังเสือคงเกือบตาย ถึงลงได้ก็ไม่วายถูกกัดเอย
มีทางอยู่หลายทางต่างชีวิต ฟ้าลิขิตหรือเลือกเดินตามความฝัน ถึงทางแยกแปลกใหม่ในทุกวัน จงเลือกกันทางที่สุขมนุษย์เอย
ทางหนึ่งมีกุหลาบอยู่ราบพื้น อีกทางหนึ่งเต็มด้วยหนามใบไม้ไหว อีกทางหนึ่งบนถนนขรุขระไป จะเลือไว้ทางที่ชอบขอบอกเอย
ทางเริ่มต้นอาจยากลำบากหน่อย แต่จะค่อยเริ่มสบายในภายหลัง ถ้าตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง หนามที่ฝังอาจจะออกเป็นดอกเอย
คนขึ้เกียจอย่าได้เลือกทางเฒ่าแก่ คนขึ้แยอย่าได้เลือกทางพ่อค้า คนขึ้บนอย่าได้เลือกทางที่ว่ามา สำเร็จช้ากว่าจะมาถึงเส้นชัย”
คนขยัน คนมุ่งมั่น จึงค่อยคิด คนมีสติ มีสตางค์ มีสร้างสรรค์ คิดบวกลบ ครบถ้วน ด่วนทุกวัน คนคนนั้นน่าประสบสำเร็จเอย”
หลังจากนั้นไม่นานผู้เฒ่าทั้งสามได้หยุดสนทนากันแล้วหันมาสนใจชายหนุ่ม
“เจ้ามาทำอะไรหรือ เจ้าหนุ่ม” ผู้เฒ่าถาม
“ข้าผู้น้อยมีนามว่า แมคก้า ข้าได้เหรียญทองคำห้าเหรียญจากท่านกาแล และท่านกาแลบอกข้าให้เดินทางมา ณ ดินแดนปุรต์เพื่อมาพบกับผู้วิเศษทั้งสามที่เป็นอาจารย์ของท่านเศรษฐีกาแล และนี้คือเหรียญทองทั้งห้าขอรับ” ชายหนุ่มตอบ พร้อมกับหยิบเหรียญทั้งห้าขึ้นมาให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสามชม”
“เจ้าหนุ่มเจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมากล่ะสินะ”
“ข้ารอนแรมจากบ้านเกิดข้ามานานกว่าหกเดือนแล้วขอรับ”
“เจ้ามาถึงดินแดนปุนต์แล้วล่ะ แต่บริเวณนี้ไม่มีผู้วิเศษหรอกนะ จะมีแต่พวกข้าทั้งสามคนที่มาบริเวณนี้บ่อยๆ และพวกเราก็เป็นเพียงคนธรรดาเท่านั้น และที่สำคัญกว่านั้นพวกเราเคยพบกับท่านกาแลเม่อหลายปีมาแล้ว เราเพียงแต่สนทนากัน พวกข้าไม่ได้เป็นอาจารย์ของเขาหรอก”
“ข้าเห็นเหรียณรูปสัญลักษณ์ S บนคอของท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ข้ามี” ชายหนุ่มตอบ
“เหรียญสัญลักษณ์ s นี้นะหรือ”
“มันเป็นเหรียญขอข้าเอง มันมาจากชื่อย่อของข้า ข้ามีนามว่า ชาเลส Sales”
“ส่วนท่านผู้เฒ่าที่สองคือ ท่านผู้เฒ่าโอทูทู ผู้เป็นเจ้าของเหรียญ c เหรียญ E และเหรียญ m” ดูเหมือนท่านโอทูทู จะมีศรีษะล้านจำง่ายที่สุด
ส่วนท่านที่สามยังดูหนุ่มที่สุด มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ยิ้มง่าย หัวเราเก่ง ดูท่าทางเป็นคนมีความสุขตลอดเวลา
“ท่านชื่อว่า โปรฟิตโต้”
“เจ้ามีชื่อว่าอะไรนะ” ผู้เฒ่าชาเลสถาม
“แมคก้าขอรับ”
“แล้วทำไมเจ้าอยากจะรูเรื่องคัมภีร์ห้าเหรียญนี้ล่ะ”
“ข้าทำการค้าตั้งแต่เด็ก แล้วข้าก็ได้ลองผิดลองถูกหลายอย่าง แต่ปรากฎว่าการค้าของข้ามีเงินพอบ้าง และไม่เพียงพอบ้าง แต่ส่วนใหญ่ข้ามักจะขัดสนมากขึ้นเรื่อยๆ นานวันเข้า ข้าจึงไปพบท่านเศรษฐีกาแลประจำหมู่บ้าน ท่านบอกข้าว่า ถ้าข้ามีเหรียญเหล่านี้แล้วมาที่สำนักโมลินเพื่อพบกันผู้วิเศษทั้งสาม ข้าก็จะได้รู้เคล็ดลับความร่ำรวยเหมือนท่านเศรษฐีกาแล ข้าจึงออกเดินทางมาพบพวกท่านทั้งสามนี้แหละขอรับ
“การทำการค้าเจ้าต้องเรียนรู้อีกมากก่อนที่จะเริ่มทำ แล้วถ้ามันเหนื่อยมากเจ้าจะคิดยังทำต่อหรือไม่”
“ข้าเลือกเดินทางนี้แล้ว ข้าขอสู้ต่อให้ถึงที่สุดขอรับ”
“ดี อย่างนั้นเจ้าเข้าไปพักผ่อนก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าเจ้ามาพบพวกข้าที่นี้ แล้วข้าอาจแนะนำเจ้าในการทำการค้าที่พวกข้าเรียนรู้มาตลอดชีวิตให้เจ้าได้รู้ สมกับที่เจ้าได้เนทางมาไกลขนาดนี้
“ขอบพระคุณขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวคำขอบคุณ แล้วเดินไปทางห้องรับรอง แล้วพักค้างแรมที่นั่น ด้วยความเหนื่อยล้าชายหนุ่มจึงหลับตั่วค่ำ
เช้าวันใหม่ ชายหนุ่มออกมาพบผู้เฒ่าทั้งสามที่เดิมซึ่ง ผู้เฒ่าทั้งสามนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับ ท่านผู้เฒ่าทั้งสาม”
“หลับสบายมั้ย เมื่อคืนนี้”
“หลับสบายมากครับ”
“งั้นเรามาเริ่มกันเลย”
“ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง เมื่อสิบปีก่อนมีพ่อค้าชายนูเบียสองคน เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านเรา เมื่อพ่อค้าคนแรกมาถึง ได้นำผ้าฝ้าย และผ้าลินินที่มีลายปักฉลุสีทองเข้ามาในหมู่บ้าน และนำอาหารเพื่อที่จะมาขายให้คนในหมู่บ้าน เป็นแป้งสาลีปั้นกลมๆ แบนๆ และนำน้ำผึ้งมาราดชั้นที่สองเรียกว่า “บายู”
พ่อค้าคนแรกนั้นเมื่อเข้ามาถึงเมืองก็เห็นชาวบ้านในหมู่บ้านเราแต่งตัวด้วยผ้าสีขาวทั้งตัวไม่มีปักฉลุสีทอง และอาหารก็ไม่เคยทานแป้งสาลีที่เรียกว่า “บายู” ด้วย พ่อค้าคนแรกเห็นดังนั้นก็เดินทางจากหมู่บ้านเราไป ไปหาเมืองอื่นที่คคิดว่าว่าชาวบ้านต้องการสินค้าแบบนี้
ส่วนพ่อค้าคนที่สอง ได้นำสินค้าชนิดเดียวกัน คือ ผ้าฝ้ายและผ้าลินินสีต่างๆ ที่มีลายปักฉลุสีทองและแป้งสาลี “บายู” เพื่อที่จะมาขานให้คนในหมู่บ้าน และเห็นคนในหมู่บ้านยังไม่เคยใช้ของประเภทนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเริ่มปักหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การค้าของพ่อค้าคนที่สองเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าใครคิดอยากใช้ผ้าฝ้าย และผ้าลินินปักฉลุสีทองก็จะนึกถึงพ่อค้าชาวนูเบียคนนี้ ถ้าใครอยากกินอาหารจากต่างเมืองก็มาหาพ่อค้าคนนี้อีกนั่นคือบ่อเกิดของความร่ำรวยของพ่อค้าชายนูเบียคนนี้ ที่กลายเป็นเศรษฐีประจำเมืองนี้ไป
“เจ้าได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้บ้าง”
“ข้าคิดว่า พ่อค้าทั้งสองคนมีความคิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเรื่องของโอกาสกับอุปสรรค”
“พ่อค้าคนแรก มองเห็นว่า ที่เมืองนี้ไม่ได้ใช้สินค้าที่เขาขายเขาจึงคิดว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการค้าของเขา เขาไปหาหมู่บ้านที่ใช้ของประเภทนี้เขาก็จะขายมันได้ง่ายกว่า”
“พ่อค้าคนที่สอง มองเห็นว่า ที่เมืองนี้ไม่ได้ใช้สินค้าที่เขาขาย เขาจึงคิดว่ามันเป็นโอกาสทองของเขาที่จะประสบความสำเร็จได้โดยง่าย”
“เก่งมากเจ้าหนุ่มน้อย” พ่อค้าคนที่สองนั้นมีเลือดของพ่อค้าที่แท้จริงอยู่ในตัว เขามองเห็นโอกาสทุกครั้งที่มีอุปสรรค ซึ่งต่างจากพ่อค้าคนแรกที่มองเห็นอุปสรรคทุกครั้งที่มีโอกาส
ชายหนุ่มตั้งใจฟัง ก่อนที่จะหยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมาบันทึกไว้ว่า...
“คนชนะ จะมองเห็น โอกาส ทุกครั้งที่มีอุปสรรค คนล้มเหลว จะมองเห็นอุปสรรค ทุกครั้งที่มีโอกาส”
“ยังมีมากวก่านั้อีก พ่อค้าคนที่สองได้ขายสินค้าที่มีความแตกต่างกับในตลาดของหมู่บ้าน เขาได้ขายสินค้าแบบเดิมด้วยสินค้าใหม่เฉพาะแบบที่เขานำเขามาขายในตลาด ลูกค้าหลายๆ คนได้หันมาลองใช้ผ้าลินินหลากสีปักฉลุ และกินแผ้งสาลีบายู นมแพะ และน้ำผึ้งที่มีรสชาติใหม่ ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่มีคู่แข่ง และทั้งหมดนี้คือ หัวใจของตัว S ที่ย่อมาจากชื่อของข้า “Sales” ชาเลส
“สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการทำการค้า” คือการขาย
“การขาย ที่ยอดเยี่ยม คือ การสร้างความแตกต่าง
“การสร้างความแตกต่าง ในตัวสินค้า คือ การหนีห่างจากคู่แข่ง”
พ่อค้าชาวนูเบียคนนั้น คือ ตัวข้าเอง ตอนทำการค้าเริ่มแรกข้าเองก็ประสบปัญหาเช่นกัน และเมือ่ข้าได้มาพบกับเพื่อรักข้าอีกสองคน คือ ท่านโอทูทู และท่านโปรฟิตโต้ พวกเราชอบนั่งศึกษาเรื่องการค้ากัน ท่านเพื่อนรักข้าทั้งสองได้ช่วยข้าไขปริศนาการทำการค้าได้สำเร็จ และสิ่งทีพวกเราปรึกษากันนั้นได้สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับพวกข้าทั้งสามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“เมื่อท่านเล่าเรื่องมาแบบนี้ ท่านยังมีอุปสรรคอีกหรือครับ”
“เมื่อตอนเริ่มต้นการค้า ข้ามีปัญหามากมายเหมือนพ่อค้าทั่วไปนั่นแหละ ข้านั้นแยกไม่ออกว่า ลูกค้าของข้าคือใคร ข้าต้องทำอย่างไร และพอท่านเพื่อนรักข้าทั้งสองได้ชี้แนะข้าเพียงไม่กี่คำ ข้าก็สามารถทำการค้า และขายสินค้าได้มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณภายในเวลาไม่นานนัก”
“ข้าพอจะมีโอกาสได้รู้เรื่องนี้มั้ยครับ”
“แน่นอน เจ้าต้องได้รู้หมดทุกเรื่องที่สำคัญต่อการทำการค้าเจ้าเดินทางมาไกลขนาดนี้ เจ้าจะได้รู้เรื่องที่เจ้าสมควรรู้”
“เมื่อข้าเริ่มขายสินค้าของข้าทั้งสองอย่าง ข้าอยากจะขายผ้าฝ้ายและผ้าลินินปักฉลุสีทองให้ได้มากๆ
“ข้าเลยตั้งราคาถูกๆ และนำมาวางขายบนพื้นทางเดินที่ตลาด หวังว่าจะมีคนมาสนใจมากๆ มาตั้งแต่เริ่มต้นขาย แต่ปรากฎว่าข้าขายสินค้าไม่ได้สักชิ้นเดียว และข้าคิดว่าข้าจะขายขนมบายูให้ได้มากขึ้น ข้าก็ตกแต่งร้านอาหารของข้าใหม่หมด และตั้งราคาสูงๆที่ เหมาะกัรต้านค้าของข้า หาเด็กๆ มาช่วยงานมากมายเพื่อทำการบิรการลูกค้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครกล้มาลองอาหารแบบใหม่นี้ในชวงนั้นความคิดของข้าที่จะเป็นเศรษฐีใกล้จะดับวูบลง แต่เมื่อข้าได้พบท่านเพื่อรักข้าทั้งสองท่านได้แนะนำข้าบางอย่าก็ทำให้การค้าของข้าดีขึ้นมามาก”
“ท่านเพื่อรักข้าทั้งสอง ได้แนะนำเรื่องลูกค้าใหกับข้า ท่านบอกข้าว่า สินค้าผ้าลินินปักฉลุของข้าคงจะขายได้กับบางคนได้ใช้ไม่ใช่ทุกคน คงจะมีพวกผู้หญิงบางคนอาจะทดลองซื้อผ้าลินินสีสันปักฉลุสีทองไปใช้ แต่ไม่ใช้ทุกคน เพราะวัฒนธรรมของคนที่นี้คือการนุ่งผ้าสีขาวทั้งตัว และมันก็เป็นเรื่องยากที่สุดที่จะให้ทุกคนเปลี่ยนวัฒนธรรมอันยาวนานนั้นให้ทุกคนมาใส่ผ้าสีปักฉลุ”
“ท่านเพื่อนรักข้าทั้งสองยังบอกอีกว่า เมื่อสินค้าขายปริมาณไม่มากและเป็นเฉพาะกลุ่มอย่างนี้ควรตกต่างร้านให้สวยงาม เหมาะกับสินค้าที่สวยงาม ไม่ใช่วางขายกับพื้นดินเช่นนี้ รวมทั้งของที่ขายเฉพาะกลุ่มก็สามารถตั้งราคาที่สูงกว่าผ้าขาวปกติได ซึ่งจะทำให้คนสนใจกันมากขึ้นอีก”
และท่านยังบอกต่อว่า “ถ้าข้าอยกาให้มีคนเห็นว่าสินค้าของข้าดี ก็ให้เชิญผู้หญิงที่สยที่สุดในหมู่บ้านมาสักสองหรือสามคนแล้วให้ผ้าลินินปักฉลุทองกับพวกนางฟรีๆ และให้พวกนางช่วยใส่ผ้านี้เดินไปมารอบๆ เมือง ใส่ชุดนี้อย่าน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
“ข้าลองทำตามที่ท่านเพื่อรักข้าทั้งสองพูดทุกอย่าง มันทำให้การค้าของดีขึ้นผิดหูผิดตา”
“สาวงามสองหรือสามคนที่ข้าแจกผ้าลินินปักฉลุสีทองให้ฟรีเมือใส่ออกมาเดินในตลาดก็มีแต่คนจับตามอง เพราะนางใส่ชุดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ใส่เฉพาะสีขาว มีคนมาสอบถามพวกสาวงามเหล่านั้นว่าได้ผ้าไหมสีสวยนี้จากที่ไหน พวกนางจึงบอกว่ามาจากร้านของข้า ทำให้มีสาวๆ ทั้งหลายมาซื้อของข้า ทำให้สินค้าของข้าหมดในพริบตา รวมทั้งพวกชายหนุ่มฉกรรจ์ที่มาสั่งจองสินค้าของข้าเพื่อให้เป็นของกำนัลกับภรรยาและคนรักของพวกเขา”
ส่วนร้านค้าแป้งบายูนมแพะ และน้ำผึ้ง ท่านเพื่อนรักข้าทั้งสองก็แนะนำว่า อาหารนั้นสามารถขายให้กับทุกเพศทุกวัยได้ ในหมู่บ้านนี้ไม่จำเป็นต้องตกแต่งร้านให้สวยมาก กรรมวิธีของการทำนี้คงจะน่าสนใจไม่ใช่น้อย เมือ่คนเห็นกรรมวิธีในการทำแป้งบายู ก็จะทำให้อยากทานมากขึ้น ที่สำคัญคือ เมือ่สินค้าขายให้กับคนหมู่มากได้ก็ไม่ควรตั้งราคาสูง ตั้งราคาพอดีๆ หรือราคาถูก เพื่อให้คนมากๆ เข้ามาซื้อและตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า
ข้าจึงเปลี่ยนพื้นที่ของการขาย โดยให้ผ้าฝ้าย และผ้าลินินทองปักฉลุมาขายในร้าน และขายขนมแป้งสาลีบายูด้านนอก โดยมีกรรมวิธีให้ลูกค้าเห็นการผลิต ตั้งแต่การตีแป้ง ทำแป้งเป็นแผ่น วิธีการราดนมแพะ และน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอม ทำให้ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเห็นอยากซื้อไปทดลองชิมในราคาไม่แพง และยังบอกต่อกับเพื่อนๆ ให้มาซื้ออีก หลังจากนั้นไม่นานคนก็มาซื้อทานกันเกือบทั่วทั้งเมือง”
“ถ้าเปรียบการขาย เหมือนการเริ่มต้นที่ดี การค้าจะดีหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับการเริ่มต้น การเริ่มต้นได้ดีย่อมได้เปรียบเสมอ”
“มีคนหลายคนที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยสิ่งที่ตัวเองชอบ ตัวเองรักและประสบความสำเร็จทางธุรกิจ และมีความสุขในการทำงานด้วยนั่นคือโชคสองชั้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำธุรกิจแบบที่ตัวเองชอบตัวเองรัก ไม่มีสูตรตายตัว การกระทำแบบเดิมในอดีตนั้นไม่ได้หมายความว่า การทำแบบเดิมอีกครั้งในอนาคตแล้วจะประสบความสำเร็จ”
“การทำธุรกิจจะต้องมีหลักการ ต้องมีแนวคิดที่ถูกต้องก่อนแล้วนำหลักการนั้นมาปรับใช้กับธุรกิจของตน เพราะแต่ละธุรกิจมีวิธีการต่างกัน หรือธุรกิจเดียวกันนั้นถ้านำมาใช้คนละสนางที่ ก็อาจต้องมีวิธีแตกต่างกัน จะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการปรับปรุง
กลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา และสามารถนำมาใช้ได้ดีขนาดไหน องค์ประกอบของความสำเร็จนั้นมีอยู่หลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่าใครนำมาใช้และนำไปใช้กับใคร ใช้ที่ไหน เมื่อไหร่ ใช้อย่างไร”
“การทำการค้าในเมืองนี้ด้วยวิธีการนี้ แล้วประสบความสำเร็จ ถ้าไปทำวิธีการเดียวกันนี้ในเมืองอื่น อาจะไม่ประสบความสำเร็จก็ได้”
“องค์ประกอบของความสำเร็จทางธุรกิจ ปัจจัยแรกคือ การขาย”
“การขาย คือ ก้าวแรกในการออกตัวที่ดีในการแข่งขัน ถ้าการขายทำได้ดีแล้วก็จะดูปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ต้นทุน และค่าใช้จ่าย โดยที่สุดท้าย คนทำการค้าทุกคนก็คาดหวงกำไร”
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกัน พวกเราจะมาต่อกันพรุ่งนี้กับท่านผู้เต่าโอทูทู และผู้เฒ่าโปรฟิตโต้ในวันถัดไป”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวร่ำลาผู้เฒ่าทั้งสาม ชายหนุ่มหยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมาเขียนไว้ว่า....
“การทำการค้าต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าคือใคร ทำอย่างไรทำหลูกค้าสนใจสินค้าเรา
การตั้งราคา จะต้องตรงกับกลุ่มลูกค้า
การจัดสรรสินค้าดีทำให้สามารถขายสินค้า ราคาสูงขึ้นได้
การทำสิ่งที่เราชอบเรารัก ไม่ใช่สิ่งยืนยันว่า จะทำสำเร็จเสมอไป
การทำธุรกิจ ต้องมีหลักการ มีความรู้และแนวคิดที่ถูกต้องก่อน
ธุรกิจที่เหมือนกัน แต่ต่างสถานที่กัน ต่างเวลากัน อาจจะต้องใช้วิธีการต่างกัน จึงจะพบกับความสำเร็จ
มนุษย์หลายคน ชอบการค้าขาย
หนุษย์หลายคน เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้าง
คนแพ้เริ่มต้นทำงานเพราะเงินเล็กน้อย
คนแพ้ เริ่มเบื่องาน
คนแพ้ เริ่มหางานใหม่
คนแพ้ ไม่วางแผนก็ลงมือทำ
คนแพ้ เริ่มท้อแท้
คนแพ้ บางคน ปรับตัวด้วยการกราบไหวฟ้าดิ
คนแพ้ บางคน ประสบความล้มเหลวและกลับไปท้อแท้อีกครั้ง
มนุษย์หลายคนชอบการขาย
มนุษย์หลายคน เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้าง
คนชนะ เริ่มต้นจาก การทำงานที่รัก
คนชนะ เริ่มทำงานดีขึ้น
คนชนะ มักมีการวางแผนที่ดี
คนชนะ ปรับตัวด้วยการหาความรู้เพิ่มเติม
คนชนะ ประสบความสำเร็จ มีการงานมั่นคง ขยายกินการใหญ่โต มีอำนาจมากขึ้น
ชายหนุ่มไดร่ำลาท่านทั้งสาม แล้วมุ่งหน้าเดินเข้าไปในเมืองภายในตลาดก็ยังคงคึกคักอยู่เหมือนเดิม มีคนขายของมากมายมีพ่อค้าต่างเมืองอยู่มากด้วยเช่นกัน มีผลไม้หน้าตาแปลกๆ ที่หมู่บ้านเขาไม่มี เด็กโตก็จะมาช่วยผู้ใหญ่หาทองคำคล้ายๆ กับหมู่บ้านของเขา ระหว่างทางนั้นชายหนุ่มเหลือบไปเห้นโรงตีเหล็กขนาดใหญ่ มีช่างตีดาบมากมาย มีป้ายชื่อของโรงตีดาบว่า “โอทูทู”
ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจว่าเป็นการค้าของท่านผู้เฒ่าโอทูทูหรือไม่ จึงตรงเข้าไปถามกับหัวหน้าช่างตีดาษ แล้วก็เป็นจริงดังที่คาดไว้ ว่าน้นเป็นธุรกิจของท่านผู้เฒ่าโอทูทู ที่ได้รับคำสั่งจากองค์ฟาโรห์ให้ตีดาบและโล่ห์ รวมทั้งเกราะเหล็กให้กับทางพระราชวังให้พวกทหารหลาวงใส่เพื่อทำการออกรบ
ชายหนุ่มเก็บข้อมูลแล้วกลับมาที่พัก เขานอนคิดอยู่ว่าพรุ่งนี้เช้าท่านผู้เฒ่าจะสอนอะไรเข้าอีก
เช้าวันถัดมา ชายหนุ่มก็ออกมาพบท่านผู้เฒ่าทั้งสาม
ชายหนุ่มเล่าให้ผู้เฒ่าทั้งสามฟังว่า เขาได้ไปพบกับโรงตีดาบของท่านผู้เฒ่าโอทูทู
“ใช่แล้ว นั่นคือกิจการของข้าเอง และข้าก็จะยกตัวอย่างกิจการข้องข้าเพื่อมาสอนเจ้า อธิบายความหมยของเหรียญอีกสามเหรียญให้กับเจ้า นั่นคือเหรียญ C E และ M”
“เมื่อวานนี้ เจ้าเรียนรู้เรื่องการขายมาแล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอที่จำให้เป็นเศรษฐีที่เงินทงอไม่มีวันหมด อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรื่องต้นทุน และค่าใช้จ่าย”
“คนส่วนใหญ่ รู้จักคำว่าต้นทุน ข้าคิดว่าเจ้าเองก็รู้ใช่มั้ย”
“แต่มีน้อยคนนักรทีรู้จักมันจริงๆ การทำการค้าจะต้องรู้จักต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะอยู่รอด”
“ต้นทุนใครๆ ก็รู้จักนะครับ มันมีอะไรที่แยบยลกว่านั้นหรือ”
“ใช่แล้ว เมื่อเจ้าผลิตอะไรสักอย่าง เจ้าต้องใช้วัตถุดิบอย่างเช่นกิจการของข้า โรงตีดาบโอทูทู จะต้องซื้อเหล็กเข้ามาเป็นวัตถุดิบ ข้าจะต้องซื้อถ่าน หรือไม้ที่นำมาเป็นเชื้อเพลิง มีค้อนอุปกรณ์อื่นๆ ที่จะต้องมีให้ครบถึงจะสามารถผลิตดาบได้”
“เรื่องนี้ข้าผู้น้อยพอจะทราบครับ”
“และเจ้าว่ามีอะไรอีกหรือไม่ล่ะ ที่เป็นต้นทุน”
“คิดว่าไม่มีแล้วครับ”
“มันมี ต้นทุนมนุษย์ อยู่อีกนะ”
“ต้นทุนมนุษย์ มันคืออะไรครับ”
“ทุกคนที่มาทำงานจะต้องได้ค่าแรง ค่าจ้างกลับไป เพื่อใช้จ่างต่างๆ ในชีวิตรวมทั้งตัวของข้าเองด้วย เพราะข้าก็ต้องกินต้องใช้เหมือนทุกคนนั่นแหละ
“แต่ท่านไม่ได้ไปทำงานที่นั่นนี่ครับ”
“ใช่ ถึงแม้ข้าจะเป็ฯเจ้าของกิจการโรงตีดาบ ข้าก็ต้องมีภาระของข้าเอง ข้าจึงต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนตัว ที่นำมาจากกิจการ”
“นั้นหมายความว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกิจการ ที่กิจการต้องนำมาเป็นภาระ นั้นก็คือ ต้นทุนมนุษย์ใช่มั้ยครับ”
“ถูกต้อง คนส่วนใหญ่ทำกิจการแล้วคิดเพียงแค่ซื้อของมาเท่าไหร่ก็ขายให้ในราคาที่สูงกว่าของที่ซื้อมานิดหน่อยก็พอแล้ว แต่คนเหล่นั้นลืมคิดไปว่าตัวเองก็นำค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาให้กินการและนำมาใช้ แต่ไม่ได้คิดมาเป็นต้นทุนมนุษย์ ทำอย่างนั้นไม่นาเงินทองของกิจการก็อาจะเริ่มฝืดเคือง และก็ยังหาไม่เจอว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร และท้ายที่สุดก็ต้องปิดกิจการลง”
“ถ้านำทุกอย่างมารวมกันไว้ ต้นทุนสินค้าก็จะสูงสิฮะ”
“ถูกต้อง แต่นั้นคือความจริง ซึ่งความจริงของกิจการ เจ้าจะต้องรู้ทุกอย่างที่เป็นข้อมูลแท้จริง เจ้าถึงประสบความสำเร็จ ถ้าแม้แต่เจ้ามีวิธีการคิดที่ผิด การกระทำของเจ้าก็ย่อมผิดตามไปด้วย เมื่อการกระทำผิด เจ้าก็มิอาจจะประสบควาสำเร็จได้”
“เดิมที ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องนี้หรอก ข้าไดรับคำสั่งจากท่านแม่ทัพขององค์ฟาโรห์ให้ผลิตดาบขึ้นมา
“ก่อนข้าเริ่มขายอาวุธให้กับคำสั่งซื้อจากพระราชวัง ข้าเองก็มีต้านตีดาบเล็ๆ อยู่ในเมือง ในตลาดก็จะมีร้านตีดาบของข้าอยู่หนึ่งร้นและร้านของึคนอื่นๆ อีกสองร้าน ร้านทั้งสามนั้นได้รับคำสั่งซื้อจากพระราชสังให้ผลิตอาวุธอย่างดีให้กับทหารที่มีปริมาณมากขึ้น ในอดีตพวกทหารขององค์ฟาโรห์จะได้ใช้อาวุธที่พวกเขาผลิดขึ้นมาเองในวังจากแผนกผลิตอาวุธ ซึ่งในเวลานั้นไม่สามารถผลิดอาวุธได้ทันตามปริมาณทหารที่ถูกเกณฑ์เข้าไปมากขึ้น คำสั่งซื้ออาวธต่างๆ จึงตกมาถึงพวกข้าเจ้าของร้านเล็กๆ ทั้งสามแห่ง” ผู้เฒ่าโอทูทูหยิบดาบขึ้นมาดูหนึ่งเล่มแล้วกล่าวต่อไปว่า
“คำสั่งซื้อปริมาณมาก พวกร้านทั้งสามได้ขยายกิจการจนกระทั่งมีช่างผลิตอายุธร้านละสามสิบหรือสี่สิบคน เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี พวกเรากลายเป็นผู้มั่งคั่งในเมือง แต่เราก็ยังต้องทำงานหนักอยู่แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิบปีเท่านั้น เจ้าของร้านกิจการตีดาบเหลือแค่เพียงของข้าแห่งเดียวเท่านั้น” ท่านโอทูทูกล่าว
“ทำไมเหรอครับท่าน ในเมือ่กิจการของร้านทั้งสามมียอดขายจากพระราชวังตลอด แล้วทำไมพวกเขาถึงเลิกทำกันครับ” แมคก้าเอ่ยถาม
“พวกเขาไม่ได้อยากเลิกหรอก แต่มีเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นจุดเปลี่ยน มันเป็นเรื่องของต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ข้ากำลังจะเล่าให้ฟังว่ามันมีผลต่อกิจการอย่างไร”
“ร้านตีดาบแห่งแรก มีกิจการดีมาก เจ้าของมั่งคงมีเงินไปเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ในช่วงเริ่มต้นร้านอาหารมีคนสนใจเข้าไปทานกันมากในร้านคับคั่งไปด้วยผู้คน เจ้าของร้านตีดาบผลิดสินค้า ไม่รู้จักวิธีบริการคนที่ดีพอ ทำให้ลูกค้าหลายคนไม่ได้รับความพึงพอใจกับปริมาณคนที่มาก และอาหารที่ช้า รวมกับพนักงานไม่ค่อยจะบริการแขกสักเท่าไหร่ จึงทำให้ลูกค้าร้านอาหารน้อยลงทุกที”
กิจการเริ่มย่ำแย่ทุกวัน จากการที่มั่งคั่งในการผลิตดาบก็จะต้องนำกำไรจากร้านผลตอาบมาให้กับกิจการร้านอาหารอย่างต่อเนื่องร้านอาหารเริ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ร้านตีดาบก็พลอยแย่ลงไปด้วย เนื่องจากเจ้าของกิจการไม่มีเวลาเข้าไปดูแล คุณภาพดาบที่ผลิตก็ไม่สมบูรณ์ ถูกทางพระราชวังตำนิ และถูกยกเลิกคำสั่งซื้อหลายต่อหลายครั้ง เมื่อกิจการ้านอาหารไม่ดี และยังมาดึงความก้วหน้าของกิจการร้านตีดาบ ทำให้การค้าย่ำแย่ลงไปอีกแห่ง” ท่านโอทูทูหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“แล้วท่านเคยพูดหรือเคยให้คำแนะนำกับเจ้าของร้านคนนี้หรือไม่ครับ” แมคก้าเอ่ยถาม
“เคยสิ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจ มีอะไรก็จะปรึกษาหารือกันหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายเจ้าของร้านที่หนึ่งตัดสินใจเลือกที่จะทำร้านอาหารให้ดีขึ้นกว่าเดิม และตั้งใจจะเปิดเป็นโรงแรมด้วยจะได้มีลูกค้าประจำคอยสั่งอาหาร เจ้าของร้านที่หนึ่งบอกข้ามันเป็นความฝันของเขาตั้งแต่เด็ก เมื่อตอนที่เขาเป็นเด็กนั้นยกจนมาก มีอาหารทานก็ไม่ครบทุกมื้อ อาหารก็เป็นของเหลือจากร้านอาหรใหญ่ๆ เขาจึงใฝ่ฝันอยากจะมีร้านอาหรเป็นของตัวเองจะได้กิจของดีๆ ตลอดไป”
“สุดท้าย เจ้าของร้านที่หนึ่งต้องการเงินจำนวนมากในการปรับปรุงกิจการร้านอาหารที่ไม่ถนัด เขาจึงตัดสินใจขายกิจการผลิตดาบให้ข้า เพื่อแลกกับเงินก้อนโต และหวังจะให้ธุรกิจร้านอาหารประสบความสำเร็จ”
“อย่างนี้ร้านของท่าก็กลายเป็นร้านผลิตดาบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองสิครับ” แมคก้าอยากรู้ถึงความสำเร็จ
“ยังหรอก ร้านของข้าเมือ่รวมกับกิจการกับร้านผลิตดาบที่หนึ่งแล้วก็ใหญ่เท่าๆ กับร้านผลิตดาบที่สองเท่านั้น ร้านที่สองนั้นใหญ่มากทีเดียว มีคนงานเกือบร้อยคน เดี๋ยวเราเดินไปคุยกันข้างในดีกว่ามั้ย หลังทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังต่อ”
“การทำการค้า ควรทำในสิ่งที่ตนเองถนัด การค้า ต้องมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ ถึงจะคงอยู่ได้ การค้าที่ไม่ดี มักจะดึงการค้าที่ดีให้ตกต่ำลงไป”
“ค่าใช้จ่ายจากการค้าที่ไม่ดี ที่ดูแลตัวเองไม่ได้จะทำให้ค่าใช้จ่ายของร้านที่ดี เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ค่าใช้จ่าย ที่มากเกินกว่า รายได้ จะทำให้การค้า ต้องล่มสลาย”
ท่านโอทูทูเดินเข้ามาในโรงผลิตดาบมีคนงานกำลังขะมักเขม้นในการตีดาบ ทำอาวุธ หอก มีดสั้น เกราะป้องกันตตัว เกราะหมวกเหล็ก โซ่ ตรวน เตาหลอมเหล็กหลายสิบเตาร้อนระอุเสียงค้อนที่ทุบเหล็กดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ท่านโอทูทูพาข้าเดินไปในโรงงานถัดไป ซึ่งเป็นที่ตรวจคุณภาพอาวุธ และเตรียมบรรจุก่อนส่งเข้าพระราชวัง ระหว่างทางมีคนงานหลากหลายคนทักทายท่านโอทูทู
“พ่อหนุ่ม เจ้าจงจำชายที่นั่งอยู่ที่มุมห้อง ผู้ที่กำลังตรวจนับสินค้าก่อนที่จะบรรจุส่งเข้าพระราชวัง เจ้าเห็นเขาใช่มั้ย” ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูถาม
“คนหนุ่มที่ดูสำอาง และเหมือนมีความรู้คนนั้นใช่มั้ยขอรับ” แมคก้าถามย้ำ
“ถูกต้อง ชายหนุ่มผู้นั้นแหละ แล้วช่วงบ่ายข้าจะเล่าเรื่องของเขาให้เจ้าฟัง” ท่านโอทูทูตอบ
“เอาล่ะ เจ้านั่งรอที่ห้องรับรองนี่แหละ เดี๋ยวจะมีคนมาเตรียมอารกลางวันให้พวกเราทานกัน แล้วข้าจะไปทำธุระของข้านิดหน่ออย และจะกลับมาทานอาหารพร้อมเจ้านะพ่อหนุ่ม”
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า เชิญท่านทำธุระของท่านก่อน ข้าจะรอท่านอยู่บริเวณนี้”
เมื่อท่านโอทูทูเดินออกไป ชายหนุ่มได้หยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมา เพื่อบันทึกบทเรียนเมื่อเช้าของเจ้าของร้านตีเหล็กคนที่หนึ่งว่า....
บ่าวรับใช้หลายคนเริ่มยกอาหารหลากหลายมาวางบนโต๊ะอาหาร หลังจากนั้นไม่นานผู้เฒ่าโอทูทูก็เดินเข้ามา
“เอาล่ะ ข้าเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว เรามาทานอาหารกัน”
อาหารสำหรับพวกเศรษฐีนี่อร่อยมากจริงๆ ชายหนุ่มนึกในใจ แล้วยังมีคนรับใช้มากมายมาคอยบริการอีก อาหารมื้อนี้ช่างอร่อยและสะดวกสบายดีจริงๆ
เมื่อทานอาหารเสร็จ ทั้งสองเดินมาที่ห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านนอกบริเวณห้อง ที่สามารถมองเห็นคนงานอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ยังพอได้ยินเสียงช่างตีเหล็กทุบอาวุธต่างๆ อยู่ไกลๆ
บ่าวรับใช้นำนมแพะอุ่นๆ มาให้ทานยามบ่าย
“เราเริ่มเรื่องของเราต่อกันดีมั้ย พ่อหนุ่ม”
“ขอรับ”
“มาถึงร้นตีเหล็กร้านที่สอง ร้านนี้มั่งคั่งกว่าร้านของเขาและที่หนึ่งเป็นสองเท่า มีช่างตีดาบมากมายร่วมร้อยคน เจ้าของร้านที่สองนี้เป็นคนเก่ง ลาด และยังมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามด้วย บุคลิกอันสง่างาม ทำให้เจ้าของร้านที่สองนี้มีสาวสวยที่อยากเข้มาเป็นภรรยามีมากมาย เขามีภรรยาสาวสวยหลายคนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยรวมแล้วท่านมีภรรยาทั้งหมดแปดคน”
“โอโหแปดคน เลยเหรอครับ”
“ใช่ เป็นเศรษฐีที่ผู้ชายทุกคนในเมืองอิจฉา รวมทั้งข้าด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูมีอารมณืขันแทรกเข้ามา
“ท่านเจ้าของโรงงานตีดาบแห่งที่สองนี้เป็นใจกว้าง ชอบสนุกสนานเฮฮา มีเสนห์ หน้าตาดี บุคลิกดี” รวมทั้งชอบการเสี่ยงโชคด้วย”
“ท่านชอบเล่นการพนันหรือขอรับ”
“ถูกต้อง นอกจากความสนุกสนานเฮฮา ภรรยามาก ท่านยังชอบดื่มสุรา และดูการแข่งขันอูฐเป็นพิเศษ ท่านเล่นการพนันทุกอย่างที่มีในเมืองนี้ ในช่วงต้นท่านเป็นคนโชคดี เสี่ยงโชคทุกครั้งชนะทุกครั้ง จนเป็นที่ร่ำลือของหมู่บ้านว่าท่านมีเทพนำโชคอยู่บ้างกายท่านตลอดเวลา”
“การค้าก็เจริญรุ่งเรือง ๓รรยามากมาย ชีวิตมีแต่ความสุขทุกวันๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านได้รับคำสั่งซื้อจากพระราชสังน้อยลงเนื่องจากทหารรับใช้ของพระองค์ถูกเกณฑ์เพื่อมาสร้งปิรามิด และพระราชวังใหม่ จึงลดการสั่งซื้ออาวุธลงทำให้รายได้จากโรงตีดาบลดน้อยลง ซึ่งข้าเองก็คิดว่า ถ้าเพียงแค่นั้น การค้าของเจ้าของโรงตีดาบที่สองก็ไม่สะเทือนเท่าไหรหรอก”
“แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่านเจ้าของโรงตีดาบแห่งที่สองนั้น มีค่าใช้จ่านยมากเกินไป ค่าใช้จ่ายของภรรยาแปดคน ซึ่งจะต้องแต่งตัวสวยงานทุกวัน โดยที่ไม่รุ้ว่าสามีกำลังมีรายได้ลดลงเรื่อยๆ บอกกับความใหม่โตของกิจการมีช่างตีดาบนับร้อยที่ต้องดูแล บ่าวรับใช้อีกจำนวนมาก ที่ต้องจ่ายเงินเดือน ทำให้การค้าเริ่มเข้าขั้นวิกฤตเพราะมีรายจ่ายมากกว่ารายได้”
“ภรรยาทุกคนพยายามแข่งกันซื้อเครื่องประดับทุกวัน และทานอาหารดีๆ ทุกวันเชนเดิม และยังมีบ่าวรับใช้ส่วนตัวอีกไม่ต่ำกว่าสี่คน ต่อภรรยาหนึ่งคน ซึ่งรวมๆ แล้วก็หลายสิบชีวิตที่ท่านเจ้าของโรงตีดาบแห่งที่สองต้องรับผิดชอบ แต่ท่านก็อยากให้ภรรยมีความสุขอยู่อย่างนั้น ไม่อยากเล่าเรื่องรายได้ที่ลดลงให้ฟัง”
“จนกระทั้งทรัพยสมบัติ และทองคำลดลงไปอย่างมาก ท่านเจ้าของร้านที่สอง เมามายทุกวัน ความสุขลดลง ไม่มีเวลาเข้าไปดูแลกิจการ คุณภาพสินค้าก็ลดลง ช่วงตีดาบเมือ่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ต่างก็พากันลาออก นานวันเข้าการค้าเริ่มแย่ลง ภรรยาแต่ละคนขอเบิกค่าใช้จ่ายก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ภรรยาทุกคนเริ่มรู้เรื่องกิจการค้าที่ไม่สู้ดีนัก ภรรยาบางคนเริ่มตีตัวออกห่างหายตัวไปเฉยๆ ทยอยไปกันทีละคนสองคน จรกระทั่งเหลือภรรยาคนแรกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยร่วมทุกขร่วมสุขกันมา จึงเห็นอกเห็นใจกันไม่หนีไปอย่างภรรยาคนอื่นๆ”
“เมื่อการค้าแย่ลง ภรรยาหนีไปเกือบหมด ท่านเจ้าของโรงตีดาบที่สองก็ดื่มสุราหนักทุกวัน เมามาย และก็ยังติดการเสี่ยงโชคหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะเวลเสี่ยงโชคก็จะทำให้ชว่งเวลาขณะนั้นเพลิดเพลิน ลืมความทุกข์ไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ที่ไหนได้ ท่านเจ้าของร้านที่สองไม่ได้โชคดีดังเดิม ท่านเสี่ยงโชคทุกครั้งต้องสูญเสียทองคำจำนวนมากทุกครั้ง จนกระทั่งท่านต้องยืมทองคำจากเจ้าของบ่อนหลายๆ แห่ง เป็นหนี้การพนันมากมาย”
“ชีวิตของท่านเจ้าของร้านท่สอง ตกต่ำถึงขึดสุด จำเป็นจะต้องหารเงินมาจ่ายหนี้ ท่านึงมาพบกับข้า และขอร้องให้ข้าซื้อกิจการของท่านเจ้าของร้านที่สอง เมือ่ท่านจ่ายหนี้หมด ก็จะทำเงินที่เหลือมาทำการค้าเล็กๆ น้อยๆกับภรรยหลวงที่อยู่กินกันมานานหลายปี และทั้งสองก็มีลูกชายอยู่หนึ่งคน ท่านก็ฝากชีวิตลูกชายคนนั้นมาทำงานกับข้า”
ท่านโอทูทู หยุดเล่าชั่วขณะ พร้อมหยิบแก้วนมแพะอุ่นขึ้นมาดื่ม
“พ่อหนุ่ม เจ้าจำชายหนุ่มที่อยู่ในคลังตรวจนับสินค้าเมื่อตอนเข้ามาได้มั้ย ที่ข้าบอกให้เจ้าจำเขาไว้น่ะ”
“ข้าจำได้ขอรับ ชายหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นลูกผุ้ดี มีความรู้ใช่มั้ยครับ”
“ใช่แล้ว นั่นแหละ คือลูกชายคนดียวของภรรยาหลวงที่ท่านเจ้าของร้านที่สองฝากให้มาทำงานหาความรู้จากข้านี่แหละส่วนลูกที่มีกับภรรรยาคนอื่นๆ พวกภรรยเหล่านั้นก็พาลูกหนีไปด้วยทุกคน ท่านจึงไม่เหลือใครอีกแล้ว”
“โรงตีดาบที่หนึ่ง และสองก็ตกเป็นของท่านผู้เฒ่าโอทูทูทั้งหมดน่ะสิครับ”
“ใช่ นั่นแหละที่ทำให้ข้าเป็นเจ้าของโรงตีดาบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองยังไงล่ะ”
“ดังนั้นเมื่อมีคำสั่งอาวุธจากในพระราชวังมา ท่านก็เป็นผู้ผลิดผู้เดียวใช่มั้ยขอรับ”
“แน่นอน การค้าของข้าเริ่มต้นจากการที่ทำให้การค้าอยู่รอดมั่นคงและมั่งคั่ง แต่ก็มีตัวอย่างการค้าที่ล้มเหลวให้ดูเช่นกัน นั่นคือคืออุทาหรณ์ที่คอยเตือนใจข้าตลอดว่า เมื่อกิจการดีขึ้นมาแล้วก็อย่าทำให้ตัวเองมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเกินตัวเป็นอันขาด เพราะเมื่อถึงคราววิกฤตการค้ามีรายได้น้อย จะทำให้เราขาดทุนจากค่าใช้จ่ายที่สูงลิบ
“อีกทั้งยังมีเรื่องส่วนตัวอีก ทองคำควรจะยกกันในเรื่องการค้า และเรื่องครอบครัว เหมือนกับการแยกถุงทองคำซ้ายกับถุงทองคำขวานั้นแหละ เงินทองมันจะได้ไม่ปนกัน เงินของครอบครัวมีเท่าไรก็ใช้เท่านั้น ไม่ควรดึงเงินของกิจการค้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพราะเงินของกิจการค้านั้นจะต้องมีหมุนเวียนตลอดเวลา ต้องจ่ายค่าวัตถุดิบ แร่เหล็กต่างๆ จ่ายค่าจางคนตีเหล็ก จ่ายค่าบ่าวรับใช้ วัสดุอุปกรณ์ในโรงานอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นเงินของกิจการจะสำคัญอย่างยิ่ง เจ้าของกิการนั้ก็จะต้องมีการกำหนดรายได้เป็นของตัวเอง อยากได้เท่าไรก็เอาไป แต่จะต้องมีการกำหนดเป็นเงินเดือนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่นึกอยากจะหยิบออกไปใช้เมื่อไรก็ได้ เพราะนึกว่าถุงทองคำซ้ายก็ทองข้า ถุงทองคำขวาก็ทองข้า ทุกคนคิดเช่นนี้”
“พ่อหนุ่ม เจ้าจงจำเรื่องนี้ให้ดีเถิด แล้เรื่องค่าใช้จ่ายในการค้าของเจ้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้าในอนาคต”
“ตลอดเวลาที่ท่านทำงาน ท่านแยกค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช้จ่ายของกิจการใช่มั้ยขอรรับ”
“ถูกต้อง ข้าเชื่อของข้าอย่างนั้นตั้งแต่ต้น ข้าพยายามจะไม่ให้ทองคำของข้าปะปนกัน ทองคำของกิจการจะต้องถูกนำมาจับจ่ายกับกิจการค้าที่มีผู้เกี่ยวข้องมากมาย ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย คนตีเหล็ก คนตีโลห์ คนทำหมวกเหล็ก บ่วรับใช้ เด็กเลี้ยงอูฐ อาหารสำหรับคนมากมายเท่านี้มันก็จำเป็นมากแล้วล่ะ ข้าจึงไม่นำภาระส่วนตัวของข้ามาปะปนเอาไว้อีก สำหรับข้าเองข้าเลือกที่จะมีเงินเดือนของข้าเอง มีรายได้ประจำ มีแค่ไหนใช้แค่นั้น แต่โดยส่วนใหญ่ข้ามักจะมีทองคำเหลือเก็บไว้เสมอ ทุกครั้งที่ข้าได้รายได้ประจำ ข้ามักจะเก็บทองคำหนึ่งเหรียญจากทุกๆสิบเหรียญโดยจะไม่ใช้มันเลย จนกระทั่งทุกวันนี้”
“มันหมายถึง ถ้าท่านมีรายได้สิบเหรียญทองคำ ท่านมักจะเก็บหนึ่งเหรียญไว้เสมอรึขอรับ”
“ถูกต้อง ถ้าข้ามีรายได้ยี่สิบเหรียญทองคำ ข้าก็จะเก็บมันไว้สองเหรียญเสมอ”
“มันมีความหมายอ่างไรครับ”
“ทุกคนมักจะมีความจำเป็นที่ต้องใช้ทองคำจนหมดเสมอ ทุกอย่างดูเหมือนแนเร่องจำเป็นที่ต้องใช้ทองคำ จนกระทั่วทองคำของเจ้หมด และเจ้าก็จะไม่มีทองคำเหลือเก็บไว้ใช้ในอนาค ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้เลือนมาทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น เป็นหัวหน้าคนตีดาบ หรือแม้กระทั่วเป็นพ่อบ้านผุ้ดูแลฝ่ายคลังสินค้าก็ตาม ความจำเป็นในการใช้ทองคำก็ไม่มีวันจบสิ้น เจ้าจะมีภาระเพิ่มขึ้นมากมายเมื่อหน้าที่การงานเติบโตขึ้น เจ้าจะมีครอบครัว มีภรรยาและลูกที่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เจ้าต้องมีบ้าน มาหระอูฐที่สง่าไว้คอยรับใช้ส่วนตัว มีบ่าวยรับใช้ เพื่อความสะดวกสบายขึ้น ทานอาหารดีขึ้น บ้านหลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จำนวนเด็กๆ ที่เพิ่มขึ้นและโตขึ้นเรื่อยๆ การศึกษาดีๆ ที่ทำให้เต็กๆ ฉลาดขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าไปทำงานรับใช้องค์ฟาโรห์”
“ดูเหมือนหน้าที่การงานที่ดีขึ้นจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจึงทำให้ทุกคนมีทองคำเหลือเก็บ” แมคก้าเข้าใจเพิ่ม
“ถูกต้อง เกือบทุกคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น มักจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นข้าขอแนะนำเจ้า เจ้าจะต้องมีทองคำเหลือเก็บหนึ่งเหรียญในทุกๆ สิบเหรียญ ก่อนที่เจ้าระเริ่มใช้มัน ย้ำฟังให้ดีนะ ก่อนที่เจ้าจะเริ่มใช้ทองคำที่ได้มา เจ้าจะต้องเก็ฐมันขึ้นมาก่อนหรึ่งเหรียญเสมอ”
“แล้วข้าจะเก็บมันไว้ทีหลัง หลังจากใช้ไปเก้าเหรียญแล้วไม่ได้หรือขอรับ” แมคก้าถาม
“คนส่วนใหญ่ทำเช่นนั้ แต่แล้วในที่สุดกับดักของค่าใช้จ่ายก็ถูกขุดให้ลึกลงไป ทำให้เราถลำลึกลงไป จนกระทั่วไม่มีทองคำให้เหลือเก็บ แม้แต่หนึ่งเหรียญทองคำ แถมบางครั้งยังมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก”
“ข้าจะจดจำบทเรียนนี้ไว้เป็นอย่างดี ข้าจะเก็บทองคำหนึ่งเหรียญในทุกๆ สิบเหีรยญที่ข้าหามาได้เอาไว้ก่อนที่จะนำมันมาใช้ แล้วอย่างนี้ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูก็มีทองคำเก็บมากมายซิครับ”
“ใช่ แน่นอน แต่บทเรียนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จต่างๆ เจ้าเพียงแต่รู้วิธีเก็บทองคำที่ดี เจ้าก็จะเป็นผู้ชนะห้าคนจากคนร้อยคน”
“แค่รู้วิธีการเก็บทองคำที่ดี ก็เป็นผุ้ชนะห้าคนจากร้อยคนแล้วเหรอครับ แล้วอีกเก้าสิบห้าคนก็ตกหลุมพรางกับดักค่าใช้จ่ายทั้งหมดน่ะสิครับ หรือแปลว่า คนเราไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ เพราะทุคคนจะพบว่ามันจำเป็นเสมอใช่มั้ยครับ”
“ส่วนใหญ่ ข้ามักจะพบเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นแหละที่ข้าให้ตัวเลขถึงห้าคนนับว่ามากที่สุดแล้ว”
“แล้วข้าจะทำเงินที่เหลือจากเก็บมาทำอะไรขอรับ”
“บทเรียนที่ข้าสอนเจ้าก็มีเรื่องค่าใช้จ่าย และวิธีการเก็บเงินที่เหลือกจากค่าใช้จ่าย ส่วนเงินที่เหลือเก็บนั้น พรุ่งนี้ผุ้เฒ่าโปรฟิตโต้ท่านจะนำความรู้ที่ดีในการทำเงินเก็บของเจ้างอกเงยเพิ่มพูนจนทองคำของเจ้าไม่มีวันหมด”
“โอโห แค่บทเรียนของท่านวันนี้ข้าก็พอจะมองเห็นหนทางแห่งความสำเร็จอยู่ไม่ไกลแล้ว ยิ่งท่านพูดให้ข้าอยากรู้เรื่องท่านผู้เฒ่าโปรฟิตโต้ด้วย ข้าคิดว่าคืนนี้ข้าคงอดจารอไม่ไหวแน่ๆ เลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แน่นอนอยู่แล้ว บทเรียนของข้าเป็นเพียงแค่ก้าวแรกแห่งการเริ่มต้นที่ดี และจะมีบทเรียนต่อๆไป เพื่อให้เจ่าประสบความสำเร็จทางการค้าได้”
“เอาล่ะ ข้าจะให้เด็กของข้าส่งเจ้ากลับไปที่พักนะ แล้วพน่งุนี้จะมีคนไปรับเจ้าไปหาท่านผุ้เฒ่าโปรฟิตโต้ในตอนเช้า”
“แล้วข้าจะมีโอกาสได้พบพวกท่านอีกมั้ยขอรับ”
“วันสุดท้ายที่เจ้าจะกลับ พวกเราก็จะนั่งคยกันที่เดิมที่เจ้ามพบพวกข้าตั้งแต่วันแรก”
“อย่างนั้น วันนี้ข้าขอลากลับก่อนนะขอรับ ขอบพระคุณท่านมาก ข้าจะไม่มีวันลืมบทรียนต่างๆ ท่านสอนให้ข้าวันนี้เลย”
เมือกลับมาถึงที่พัก ชายหนุ่มรู้สึกอิ่มเอิบกับความรู้มากมายที่ได้รับในวันนี้ ว่าไม่ใช่เพียงการขายอย่างเดียวที่จะทำให้การค้ารุ่งเรือง
การควบคุมค่าใช้จ่ายก็เป็นเครื่องมือที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้การค้าประสบความสำเร็จ คือ การรู้จักเก็บทองคำหนึ่งส่นจากสิบส่วนที่ได้รับเข้ามา จะเป็นบทเรียนที่เขาจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต เพราะเขาคิดได้ว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหมดในชีวิต
หลังจากชำระร่างกายเรียบร้อย ก่อนชายหนุ่มออกมานอกห้องนอน บรรยากาศภายนอกเริ่มเย็นลง ท้องฟ้ามือมิด เห็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง และดวงดาวนับพันที่อยู่บนท้องฟ้า ชายหนุ่มคิดถึงบ้านที่จากมา คิดถึงพี่สาวมูมายที่รอคอยการกลับมาของตนอยู่ คิดถึงน้องมินาที่ยังตัวเล็ๆ รออ้มอแขนอันอบอุ่นของพี่ชาย ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ชายหนุ่มหวังว่าการเดินทางหาความรู้ครั้งนี้จะช่วยทำให้ตน และพี่น้องอีกสองคนจะมีชีวิตอยู่อย่างสบายในอนาคต
แมคก้าเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านที่คิดว่าควรจะมีหน้าที่เป็นผุ้นำครอบครัว เป็นผู้นำให้เกิดความมั่งคั่งในธุรกิจของตน ซึ่งจะทำให้พี่น้องที่ตนรักที่สุดทั้งสองมีความเป็นอยู่อย่างสบายตลอดไป ไม่ใช้เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวอย่างในอดีต
เมื่อมีทองคำมากขึ้น ชีวิตก็จะสบายขึ้น ถ้ามีทองคำมากขึ้นครอบครัวก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เขามาแสงหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้มีทองคำใช้โดยไม่มีวันหมด นั่นคือ คำถามที่เขาได้ถามจากเศรษฐีกาแลผู้มั่งคั่งที่สุดในหมู่บ้านของเรา คำถามที่ถูกต้องนั้นทำให้แมคก้าได้เหรียญวิเศษทั้งห้าที่มีคำสอนอยู่มากมายภายใต้เหรียญเหล่านั้น พร้อมกับแผนที่ที่นำทางจนกระทั่งเขาได้มาพบกับผู้เฒ่าทั้งสามคน
โดยที่เขาได้รับความรู้จากผู้เฒ่าทั้งสองคนแรกนั้นมีค่าต่อ ชีวิตเขายิ่งนัก ผุ้เฒ่าชาเลสผู้สอนวิธีการขาย วิธีการหาทองคำให้ได้ง่ายดาย เพียงเราต้องรู้จักลูกค้าของเรา ต้องแยกประเภทลูกค้าของเราให้ได้ ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราคือใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร และจะมาหาเราได้อย่างไร ทำให้จุดประกายความคิดในการหารายได้ของเขาเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ส่วนผู้เฒ่าโอทูทู ท่านสอนถึงการดูแลค่าใช้จ่ายของการค้าการค้าที่สามารถหารายได้มากแล้วจำเป็ฯต้องมีวิธีการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เจ้าของกิจการควรจะขยายกิจการค้าในเรื่องที่ตนถนัด นั่นจะทำให้เรารักษาทองคำให้อยู่กับเราได้นานที่สุด
เจ้าของกิจการค้าจะต้องรู้จัดแบ่งแยกทองคำในถุงว่าเป็นทองคำส่วนตัว หรือทองคำของกิจการ เพราะทั้งสองอย่างมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นทั้งคู่ ดังนั้นจึงไม่ควรนำค่าใช้จ่ายทังสองอย่างมาปะปนกันและ เราควรจะเก็บทองคำไว้หนึ่งส่วนจากทั้งหมดสิบส่วนที่หามาได้เพื่อไว้ใช้ในอนาคตที่จำเป็น เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเติบโตขึ้นตามรายได้ของเราเสมอ ถ้าการค้าเติบโตขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มบันทึกความรุ้ใหม่ๆ ที่ได้มาจากผุ้เฒ่าโอทูทูก่อนเข้านอน เขาคิดถึงว่า อะไรที่เขาจะได้พบใหม่ในอนเช้า ทั้งหมดช่างน่าแสวงหาอย่างยิ่ง ก่อนเข้านอนชายหนุ่มจดบันทึกลงไปว่า...
“การค้าที่สามารถหารายได้มากแล้ว จำเป็นต้องมีวิธีการควบคุมค่าใช้จ่าย ให้รักกุมเหมาะสม”
“เจ้าของกินการควรจะขยายกิจการค้า ในเรื่องที่ตนถนัด เพราะนั่นจะทำให้เรารักษาทองคำให้อยู่กับเราได้นานที่สุด”
“เมื่อมีทองคำมากขึ้น ชีวิตก็จะสบายขึ้น ถ้ามีทองคำมากขึ้นครอบครัว ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น”
“วิธีหาทองคำให้ได้ง่ายๆ เพียงเราต้องรู้จักลูกค้าของเรา ต้องแยกประเภทลูกค้าของเราให้ได้ ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราคือใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร และจะมาหาเราได้อย่างไร”
“เจ้าของกิจการค้า จะต้องรู้จักแบ่งแยกทองคำในถุงว่าเป็นทองคำส่วนตัวหรือทองคำของกิจการ เพราะทั้งสองอย่างมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแฝงอยู่ทั้งคู่ ดังนั้น จึงไม่ควรนำ ค่าใช้จ่ายทั้งสองอย่างมาปะปนกัน”
“เราควรจะเก็บทองคำไว้หนึ่งส่วนจากทั้งหมดสิบส่วนที่หามาได้ไว้ เพื่อไว้ใช้ในอนาคตที่จำเป็น”
“ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเติบโตขึ้นตามรายได้ของเราเสมอ ถ้าการค้าเติบโตขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน”
บทเรียนที่ 3 เรื่องกำไร
เมื่อถึงเวลาเช้าเขาไม่รีรอที่จะลุกจากที่นอน เขาชำระร่างกายแล้วแต่งตัวรอคนที่จะมารับอยู่ที่หน้าระเบียงห้องนอน
“ท่านคือแมคก้าใช่มั้ย” เด็กจูงอูฐเดินใกล้เข้ามาตะโกนถาม
“ใช้ ข้าคือแมคก้า”
“ท่านผุ้เฒ่าโปรฟิตโต้ให้ข้ามารับตัวท่านไปพบ ขอรับ”
“ขอบใจมาก ข้ากำลังรอเจ้าอยู่พอดี”
ทั้งสองเดินออกจากที่พัก ชายหนุ่มแมคก้าขึ้นขี่หลังอูฐโดยมีเด็กจูงอูฐเดินนำทางไปด้วยกัน
“เรากำลังจะไปที่ไหนกัน” แมคก้าอดไม่ได้ที่จะถาม
“เราจะเข้าไปในเมือง”
“ไปร้านค้าของท่านโปรฟิตโต้ใช่หรือไม่”
“เออ ข้าไม่รู้ว่าท่านรู้จักกับท่านโปรฟิตโต้แค่ไหนนะขอรับ แต่ เออ ข้าอยากจะบอกท่านว่า ตั้งแต่ข้ารู้จักท่านโปรฟิตโต้มา ท่านโปรฟิตโต้ไม่มีร้านค้าแม้แต่ร้านเดียว” เด็กจูงอูฐตอบ
“แล้วเราจะไปไหนกันล่ะ”
“เราจะไปที่บ้านของท่านโปรฟิตโต้ขอรับ”
ชายหนุ่มเริ่มสงสัยมากขึ้นเพราะเมื่อวานนี้ท่านผู้เฒ่าโอทูทูบอกกับเขาว่า เขาจะได้รับบทเรียนที่มีค่ามากที่สุด ที่จะทำให้เงินออมเพิ่มพูนมากขึ้น แต่ทำไมท่านโปรฟิตโต้ถึงไม่มีกิจการค้าใดๆ เลยแล้วเขาจะหาคำตอบได้จากที่ใดล่ะ
“ถึงแล้วขอรับ นี่คอบ้านของท่านผู้เฒ่าโปรฟิตโต้” เด็กจูงอูฐพูดขึ้น
“เชิญทางนี้ขอรัรบนายท่าน” บ่าวรับใช้คอยรับแขกยืนรออยู่หน้าบ้าน
มีคนออกมาต้อนรับชายหนุ่ม แล้วพาชายหนุ่มแมคก้าเข้ามาที่ห้องักรับรอง
“ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยนะ เมื่อตอนที่อยู่หน้าประตู เจ้ารอข้าคนเดียวเหรอ แมคก้าถามบ่าวรับใช้
“ข้ามีหน้าที่ที่คอยรัรบแขกของท่านโปรฟิตโต้ตลอดวันเลยขอรับ” บ่าวรับใช้ตอบ
“นั่นหมายถึง ท่านโปรฟิตโต้มีคนมาพบที่บ้านทุกวันเลยหรือ” แมคก้าถามต่อ
“ใช่ขอรับ มีคนมากมายมาพบท่านโปรฟิตโต้ตลอดวัน บางคนเข้ามามีใบหน้าเศร้าหมอง แต่ส่นใหญ่เมื่อกลับออกมาจะมีใบหน้ายิ้มแย้ม มีความสุข แต่ก็มีบางคนที่ยังคงเศร้าหมองเมื่อกลับออกมา แล้วก็ยังมีพ่อค้ากับพวกเศรษฐีในเมืองนี้หลายๆ คนเข้ามาพบท่าน และพวกพ่อค้ากับเศรษฐีเหล่านั้น เดินกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และมีความสุขกันทุกคน”
“พวกเขาคุยอะไรกัน”
“ข้าน้อยไม่ทราบหรอกครับ แต่เดี๋ยวอีกสักครู่ท่านโปรฟิตโต้ก็จะออกมาแล้วขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ” บ่าวรับใช้กล่าวลา
“ขอบใจเจ้ามากนะ ข้าจะรอท่านโปรฟิตโต้ตรงนี้แหละ”
ชายหนุ่มนั่งรอในห้องโถงใหญ่ภายในมีเครื่องประดับมากมายเป็นของมีค่าหลายอย่าง โลหะประดับทองคำ อัญมณีต่างๆ ทองคำสลักรูปปั้นต่างๆ เครื่องใช้ถ้าวยชามที่ทำจากทองคำแท้ ชายหนุ่มนึกในใจว่า ท่านโปรฟิตโต้ทำการค้าอะไรกันแน่น ถึงได้มั่งคั่งขนาดนี้ ชายหนุ่มกำลังคิดเพลินจนไม่ทันเห็นว่ามีคนกำลังเดินเข้ามา
“สวัสดี หนุ่มน้อย” ท่านโปรฟิตโต้เอ่ยทักทาย
“สวัสดีขอรับท่านโปรฟิตโต้ พอดีข้ากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่จึงไม่ทันเห็นท่านต้องขออภัยด้วยขอรับ” ชายหนุ่มแมคก้ากล่าวทักทายตอบด้วยความกังวลเล็กๆ
“ไม่เป็นไรหรอก เอาล่ะ วันนี้เจ้าต้องการรู้อะไรจากข้าล่ะ แล้วท่านผู้เฒ่าชาเลสกับผุ้เฒ่าโอทูทูบอกอะไรกับเจ้าบ้าง” ท่านโปรฟิตโต้ถาม
“ท่านผุ้เฒ่าทั้งสองสอนข้ามากมายในเรื่องการขายและการควบคุมค่าใช้จ่าย รวมทั้งการเก็บออมด้วย แล้วท่านผุ้เฒ่าโอทูทูก็บอกว่า ท่านโปรฟิตโต้มีวิธีที่จะทำให้ทองคำนั้นงอกเงยออกมายอ่างไม่มีวันหมดด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องเดินทางไกล เพื่อมาค้นหาคำตอบบในครั้งนี้ ขอรับ”
“คำถามที่ดีนั้น ย่อมได้รับคำตอบที่ดีด้วย ข้าขอชมเชยเจ้าที่เจ้าเป็นคนไฝ่รู้ และพยายามขวนขวายเสาะหามาตนพบกับพวกข้า พวกข้าเต็มใจสอนผุ้ที่อยากรู้กลวิธีในการทำการค้าให้สำเร็จ และคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้มีทองคำใช้ไม่รุ้จัดหมด เป็นคำถามที่ข้าได้ยินมาเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตของข้า และข้าก็ให้คำตอบกับคนเหล่านั้นซึ่งทำให้พวกเข้าทั้งหลายเป็นเศรษฐีกันทุกคน”
“นั่นหมายถึง ข้าไม่ใช่คนแรกที่ถามคำถามนี้ใช่มั้ยขอรับ”
“ถูกต้อง ทั้งผู้เฒ่าชาเวลา ผุ้เฒ่าโอทูทู และเศรษฐีกาแลในหมู่บ้านของเจ้า ผุ้ที่ให้เหรียญทั้งห้าพร้อมแผนที่กับเจ้านั่นแหละทั้งหมดเคยถามคำถามนี้มาแล้วทั้งนั้น แล้วข้าก็ทำให้พวกเขามีทองคำใช้ไม่มันหมด จนกระทั่งทุกวันี้”
“ท่านทำให้ข้าอยากรู้เรื่องของท่านมากขึ้นอีกขอรับ ท่านทำการค้าอะไร ถึงทำให้ท่านสามารถเฉลยปริศนาการค้าให้กับทุกคน ที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านทำให้พวกเขากลายเป็นเศรษฐีที่มีทองคำใช้ไม่รู้จักหมด” แมคก้าพรั่งพรูความคิดที่คั่งค้างตั้งแต่เมือคืนคำที่น่าสงสัยตั้งแต่สอบถามเด็กจูงอูฐ และบ่าวรับใช้ก่อนเข้ามาถึงรวมทั้งคำเฉลยปริศนาของเศรษฐีทั้งหลายคน ทำให้แมคก้าไม่อาจหยุดถามข้อสงสัยทั้งหมดในคราวเดียวกันได้
“ใจเย็นๆ หนุ่มน้อย ข้ามีเวลาที่เพียงพอสำหรับเจ้า เจ้าจะได้รู้ทุกอย่างข้าบอกเช่นเดียวกันกับพวกเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายที่เจ้ารู้จัก” ท่านโปรฟิตโต้ยืนยันให้ชายหนุ่มสงบลง
“ความจริงเรื่องนี้มันเกิดขึ้นนานมากแล้ว เริ่มตั้งแต่สมัยข้ายังเป็นเด็ก ข้าเป็นเด็กกำพร้า ข้าอาศัยใต้ต้นไม้เป็ฯที่นอน ในตอนเช้าข้าก็ตื่นไปทำงานหาเงิน ข้าก็เคยเป็นเด็กรับจ้ารีดนมแพะเหมือนกับเด็กทุกคนในหมู่บ้าน ข้ารับจ้างทุกอย่างที่เด็กๆ เข้าทำกัน รวมทั้งรับจ้างเฝ้าฝูงวัว ควายในปศุสัตว์ด้วย ข้ารับจ้างชำระร่างกายอูฐของพ่อค้า และนักเดินทางที่ผ่านเมืองมา”
“เมื่อข้าได้มีโอกาสทำงานหาเงินด้วยอายุน้อยนิด ข้าก็เริ่มรู้จักใช้มันเช่นกัน ทุกครั้ที่ข้าหาเงินมาได้ ข้าจะนำเงินมาซื้ออาหารและข้านำเงินส่วนที่เหลือไปเล่นการพนันกับเพื่อนๆ ของข้าจนหมด แต่ข้าก็ไม่กังวลใจ เพราะรุ่งขึ้นข้าก็จะได้งานใหม่ และก็จะได้เศษทองทำมาหาอาหารกิน”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่เมืองของข้าก็ทำกัน เด็กๆ ก็รับจ้างทำทุกอย่างเช่นกันแต่ข้ายังไม่เห็ฯมีใครแตกต่งจากท่านหรือท่านแตกต่างจากใครเลยขอรับ”แม็คก้าถามขึ้นอีก
“มีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตข้าตั้งแต่ยังเด็ก วันนั้นข้าใช้เงินจนหมดเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ข้าเกิดป่วยขึ้นมา ข้าไม่สามารถขยับร่างกายข้าได้ ข้าได้เพียงแต่นอนนิ่งๆ เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงโชคดีที่ข้านอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญจึงมีร่มเงาไม่ให้ข้าถูกแสงแดดเผา แต่ข้ารุ้สึกกระหายน้ำ และหิวมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าหมดสติไปหลายครั้ลแวก็ตื่นขึ้นมาแต่ก็ยังขยับตัวไม่ได้”
“ไม่มีใครตามหาท่านหรือขอรับ” แม็คก้าถาม
“ไม่มีหรอ เพราะข้าเป็นเด็กกำพร้า และพวกเพื่อนๆของข้าก็จะแย่งกันทำงานเสมอ เมื่อข้าไม่อยู่ก็เท่ากับว่ามีคู่แข่งน้อยไปอีกหนึ่งคน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา”
ข้าหมดสติไปหลายครั้ง และตื่นขึ้นมาด้วยความหิว และกระหายน้ำ จนกระทั่วพระอาทิตย์ตกดิน ข้าเริ่มเย็นสบายขึ้น ข้ารู้สึกเหมือนข้าฝันไปว่าตัวข้าลอยขึ้นมาบนอากาศ ตัวข้าช่างเบาและสบายกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า และจู่ๆ ก็มีแสงสีทองส่องมาเปล่งประกายกลบแสงสว่างของดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหมดที่อยู่บนท้องฟ้า มีเสียงออกมาจากลำแสงสีทองนั้น ซึ่งข้าจดจำได้ตั้แต่คืนนั้นและข้าก็ไม่มีวันลืมมันเด็ดขายตลอดชีวิตของข้า เสียงนั้นบอกว่า
“เจ้าหนู่น้อย เจ้าตอ้งรู้จับเก็บเงินที่หามาได้ แล้วทำให้มันงอกเงยด้วยตัวของมันเอง”
“ใช้ทองคำที่มี ออกลูกออกหลายมาให้เจ้าสิ”
“ใช้ทองคำที่หามาได้ ออกลูกออกหลานมาให้เจ้าสิ หนูน้อย”
“ทองคำจะซื่อสัตย์กับเจ้า ถ้าเจ้ารู้จักเก็บมัน”
“นั่นคือเสียสุดท้ายที่ข้าได้ยิน ก่อนที่ข้าจะรู้สึกตัวขึ้นอีกทีในตอนเช้า”
รุ่งเช้าวันใหม่ ข้าได้รู้สึกตัวแล้วรู้สึกหายจากไข้ที่ทุกข์ทรมานกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง ข้าออกไปขอน้ำ และอาหารกิจจากผู้จ้างข้าเฝ้าฝูงวัว ควายในปศุสัตว์ ก่อนที่ข้าจะทำงานใช้หนี้ค่าอาหารมื้อนั้น ข้าจำความฝันนั้นได้
เนื่องจากข้าไม่คเยมีทองคำ และข้ายังเป็นเด็ก ข้าจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ข้าก็พยายามเก็บเงินที่หามาได้รวบรวมไว้แลกเป็นทองคำก้อนแรกในชีวิตข้า และพร้อมจะทำตามความฝันในคืนนั้นและวันหนึ่ง เมื่อข้าเก็บเงินได้มากมายพอที่จะทำไปแลกเป็นทองคำ วันนั้นข้าตั้งใจไปหาป้าแอนตัส ข้าผลักประตู้ร้านอาหารของป้าแอนตัส พร้อมกับเดินเข้าไป ยื่นถุงทองคำของข้าที่เก็บมาได้ทั้งหมดในชีวิตข้าให้กับท่านป้าแอนตัส เพราะข้ารู้ว่าท่านกำลังเดือดร้อน
“ข้าพอจะมีทองคำอยู่ห้าเหรียญ ข้าไม่รู้ว่าท่านะต้องใช้มันมากขนาดไหน แต่ที่ข้าเก็บสะสมมาทั้งชีวิตของข้าก็มีเพียงเท่านี้ ข้าขอมอบให้กับท่านป้าเป็นค่าอาหารที่ท่านเคยให้ข้าทานมาตั้งแต่เด็กหลายต่อหลายปี” โปรฟิตโต้น้อยเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวคำช่วยเหลือแก่ครอบครัวป้าแอนตัสที่กำลังรอความช่าวยเหลือจากใครสักคนแล้วคนคนนั้นก็เข้ามา พร้อมกับความเป็นเด็กที่ยังไม่รู้จักวิธีการทำการค้าซะด้วยซ้ำ
“โปรฟิตโต้น้อย ข้าขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่อาจรับมันไว้ทั้งหมดหรอก เพราะมันมีค่ามากกว่าค่าอหารที่ข้าให้เจ้ามาตลาอดชีวิตเอาอย่างนี้ดีมั้ย ข้าขอยืมทองคำเจ้าสักสองเหรียญ แล้วข้าจะคืนให้เจ้าเมื่อข้ามีครบสองเหรียญทองคำ แต่ถ้าข้าไม่สามารถคืนให้เจ้าครบสองเหรียญ ข้าจะจ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าทุกๆ สิบวัน ข้าจะให้ดอกเบี้ยเจ้าหนึ่งในสิบของทองคำสองเหรียญนี้”
เมื่อฟังจบข้าก็แบ่งเหรียญให้ท่านป้าแอนตัสยืมไปสองเหรียญทงอคำ ข้าเหลือเก็บไว้สามเหรียญทองคำ
“ที่จริงในวันนั้นข้าไม่รู้จัก และไม่เข้าใจเลยว่าที่ท่าป้าพูดถึงดอกเบี้ยนั้นมันคืออะไร ข้าเพียงแต่คิดว่าอยากช่วยเหลือคนที่เคยช่วยให้ข้ามีชีวิตรอดยามข้าหิวโหยมาตลอดชีวิต และท่านก็เอ็นดูข้าเหมือนกับลูกหลานคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ข้าเป็นเด็กกำพร้า ข้าก็ต้องการความรักความอบอุ่นเช่นกัน
ก่อนกลับออกจากบ้านป้าแอนตัส ท่านพูดว่า
“ข้าไม่นึกมาก่อนว่าเด้กน้อยเช่นเจ้าจะมีทองคำสะสมมากมายขนาดนี้ เจ้าคงจะใช้ความยายามมากเลยท่ำทได้ขนาดนี้ ป้าแอนตัสภูมิใจในตัวเจ้ามาก ข้าขอบคุณสำหรับน้ำใจที่เจ้ามีให้กับข้าและครอบครัว ข้าสัญญาว่าข้าจะมอบทองคำสองเหรียญนี้คืนเจ้าทันทีที่ข้ามี และขอใหเจ้ามาหาข้าทุกๆ สิบวัน เพื่อมารับดอกเบี้ยหนึ่งในสิบของทั้งหมด” ป้าแอนตัสรู้สึกขอบคุณ และให้สัญญาเรื่องการคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยอีกหนึ่งในสิบของทองคำสองเหรียญนั้น
สิบวันต่อมา ข้าก็มาหาท่านป้าแอนตัส และข้าก้ได้รับดอกเบี้ยนั้นตามสัญญาข้าจึงรุ้ว่าอะไรคือ ดอกเบี้ย และข้าก็กลับมาหาท่านป้าแอนตัสทุกๆ สิบวัน เพื่อมารับดอกเบี้ย
“ข้ารู้ได้ทันทีที่ข้าได้รับดอกเบี้ยครั้งแรกว่า ทองคำสามารถออกลูกออกหลานให้เราได้”
ข้ายังคงทำงานสะสมทองคำต่อไปโดยยังไม่รู้จุดหมาย จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งปี ข้าได้รับดอกเบี้ยจากท่านป้าแอนตัสไม่เคยขาด และในวันครบรอบหนึ่งปีนั้น ป้าแอนตัสได้นำทองคำสองเหรียญมาคืนข้าและข้าก็นับทองคำทั้งหมดที่ข้ามีปรากฎว่าข้ามีทองคำทั้งหมด 12 เหรียญ
ป้าแอนตัสรู้สึกสำนึกบุญคุณของข้าเช่นกันที่ช่วยเหลือให้กิจการของท่านป้าอยู่รอดในช่วงวิกฤต และท่านป้าก็ได้เล่าถึงคุณงามความดีของข้าให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง มีหลายคนชื่นชมและมีพ่อค้าหลายคนอยากจะมาขอยืมทองคำของข้าไปต่อทุน
บางรายเข้ามาขอยืมข้าครั้งละห้าเหรียญบ้าง สิบเหรียญทองคำบ้าง และห้าสิบเหรียญทองคำก็มีมาขอยืม แต่ข้าบอกพวกเขาไปว่าข้ามีเพียงสิบสองเหรียญทองคำเท่านั้น พวกพ่อค้ารายใหญ่ๆ จึงจากไป ข้ามีให้ยืมแต่ครั้งละสองเหรียญต่อคนเท่านั้น ข้าให้ยืมไปทั้งหมดห้าคน ส่วนตัวข้ามีทองคำเก็บไว้เพียงสองเหรียญเท่านั้น มีพ่อค้าจะมาขอยืมทองคำสองเหรียญสุดท้ายนี่อีก แต่ข้าปฎิเสธ เพราะข้าจะรุ้สึกไม่เหลืออะไรเลยถ้าถุงทองคำข้าว่างเปล่า
โดยพ่อค้าทั้งห้าคนสัญญาแบบเดียวกันกับป้าแอนตัสว่าจะ นำทองคำหนึ่งในสิบส่วนมาคืนให้ข้าทุกๆ สิบวัน
ข้าโชคดีที่ทุกคนทำตามสัญญา เพียงแค่สิบวันเท่านั้น ทองคำของข้าที่ให้ยืมไปกับพ่อค้าห้าคน คนละสองเหรียญ ซึ่งรวมทั้งหมดสิบเหรียญพอดี ทองคำสิบเหรียญนั้นออกลูกให้ข้าหนึ่งเหรียญทันทีภายในสิบวัน
แล้วเมื่อครบหนึ่งปี จากทองคำสิบเหรียญที่ข้ามีก็กลับกลายเป็นห้าสิบเหรียญภายในระยะเวลาหนึ่งปีเท่านั้น
มีคนมายืมเงินข้าอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งข้าโตเป็นหนุ่มใหญ่ และเป็นชายหนุ่มผู้มั่งคั่งที่สุดในหมู่บ้าน พ่อค้าทั้งน้อยใหญ่ต่งก็เข้ามาหยิบยืมเงินข้า และนำดอกเบียมาให้ข้าตลอดทุกสิบวันทองคำของข้าออกลูกออกหลานมาให้ข้ามากมาย
“ท่านเคยมีคนยืมทองคำแล้วไม่คืนบ้าง หรือไม่จ่ายดอกเบี้ยบ้างมั้ยขอรับ” แมคก้าขัดจังหวะ
“เคยสิ เคยแน่นอน มีพ่อค้าที่ชอบทำเรื่องการค้าที่ตนไม่ถนัด มีหลายคนที่ถนัดการล่าสัตว์ แต่มาเปิดการค้าขายเสื้อผ้า ขายอาหาร ขายนมแพะ พวกเข้าทำไม่สำเร็จ ทองคำของข้าก็สุญหายไปกับการค้าของพวกเขาเช่นกัน
“แล้วท่านไม่เสียใจหรือขอรับ”
“ข้ามีวิธีแบ่งจำนวนทองคำในการให้ยืมมากหรือน้อยแล้วแต่การค้าแต่ละอย่างที่ใช้ทองคำขนาดต่างๆ กัน รวมทั้งนิสัยใจคอขอพ่อค้าเหล่านั้นด้วย พวกพ่อค้าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำตามสัญญาทั้งๆ ที่จิตใจของพวกเขาเป็นคนดี แต่เขาไม่สามารถหาทองคำและดอกเบี้ยมาคืนให้ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บางรายก็บอกว่าเหลือแต่ชีวิตไม่มีการค้าไม่มีทองคำด้วย ข้าต้องยอมยกหนี้ทั้งหมดให้ข้าถือว่า ข้าเองจะต้องเป็นคนวิเคราะห์พวกเขาแทนไม่ใช่ให้พวกเขาวิเคราะห์การค้าของเขาเอง ข้าจึงเริ่มศึกษา และมองลชึกซึ้งเข้าไปในกิจการค้าของทุกคนมากขึ้น ซึ่งทำให้ข้ามองเห็นกิจการของบางคนนั้นรุ่งโรจน์สดใจ แต่ขายเงินลงทุน และธุรกิจการค้าขบางคนไม่น่าจะรอดจากวิกฤตได้ในระยยะเวลาอันใกล้ ข้าก็ไม่เสี่ยงที่จะให้ยืมทองคำก้อนโตไดหรอก”
“เจ้าหนุ่มเจ้าจำการค้าของท่านผุ้เฒ่าโอทูทูได้มั้ย เมื่อท่านโอทูทูซื้อกิจการค้าของเจ้าของโรงตีดาบที่หนึ่ง แล้วอีกไม่นานเจ้าของโรงตีดาบที่ใหญ่โตที่สองก็นำมันมาขายให้กับท่านผู้เฒ่าโอทูทูในเวลาต่อมา”
“ข้าจำได้ขอรับ ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเมื่อวานนี้เอง”
“นั่นแหละ ท่านโอทูทูก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่เข้ามาขอยืมทองคำจากข้าไปซื้อโรงงานผลิตดาบที่สอง เพราะท่านผุ้เฒ่าโอทูทูได้ใช้ทองคำมากในการซื้อโรงงานผลิตดาบแห่งที่สองนี้”
“ท่านจึงให้ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูยืมหรือขอรับ”
“ข้าทากกว่านั้นอีก แทนที่ข้าจะให้ท่านโอทูทูยืมเงิน ข้าตัดสินใจลงทุนกับท่านโอทูทูทันที เพราะข้าวิเคราะห์แล้วว่ารายได้ส่วนใหญ่ของกิจการของท่านโอทูทูน้นมาจากพระราชวังซึ่งมีการจ่างตรงเวลาและจำนวนแน่นอนไม่มีบิดพลิ้ว ถ้าข้าลงทุนกับท่านโอทูทู ข้าก็จะมีรายได้มากกว่าดอกเบี้ยที่ข้าจะได้รับเสียอีก ข้าไม่รีรอที่จะนำทองคำก้อนโตมาลงทุนกับท่านโอทูทู บวกับความประพฤติ และนิสัยของทานโอทูทูที่ข้ารุ้จักเป็นอย่างดี เขารุ้จักวิธีควบคุมค่าใช้จ่าย สร้างกำไรให้เกิดกับกิจการค้าได้ ข้าเชื่อใจท่านโอทูทู เป็นผู้จัดการทองคำก้อนโตของข้าได้”
“แล้วท่านได้ทองคำมากกว่าดอกเบี้ยหนึ่งในสิบหรือไม่ขอรับ” แมคก้าอยากรู้
“มากกว่านั้นหลายเท่าเลยทีเดียว ท่านโอทุทูเป็นคนซื้อสัตว์มัธยัสถ์ ตรงต่อเวลา ทุกปีข้าได้รับทองคำมากมายจากการร่วมลงทุนกับท่านโอทูทู”
“หลังจากนั้น ข้าก็ลงทุนกับกิจการค้าหลายๆ อย่างในเมือง ทั้งในเมืองนี้ และเมืองถัดไป แต่เจ้าต้องรู้จักนิสัยของเจ้าของกิจการเหล่านั้นเป็นอย่างดีนะ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ม่ากิจการของเขาจะดีหรือไม่ก็ตาม”
แม็คก้ารู้ซึ้งถึงความอัจฉริยะด้านความคิดของท่านโปรฟิตโต้ผุ้นี้ และต้องยอมรับในความสำเร็จ และคำสอนที่ท่านโปรฟิตโต้กรุณาสละเวลาเล่าให้ฟัง
“ยังไม่หมดแค่นั้นนะพ่อหนุ่ม”
“มีอะรที่ข้าควรจะรู้อีกหรือขอรับ”
“ปัจจุบันนี้ มีพ่อค้าอีกหลายๆ คนที่มั่งคั่ง และต้องการให้เงินงอกเงยขึ้นมากกว่าเดิม ท่านเหล่านั้นก็นำทองคำที่มีมาฝากไว้กับข้า เพื่อให้ข้าหาคนที่จะมาหยิบยืมทองคำเหล่านั้น แล้วส่งดอกเบี้ยผ่านมือข้าไปยังผู้มั่งคั่งทั้งหลาย โดยที่พวกเขาก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกับข้าทั้งสองฝ่าย”
“ข้ามาพบได้ถูกคนจริงๆ ขอรับ ท่านโปรฟิตโต้ได้ช่วยไขปริศนาในการทำการค้าให้ข้า ข้าจะจดจำมันไว้ไม่มีวันลืมเลยขอรับ”
“แล้วเจ้าจะกลับเลยหรือ”
“ขอรับ ข้าจะรีบกลับไปจดบันทึกบทเรียนที่ดีในวันนี้ก่อนที่ข้าจะลืมมันขอรับ”
“อย่างนั้นข้าฝากของที่ระลึกนี้ถึงท่านเศรษฐีกาแลได้มั้ย”
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งขอรับ”
ท่านโปรฟิตโต้ผู้รู้วิธีนำกำไรมาลงทุนต่อให้ได้ทั้งดอกเบี้ยและผลกำไรกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีก กลายเป็นทองคำก้อนโตมหาศาลเป็นมหาเศรษฐีที่ชาญฉลาด ให้เงินออกลูกออกหลานให้ โดยไม่ต้องมีกิจการค้าอย่างอื่นเลย เพียงแต่รู้วิธีนำเงินมาลงทุน โดยการวิเคราะห์จากกิจการค้าต่างๆ ที่ให้ผลกำไรที่ดี แล้วนำเงินไปร่วมลงทุนด้วยและให้ยืมทองคำกับกิจการต่างๆ ที่คิดว่าจะให้ดอกเบี้ยที่ดีตามสัญญาที่ให้ไว้
“นี้คือสัญลักษณ์ใหม่ของเหรียญทั้งห้าที่ข้าจะมอบให้กับเศรษฐีกาแลหนึ่งชิ้น และมอบให้กับเจ้าหนึ่งชิ้น ในฐานะทีเจ้าจะได้เป็นเศรษฐีประจำเมืองคนใหม่ในไม่ช้านี้”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะทำสำเร็จขอรับ”
“ดวงตาของเจ้าไง ความอยากรู้ในการทำการค้า ความมั่งคั่ง ความต้องการทะยานสู่ความสำเร็จ และความมุ่งมั่นที่เจิดจรัสเหมือนกับที่ข้าเห็นจากท่านผู้เฒ่าชาเลส ผุ้เฒ่าโอทูทู และเศรษฐีกาแล ทุกคนมีความมุ่งมั่นเช่นเดียวกันกับเจ้า แล้วข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำมันได้สำเร็จเช่นผุ้มั่งคั่งทุกคน”
“ขอบพระคุณท่านโปรฟิตโต้มากขอรับ ข้าจะกลับมาพบท่านอีก เมื่อข้าประสบความสำเร็จในกิจการข้า”
ชายหนุ่มกลับมาถึงที่พักก่อนตะวันตกดิน ก่อนที่จะเริ่มชำระล้างร่างกาย ชายหนุ่มรีบนำแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมาจดบันทึกในวันนี้อย่างเริ่งรีบว่า....
“จงใช้ ทองคำ ที่เก็บออม ทำให้เกิดลูกหลานมากมาย จงนำ ทองคำ ไปลงทุน ในกิจการที่มีผล กำไรดี รายได้แน่นอน และรายจ่ายไม่มาก จงอย่าลงทุนจนหมด จนกระทั่งถุงทองคำว่างเปล่า จงอย่าให้ใครคนเดียว นำทองคำ ของเราทั้งหมดไป จงแบ่งตวามเสี่ยง ในการสูญเสียทองคำให้มากโดยแบ่งเก็บทองคำไว้หลายๆ แห่ง จนรู้จักนิสัย ของ เจ้าของกิจการ นั้นเป็นอย่างดี ก่อนที่จะนำ ทองคำ ไปลงทุน ด้วย จงวิเคราะห์กิจการต่งๆ ด้วยตัวเอง ก่อน อย่าเชื่อทุกคน ที่วิเคราะห์กิจการที่เขาไม่ถนัด
7 บทเรียนสุดท้ายจากท่านผุ้เฒ่าทั้งสาม
เช้าวันใหม่ แมคก้าตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น และเตรียมพร้อมที่จะมาพบผู้เฒ่าทั้งสาม ณ จุดเดิมจุดแรกที่ได้มาพบกัน
“เอ้า สวัสดีแมคก้า เจ้าหลับสบายดีมั้ย” ท่านผู้เฒ่าชาเลส ถาม
“หลับสบายดีครับ พวกท่านตื่นกันแต่เช้ามากเลยนะขอรับ”
“พวกเราน่ะแก่แล้ว เวลานอนก็เร็ว ตื่นก็เร็วเป็นธรรมดา” ท่านผู้เฒ่าชาเลสตอบ
“จริงๆ แล้วข้านังไม่อยากกลับไปเลย ข้ามีอะไรมากมายที่อยากรู้ และรอถามพวกท่านอยู่”
“พวกเราน่ะ สอนเจ้าไปหมดทุกเรื่องแล้วล่ะ”
“เจ้าน่ะมีความรู้ที่พวกเราทั้งสามคนสะสมมาทั้งชีวิต ที่พวกเราได้ถ่ายทอดให้แล้ว ส่วนคำถามอื่นๆ หรือเรื่องอื่นๆ คือเรื่องจริงที่เจ้าจะต้องเผชิญด้วยตัวเอง ใช้ความรู้ที่เจ้าได้รับจากพวกข้าเป็นแนวทางในการดำเนิการค้าของเจ้า หลักการที่ผ่านมาเพียงไม่กี่ข้อนี้ ที่เจ้าควรจะจดจำ และปฎิบัติตามเท่านั้น ส่วรเรื่องอื่นๆ คงจะต้องใช้การตัดสินใจของผู้นำกิจการที่ดีเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเฉพาะหน้าเป็นครั้งคราวไป”
“เชื่อเถอะพ่อหนุ่ม ในเมื่อเจ้าเป็นคนดีที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจการตัดสินใจของเจ้าจะทำให้เจ้ารอดจากวิกฤตต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต”
“สุดท้าย พวกเราขอให้เจ้าโชคดี ประสบความสำเร็จในกิจการค้า และมีครอบครัวที่มีความสุข แล้วกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้างนะ หลังจากที่เจ้ากลายเป็นเศรษฐีคนใหม่แล้ว”
“แล้วเมื่อไรข้าถึงจะเป็นเศรษฐีขอรับ”
“เออ ข้าหมายถึงว่า ข้าต้องมีทองคำมากขนาดไหน”
“เมื่อเจ้ารู้จักคำว่า พอ เท่านั้น เจ้าก็จะกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที”
“ใช่ ถูกต้อง ถ้าเจ้ารู้จัก การพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เมื่อไร่เมื่อนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่มีความสุขด้วยตัว และจิตใจของเจ้าเอง มันเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ทุกคนก็ทำได้ แต่มีน้อยคนนักที่จะเข้าใจในอย่างแท้จริง แล้วสักวันหนึ่งเจ่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า พอ อย่างแท้จริง”
“ข้าขอถามอีกคำถามได้มั้ยขอรับ”
“มีอะไรอีกล่ะ”
“แล้วทำไมท่านเศรษฐีกาแลใช้เวลาเดินทางมา 7-8 ปี กว่าจะมาพบพวกท่าน และเรียนรู้กลับไป ส่วนตัวข้าเดินทางมาเพียงครึ่งปีและเรียรู้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นขอรับ”
“ท่านกาแลมีน้ำใจกับเจ้านะสิ ที่ให้แผนที่นำเจ้ามาพบจุดหมายได้ถูกต้องทำให้เจ้าไม่ต้องเสียเวลามาก ในการทำการค้าก็เช่นกัน เจ้าจะต้องรู้จุดหมากที่เจ้าจะไปก่อนที่เจ้าจะออกเดินทาง มันจะทำให้เจ้าใช้เวลาน้อยลง และถึงจุดหมายเร็วขึ้นโดยที่ไม่หลงทางอีกด้วย”
“ส่วนท่านกาแลน่ะหรือ เขาเดินทางไปมากมายหลายแห่ง หลายเมือง ขึ้นเขาลงห้วยไปพบนักคิด นักคำนวณและนักทฤษฎีต่างๆ มากมาย แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบที่เข้าต้องการและสุดท้ายเขามาพบพวกข้า เขามีความมุ่งมั่น และกระตือรือร้นเช่นเดียวกับเจ้า และพวกเราก็ใช้เวลาแนะนำท่านกาแลพอๆ กับเจ้านั่นแหละ เพียงไม่กี่วันเอง”
“ข้ารู้สึกว่าข้าโชคดีจริงๆ ที่ได้มาพบพวกท่าน และได้มีโอกาสเรียนรู้จากพวกท่าน” ชายหนุ่มกล่าวต่อ
“ในชีวิตนี้ จะมีสักกี่คนที่ได้มีโอกาสดีๆ อย่างข้า มาเรียนรู้จากอาจารย์ทั้งสามท่าน พวกท่านน่ะคือผู้วิเศษของท่านเศรษฐีกาแลและของข้าด้วย” ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตันใจที่ได้เรียนรู้เรื่องดีๆ ที่มีน้อยคนนักที่ล่วงรู้ความลับนี้ และรู้สึกประทับใจในตัวจริงของผู้เฒ่าทั้งสาม จนอย่างที่จะกล่าวขอบคุณสักพันครั้ง เพราะบทเรียนที่ได้รับครั้งนี้ มันมีค่ามากจนหาที่เปรียบไม่ได้ ความรู้ที่ได้มาในเวลาไม่กี่วันนั้น มันสามารถนำมาใช้ได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว
“สัญลักษณ์เหรียญทั้งห้าแบบใหม่ เจ้าจงเก็บไว้ให้ดีๆ นะ แล้วถ้ามีวาสนาเราคงจะได้พบกันอีก” ท่านผู้เฒ่าโอทูทู กล่าวลา พร้อมกับได้มอบเหรียญห้เหรียญที่มีรูปแบบใหม่ให้กับแมคก้า
“ข้าขอลาท่านทั้งสามด้วยความจริงใจ ขอบพระคุณท่านผุ้วิเศษทั้งสามมากเลยขอรับ แล้วข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่านอีกขอรับ”
“ลาก่อน”
“ลาก่อน”
ชายหนุ่มขี่อูฐ และเดินทางจากเมืองปุนต์มาก เพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้านที่มีพี่สาวมูมายและน้องมินนารออยู่
ตั้งแต่เขากลับมาที่บ้านเกิด เขาเริ่มต้นทำการค้าตามวิธีและหลักการที่ได้เรียนรู้มากจากผุ้วิเศษทั้งสาม
เขาทำการค้าด้วยความเข้าใจใน หลักแก่นแท้ของการค้า เขาทำเหมือนสิ่งนั้นอยู่ติดตัวเขาตลอดเวลา
เวลาผ่านไป 10 ปี
บทที่ 8 เหรียญทั้งห้า
“ก็อก ก๊อก ก๊อก ท่านเศรษฐีแมคก้าขอรับ ท่านเศรษฐีแมคก้าขอรับ”
“ท่านมีธุระอะไรที่จะมาพบกับท่านเศรษฐี” บ่าวรับใช้ถาม
“ข้ามีนามว่า มอสตีตี้ ข้ามีเรื่องอยากจะมาปรึกษาท่านเศรษฐีแมคก้าขอรับ”
“มีอะไรหรือ พ่อหนุ่มน้อย” เศรษฐีแมคก้าออกมาต้อนรับ
“ข้าทำการค้าของข้า แต่มันติดขัดไปหลายๆ อย่าง ข้าอยากจะมาขอความรู้จากท่านว่า ทำอย่างไรข้าจึงจะมีทองคำงอกเงยออกมาใช้ไม่มีวันหมดเช่นท่าน ดังที่ชาวบ้านเขาร่ำลือกันมากมาย หนุ่มมอสตีตี้ถามด้วยความรวดเร็ว
“เจ้ารอข้าสักครู่นะ” เศรษฐีแมคก้าเดินกลับเข้าไปในทางเดิน
เศรษฐีแมคก้าเดินออกมาพร้อมกล่องที่อยู่ในมือเหมือนหีบสมบัติเล็กๆ
“ข้ามอบให้เจ้า เจ้าจงเดินไปตามแผนที่ที่อยู่ในนี้ แล้วนำสัญลักษณ์ที่อยุ่ภายในไปพบกับผุ้วิเศษทั้งสามคน แล้วเจ้าก็จะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคำถามของเจ้า ว่าทำอย่างไรจึงจะมีทองคำงอกเงยออกมา โดยไม่มีวันหมด”
“ขอบพระคุณท่านเศรษฐีมากเลยขอรับ ข้าจะเดินทางไปทันทีที่ข้าร่ำลาพ่อแม่ และพี่น้องของข้าเรียบร้อย”
“แล้วข้าฝากบอกท่านผุ้วิเศษทั้งสามด้วยนะ ว่าข้าคิดถึงพวกท่านมาก แล้วข้าก็เข้าใจความหมายของคำว่า พอ แล้ว”
“ข้าจะทำตามรับสั่งของท่านขอรับ”
“ขอให้เจ้าโชคดีนะ”
เมื่อไม่รู้จุดหมายที่แท้จริง จะทำให้เราหลงทางและเสียเวลาเดินทางมากขึ้น
การทำการค้าต้องรู้จุดหมายที่แท้จริง ก่อนลงมือทำ
ถ้ารู้จักคำว่า พอ ก็จะกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาจริงๆ
พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นคนที่มีความสุขขึ้นมาทันที
ความสำเร็จใน ด้านธุรกิจหรือด้านครอบครัว ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความตั้งใจความพยายามและความอดทน
โชคชะตามักจะอยู่กับคนที่ต้งใจทำงานเท่านั้น
from http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?t=4951
แมคก้าจึงเริ่มวางแผนหาเงินด้วยการหาวิธีทำผลไม้หมักมาหลายๆ ชนิด การค้าของเขาได้เริ่มต้นขึ้น เขาเริ่มประดับร้านค้าด้วยผลไม้สดที่ฝากหญิงสาวชาวบ้านไปเก็บมาจากนอกเมือง หลังจากนั้นไม่นานการค้าของแมคก้าก็เริ่มดีขึ้น แต่แมคก้าเริ่มรู้สึกว่าเมื่อการค้าดีขค้นแต่ทำไมทองคำที่หามากลับฝืดเคืองลงทุกที แมคก้าจึงไดไปขอยืมเงินจากเศรษฐีกาแลใหญ่ประจำหมู่บ้านที่เป็นลูกค้าประจำของแมคก้าด้วย
แมคก้าก้าวขาเข้ามาในปราสาท และจ้องมองรอบๆ ห้องรับรองของท่านเศรษฐีกาแลอย่างประทับใจ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แมคก้าได้เห็นเครื่องประดับทองคำระยิบระยับมากมายราวกับอยู่ในวัง ทั้งผ้าม่านที่มอด้วยสีทองอร่าม กาน้ำอมฤตทองคำ ถ้วยน้ำทองคำและสาวใช้ที่มีผ้าปิดหน้าสีทองอร่าวม และท่านเศรษฐีกาแลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เท้าแขนเป็นทองคำ “ท่านกาแลขอรับ การค้าของข้าประสบปัญหานิดหน่อย ข้าจึงอยากจะมาขอยืมเหรียญทองคำของท่านเพื่อไปซื้อผลไม้มาหมักเพราะถ้าไม่ได้เงินจากท่านไป คงไม่มีใครยอมขายผลไม้ให้ข้าแน่” แมคก้าเริ่มต้นพูด
“เจ้าคิดว่าข้าต้องช่วยเจ้ามั้ยล่ะ” เศรษฐีกาแลตอบ
“ข้าเพียงอยากมาขอให้ท่านช่วยเหลือข้าทั่นั้น ข้าจักขอบพระคุณท่านมากถ้าท่านจะกรุณาข้า” แมคก้าวิงวอนต่อท่านเศรษฐี
“เสียใจ ข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องให้ทุกอย่างตามที่เจ้าขอและข้าก็ไม่ได้อยากจะได้รับคำขอบคุณจากใครด้วย” เศรษฐีปฎิเสธ
“จะต้องให้ข้าทำอย่างไรท่านถึงจะยอมช่วยข้า” แมคก้าเอ่ย
“หึ หึ หึ” เศรษฐีหัวเราะในลำคอ และพูดต่อ
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเพียงหนึ่งครั้ง ข้าจะช่วยเจ้าโดยตอบคำถามเพียงประโยคเดียวที่จะทำให้เจ้ามีเหรียญทองใช้ไม่มีวันหมด แต่ข้าจะตอบก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถถามคำถามที่ตรงกับคำตอบที่ข้าจะตอบเท่านั้น”
“แล้วถ้าข้าตอบผิดล่ะ” แมคก้าถามต่อ
“พรุ่งนี้ก่อนพระอาทิตย์ตกดินเจ้าจงมาถามคำถามข้า นี้คือโอกาสเดียวของเจ้า” เศรษฐีพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าประสาท
แมคก้า ชายหนุ่มผู้มีไหวพริบ และปราเปรื่องถึงกับงงงันว่าจะถามคำถามอะไรให้ท่านเศรษฐีพอใจที่จะตอบ ชายหนุ่มเดินทางกลับด้วยท่าทางครุ่นคิดตลอดทาง ระหว่างทางกลับบ้านนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าในเมื่อก่อนเคยได้ยินเครื่องราวของท่านเศรษฐีมาก่อนว่าตอนเด็กๆ ท่านเศรษฐีเคยรับจ้างรีดนมแพะ ใส่เกือกอูฐ และขายถุงน้ำที่ทำจากหนังสัตว์ใหกับนักท่องเที่ยวผู้เดินทางผ่านเมือง หรือพ่อค้าเร่ข้ามเมือง
แมคก้าจึงเดินทางมาพบกับคุณป้ารอนนี่ผู้ใจดี เจ้าของฟาร์มอูฐ จึงตรงเข้าไปถามประวัติของท่านเศรษฐี จึงได้ทราบเรื่องราวเหมือนกับข่าวลือที่คนเคยพูดกัน “สมัยท่านเศรษฐีกาแลยังเด็กๆ ก็เคยทำเหมือนกับเด็กทุกคนในหมู่บ้านนี้แหละ ท่านกาแลรับตอกเกือกอูฐ และรับอาบน้ำให้อูฐให้กับพ่อค้าเร่ต่างเมือง รายได้ดีนะเพราะมีพ่อค้าผ่านไปผ่านมาเยอะมาก” คุณป้ารอนนี่เริ่มเล่า
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนที่ท่านกาและจะหายไปจากหมู่บ้านท่านเคยมาถามป้าว่า จะทำอย่างไรถึงจะมีเหรียญทองใช้ไม่มีวันหมด” คุณป้าเล่า
“แล้วคุณป้าตอบท่านเศรษฐีไปว่าอย่างไรครับ” แมคก้าถามต่อ
“ป้าก็บอกไปว่า ป้าก็ไม่รู้ ป้าเองมีเท่าไหรก็ใช้เท่านั้น” ป้ารอนนี่ตอบ
“หลังจากนั้ท่านกาแลหายไปจากหมู่บ้าน หายไปประมาณหลายปี กลับมาท่านกาแลก็เริ่ทำการค้า มีเงินมีทองเพิ่มขึ้น การค้าดีขึ้นทุกวัน และร่ำรวยขึ้นทุกวัน จนกระทั่งท่านกลายเป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองของเรา” คุณป้ารอนนี่ชื่นชม
“ขอบคุณครัรบคุณป้า แล้วผมจะกลับมาเยี่ยมคุณ้าใหม่นะครับ” แมคก้ากล่าวลา และเดินกลับไปยังที่พักของตน
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา หลังจากได้พูดคุยกับคุณป้ารอนนี่ว่า คำถามใดที่จะทำให้ท่านเศรษฐีกาและ ช่วยบอกวิธีทำการค้าใหกับคนหนุ่มที่กำลังต้องการความรู้ในการทำการค้า
คำตอบที่รอคำถาม “ถ้าอยากจะรู้เคล็ดลับความร่ำรวยจะต้องใช้ค วามตั้งใจ และอดทน”
เช้าวันรุ่งขึ้นชายหนุ่มผู้มีไหวพริบ ก็ไปหาเกือกอูฐ กับถุงน้ำที่ทำจากหนังสัตว์ และเหรีญทองคำที่มีอยู่ทั้งหมดแล้วมาขอเข้าพบเศรษฐีกาแล
“มาเร็วกว่าที่ฉันคิดอีกนะ” เศรษฐีกาแลทักทาย
แมคก้าเริ่มต้น “ผมเองเคยได้เหรียญทองจากการเปลี่ยนเกือกม้าให้พวกพ่อค้า และก็เคยขายถุงน้ำหนังสัตว์ให้กับนักท่องเที่ยวหลังจากนั้นผมก็ทำอีกหลายอาชีพจนกระทั่งได้มาเปิดร้านน้ำผลไม้หมัก ทำมาตั้งแต่ยังเด็ก็กพอจะมีเหรียญทองอยู่จำนวนหนึ่งถุงนี้แหละ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความมุ่งมั่น ก่อนที่จะถามคำถามว่า
“ท่านพอจะช่วยบอกข้าได้มั้ยว่า ทำอย่างไรข้าจึงจะมีเหรียญทองที่ใช้ไม่มีวันหมดเหมือนท่านเศรษฐี”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าทำได้จริงๆ” ท่านเศรษฐีหัวเราะอย่างมีความสุขด้วยเสียงกังวาล
“ข้าเตรียมของชิ้นหนึ่งไว้ให้เจ้าแล้ว” เศรษฐีพูดจบพร้อมกับหยิบกล่องสีทองลายฉลุจากด้านข้างขึ้นมา
“ข้างในมีของล้ำค่าที่สุด ที่ข้าเก็บไว้ตั้งแต่ยังหนุ่ม ข้าได้ออกเดินทางหาคำตอบว่าทำอย่างไรจึงจะมีเหรียญทองใช้ไม่มีวันหมดแล้วข้าก็ได้สิ่งนี้มา” เศรษฐีมอบกล่องสีทองให้กับชายหนุ่ม
เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกต่นเต้นมาก เมื่อได้รับของจากมือท่านเศรษฐี ชายหนุ่มนึกในใจว่า นี่นะหรือคือสิ่งที่คนหนุ่มอย่างท่านกาแลกลายเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง
ชายหนุ่มค่อยๆ เริ่มบรรจงแกะสลักข้างกล่องออก แล้วเปิดดูข้างในภายในนั้มีแผ่นกระดาษปาปิรุสหนึ่งแผ่นดูเหมือนจะเป็นแผนที่และมีเหรียญทองคำห้าเหรียญที่ดุแล้วไม่เหมือนกัน ด้านหน้าของแต่ะเหรียญนั้มีตัวสัญลักษณ์หนึ่งตัว ที่ไม่เหมือนกัน ส่วนด้านหลังก็มีสัญลักษณ์บางอย่างท่ดูเหมือนเป็นตัวอักษร แต่เขาไม่รุ้ว่าสัญลักษณ์ของแต่ละเหรียญที่ไม่เหมือนกันนั้น หมายความว่าอย่างไร
ถูกต้องแล้ว มันคือแผนที่ที่ข้าเขียนขึ้นมาเพื่อที่จะหาผุ้สืบทอดไปหาท่านผุ้วิเศษทั้งสาม ผุ้เป็นอาจารย์ของข้า ท่านเปรียบเสมือนผุ้พลิกทั้งชีวิตของข้า ข้าคิดว่าท่านสามารถให้คำตอบแก่เจ้าได้ เหรียญทั้งห้านี้ ท่านผู้วิเศษทั้งสามเป็นคนมอบให้ข้าเอง
ท่านให้ข้ามอบเอาไว้ ให้กับผุ้เหมาะสม เจ้าจงนำเหรียญห้าเหรียญนี้ไปหาผู้วิเศาทั้งสาม ณ ดินแดนปุนต์ พวกเท่านจะทดสอบเจ้า
“ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบเหล่านั้น พวกท่านผู้วิเศษทั้งสามจะสอนเจ้าในเรื่องการทำการค้าที่แสนวิเศษท่เจ้าอยากรู้ และหลังจากนี้เจ้าจะสามารถหาคำตอบจากคำถามที่ถูกต้องของเจ้า ได้ด้วยความสามารถของเจ้าเอง ถ้าเจ้ามีความสามารถเพียงพอ” เศรษฐีกล่าว
“แล้วท่านผู้วิเศษทั้งสามหน้าตาเป็นอย่างไร” “ท่านจะทดสอบอะไรข้า”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นกับการได้เดินทางไปหาผู้วิเศษทั้งสาม
“เจ้าสมควรรู้ในสิ่งที่เจ้าต้องรู้ แค่นั้นก็เยงพอแล้ว” เศรษฐีกล่าว
“ถ้าเจ้าอยากรู้มากกว่านี้เจ้าก็รีบออกเดินทางไปตามหาท่านโดยเร็วจะดีกว่า” เศรษฐีกล่าวต่อ
“ขอรับ ขอบพระคุณเศรษฐีมาก ข้าจะออกเดินทางทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้” ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งในของขวัญของท่านเศรษฐี
“แต่ข้าก็ยังสงสัยเหมือนกัน ว่าข้าเป็นคนแรกหรือไม่ที่ได้รับของขวัญพิเศษเช่นนี้” ชายหนุ่มอยากรู้
“ถูกต้อง มีคนมากมายที่มาหาข้า เพื่อที่จะมาขอยืมเหรียญทองคำไปจากข้า แต่ไม่เคยมีใครเลยที่อยากรู้ว่าข้าทำอย่างไรจึงมีเหรียญทองคำที่ใช้ได้ไม่มีวันหมดไปตลอดชีวิต ข้าเองก็ให้พวกเขาหาคำตอบเช่นเดียวกับเจ้านั่นแหละ คนเหล่านั้นไม่เคยที่จะตั้งคำถามเช่นเจ้า พวกเขาต้องการเหรียญทองจากข้าเพื่อไปต่อชีวิตเท่านั้น” เศรษฐีอธิบายพร้อมกับกล่าวลาชายหนุ่มผู้มุ่งมั่น
“ขอให้เจ้าได้กลับมาพร้อมกับสิ่งที่เจ้าปรารถนานะ” “ขอบพระคุณท่านเศรษฐีมากขอรับ ข้าจะพยายามค้นหาความจริงแล้วกลับมาโดยเร็วที่สุด” ชายหนุ่มกล่าวลาด้วยความซาบซึ้งใจ
คืนนั้นชายหนุ่มได้หยิบเหรียญทั้งห้าขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังว่า เหรียญเหล่านี้นะหรือที่ทำให้ท่านเศรษฐีร่ำรวยขึ้นมาได้มันต้องมีอะไรซ่อนอยู่ภายใน หรือมีอะไรที่เป็นความลับของเหรียญนี้แน่ๆ แล้วด้านหลังของเหรียญคืออะไรกันนะ
ชายหนุ่มรู้แต่เพียงว่า เขาต้องพยายามหาเคล็ดลับความรุ้หรือเคล็ดลับความสำเร็จให้ได้ในชีวิตนี้ เขาไม่เกรงกลัวต่อความลำบาก เพราะเขารู้ว่าการหาความรู้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แน่
ชายหนุ่มหยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมา แล้วเขียนสิ่งที่เขาคิดลงไปในกระดาษแผ่นนั้นว่า
การทำการค้า จะต้องมีความรู้
ความรู้ เป็นสิ่งที่เราต้องแสวงหา
การหาความรู้ คงไม่ใช้เวลาเพียงวันเดียว
กว่าจะได้ความรู้ คงไม่ใช้เรื่องง่าย
การสะสมความรู้ สามารถทำได้ทุกวัน
การหาความรู้ คงจะยากลำบากมาก
การหาความรู้ จึงต้องอดทน
ถ้าล้มเลิกกลางคัน ก็จะไม่ได้ความรู้
ถ้าหมดความอดทน ก็จะไม่ได้ความรู้
จะต้องมีความมุ่งมั่น จึงจะไปถึงจุดหมายได้
และจุดหมายนั่นคือ ความสำเร็จ
รุ่งขึ้นตะวันส่องแสงผ่านช่องหน้าต่างไม้เห็นกระเป๋าเดินทางและอุปกรณ์ในการเดินทางมากมาย ชายหนุ่มฝากกิจการร้านผลไม้หมักไว้กับพี่สาวที่ชื่อมูมาย และร่ำลาน้องสาวที่น่ารักชื่อมินนาที่ยังเล็กอยู่
“พี่หวังว่า จะค้นพบสิ่งที่พี่ต้องการโดยเร็ว ฝากดูแลน้องมินนาด้วยนะครับ” ชายหนุ่มร่ำลาพี่สาวมูมายผู้ที่คอยช่วยเหลือกันและกันตั้งแต่ยังเด็ก
<<<<< มุ่งสู่แดนปุนต์ ที่ลึกลับ >>>>>>
นี้เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ออกเดินทางไปนอกหมู่บ้านโดยที่ตั้งใจอย่างมุ่งมั่น และแน่วแน่ว่าจะต้องไปค้นหาความลับของเหรียญทั้งห้าให้สำเร็จ แล้วค่อยกลับมาพบกับครอบครัว
ก่อนที่ชายหนุ่มจะขึ้นขึ่อูฐ เขาก็หยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมาแล้วเขียนข้อความเตือนสติตัวเองก่อนออกเดินทางว่า..
“การค้า เปรียบเสมือนการเดินทาง
บางวันอากาศก็ร้อนระอุ
บางวันมีพายุมา
บางวัน ฝนก็ตก
บางวัน ต้องการน้ำมาก
บางวัน ต้องการอาหาร
ก่อนที่จะออกเดินทางต้องเตรียมตัวให้พร้อม
ก่อนที่จะทำการค้า ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
ชายหนุ่มออกเดินทางมาหลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือน ผ่านทะเลทรายร้อนระอุ บางวันก็ต้องพบกับพายุทราย ชายหนุ่มปะทังชีวิตโดยดื่มน้ำจากต้นไม้ และน้ำที่เตรียมไว้ กินอาหารแห้งที่เตรียมเอาไว้ หรือจับสัตว์กินเพียงเพื่ออยู่รอด ชายหนุ่มต้องผ่านชีวิตที่ยากลำบาก เวลากลางคืนที่เงียบสงัดบางครั้งก็เผชิญกับพายุทราบตลอดคืน
เขาได้แต่เดินตามแสงของดวงดาวชิริอุส ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ที่สุกสว่างที่สุดบนท้องฟ้า
หลายเดือนผ่านไปตามแผนที่ อีกไม่กี่วันชายหนุ่มก็จะเข้าเขตดินแดนปุนต์ ที่ท่านผู้วิเศษทั้งสามอาศัยอยู่
ชายหนุ่มนึกถึงการเดินทางที่ผ่านมา จึงหยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมา แล้วเขียนลงไปว่า..
“การคิดล่วงหน้าว่าจะพบอะไร ก่อนออกเดินทางนั่นคือ การวางแผน การคิดล่วงหน้าว่าจะพบอะไร ก่อนทำการค้า นั่นคือ การวางแผน การเดินทางย่อมพบอุปสรรค การเดินทาง ย่อมมี ความท้อแท้ การเดินทางจะสำเร็จ ต้องมีความมุ่งมั่น การเดินทางถ้าล้มเลิก กลาทาง จะไม่ถึงจุดหมาย ”
“การค้าย่อมพบ อุปสรรค การค้าย่อมมี ความท้อแท้ การค้าจะสำเร็จได้ต้องมีความมุ่งมั่น การค้าถ้าล้มเลิกกลางคัน จะไม่ประสบความสำเร็จ”
ชายหนุ่มเดินทางมาหลายเดือน เพื่อที่ต้องการจะหาความรู้ เพื่อต้องการจะหาความรู้ในการสร้างการค้าให้ประสบความสำเร็จ ชายหนุ่มต้องรอนแรมหลบพายุทราย และเดินทางผ่านทะเลทรายที่ร้อนระอุมาด้วยความยากลำบาก”
เมื่อมาถึงเขตเมืองปุนต์แล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกดีใจมาก ชายหนุ่มจึงบรรยายความรู้สึกลงบนแนกระดาษปาปิรุสว่า..
“ยิ่งผ่าน อุปสรรค มาก เรายิ่งภูมิใจมาก เมื่อถึงจุดหมาย จึงรู้ว่า ยิ่งผ่าน อุปสรรค มากขึ้น เรายิ่งเห็น คุณค่าของสิ่งนั้นมากขึ้น”
“คนชนะ ไม่เคยล้มเลิก คนล้มเลิก ไม่เคยชนะ”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาผ่านประตูใหญ่แล้วเดินมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่พบผู้เฒ่า 3 คนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่อย่างสุภาพ พูดจาอย่างเป็นกันเอง และสนุกสนาน
ชายหนุ่มเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ วงสนทนา ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นผู้เฒ่าหนึ่งในสามคนนั้น มีเหรียญที่มีอักษร S เหมือนกับที่ชายหนุ่มมีอยู่ด้วย
ชายหนุ่มไม่กล้าเข้าไปรบกวนการสนทนา ระหว่างนั้นเอง ชายหนุ่มได้หันไปพบเห็นก้อนหินใหญ่แกะสลักตัวอักษรเอาไว้ว่า....
“การทำการค้าเปรียบเสมือนขี่หลังเสือ ถ้าเกิดเบื่ออยากจะลงคงไม่ได้ ถ้าตกลงจากหลังเสือคงเกือบตาย ถึงลงได้ก็ไม่วายถูกกัดเอย
มีทางอยู่หลายทางต่างชีวิต ฟ้าลิขิตหรือเลือกเดินตามความฝัน ถึงทางแยกแปลกใหม่ในทุกวัน จงเลือกกันทางที่สุขมนุษย์เอย
ทางหนึ่งมีกุหลาบอยู่ราบพื้น อีกทางหนึ่งเต็มด้วยหนามใบไม้ไหว อีกทางหนึ่งบนถนนขรุขระไป จะเลือไว้ทางที่ชอบขอบอกเอย
ทางเริ่มต้นอาจยากลำบากหน่อย แต่จะค่อยเริ่มสบายในภายหลัง ถ้าตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง หนามที่ฝังอาจจะออกเป็นดอกเอย
คนขึ้เกียจอย่าได้เลือกทางเฒ่าแก่ คนขึ้แยอย่าได้เลือกทางพ่อค้า คนขึ้บนอย่าได้เลือกทางที่ว่ามา สำเร็จช้ากว่าจะมาถึงเส้นชัย”
คนขยัน คนมุ่งมั่น จึงค่อยคิด คนมีสติ มีสตางค์ มีสร้างสรรค์ คิดบวกลบ ครบถ้วน ด่วนทุกวัน คนคนนั้นน่าประสบสำเร็จเอย”
หลังจากนั้นไม่นานผู้เฒ่าทั้งสามได้หยุดสนทนากันแล้วหันมาสนใจชายหนุ่ม
“เจ้ามาทำอะไรหรือ เจ้าหนุ่ม” ผู้เฒ่าถาม
“ข้าผู้น้อยมีนามว่า แมคก้า ข้าได้เหรียญทองคำห้าเหรียญจากท่านกาแล และท่านกาแลบอกข้าให้เดินทางมา ณ ดินแดนปุรต์เพื่อมาพบกับผู้วิเศษทั้งสามที่เป็นอาจารย์ของท่านเศรษฐีกาแล และนี้คือเหรียญทองทั้งห้าขอรับ” ชายหนุ่มตอบ พร้อมกับหยิบเหรียญทั้งห้าขึ้นมาให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสามชม”
“เจ้าหนุ่มเจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมากล่ะสินะ”
“ข้ารอนแรมจากบ้านเกิดข้ามานานกว่าหกเดือนแล้วขอรับ”
“เจ้ามาถึงดินแดนปุนต์แล้วล่ะ แต่บริเวณนี้ไม่มีผู้วิเศษหรอกนะ จะมีแต่พวกข้าทั้งสามคนที่มาบริเวณนี้บ่อยๆ และพวกเราก็เป็นเพียงคนธรรดาเท่านั้น และที่สำคัญกว่านั้นพวกเราเคยพบกับท่านกาแลเม่อหลายปีมาแล้ว เราเพียงแต่สนทนากัน พวกข้าไม่ได้เป็นอาจารย์ของเขาหรอก”
“ข้าเห็นเหรียณรูปสัญลักษณ์ S บนคอของท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ข้ามี” ชายหนุ่มตอบ
“เหรียญสัญลักษณ์ s นี้นะหรือ”
“มันเป็นเหรียญขอข้าเอง มันมาจากชื่อย่อของข้า ข้ามีนามว่า ชาเลส Sales”
“ส่วนท่านผู้เฒ่าที่สองคือ ท่านผู้เฒ่าโอทูทู ผู้เป็นเจ้าของเหรียญ c เหรียญ E และเหรียญ m” ดูเหมือนท่านโอทูทู จะมีศรีษะล้านจำง่ายที่สุด
ส่วนท่านที่สามยังดูหนุ่มที่สุด มีรูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ยิ้มง่าย หัวเราเก่ง ดูท่าทางเป็นคนมีความสุขตลอดเวลา
“ท่านชื่อว่า โปรฟิตโต้”
“เจ้ามีชื่อว่าอะไรนะ” ผู้เฒ่าชาเลสถาม
“แมคก้าขอรับ”
“แล้วทำไมเจ้าอยากจะรูเรื่องคัมภีร์ห้าเหรียญนี้ล่ะ”
“ข้าทำการค้าตั้งแต่เด็ก แล้วข้าก็ได้ลองผิดลองถูกหลายอย่าง แต่ปรากฎว่าการค้าของข้ามีเงินพอบ้าง และไม่เพียงพอบ้าง แต่ส่วนใหญ่ข้ามักจะขัดสนมากขึ้นเรื่อยๆ นานวันเข้า ข้าจึงไปพบท่านเศรษฐีกาแลประจำหมู่บ้าน ท่านบอกข้าว่า ถ้าข้ามีเหรียญเหล่านี้แล้วมาที่สำนักโมลินเพื่อพบกันผู้วิเศษทั้งสาม ข้าก็จะได้รู้เคล็ดลับความร่ำรวยเหมือนท่านเศรษฐีกาแล ข้าจึงออกเดินทางมาพบพวกท่านทั้งสามนี้แหละขอรับ
“การทำการค้าเจ้าต้องเรียนรู้อีกมากก่อนที่จะเริ่มทำ แล้วถ้ามันเหนื่อยมากเจ้าจะคิดยังทำต่อหรือไม่”
“ข้าเลือกเดินทางนี้แล้ว ข้าขอสู้ต่อให้ถึงที่สุดขอรับ”
“ดี อย่างนั้นเจ้าเข้าไปพักผ่อนก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าเจ้ามาพบพวกข้าที่นี้ แล้วข้าอาจแนะนำเจ้าในการทำการค้าที่พวกข้าเรียนรู้มาตลอดชีวิตให้เจ้าได้รู้ สมกับที่เจ้าได้เนทางมาไกลขนาดนี้
“ขอบพระคุณขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวคำขอบคุณ แล้วเดินไปทางห้องรับรอง แล้วพักค้างแรมที่นั่น ด้วยความเหนื่อยล้าชายหนุ่มจึงหลับตั่วค่ำ
เช้าวันใหม่ ชายหนุ่มออกมาพบผู้เฒ่าทั้งสามที่เดิมซึ่ง ผู้เฒ่าทั้งสามนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับ ท่านผู้เฒ่าทั้งสาม”
“หลับสบายมั้ย เมื่อคืนนี้”
“หลับสบายมากครับ”
“งั้นเรามาเริ่มกันเลย”
“ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง เมื่อสิบปีก่อนมีพ่อค้าชายนูเบียสองคน เดินทางเข้ามาในหมู่บ้านเรา เมื่อพ่อค้าคนแรกมาถึง ได้นำผ้าฝ้าย และผ้าลินินที่มีลายปักฉลุสีทองเข้ามาในหมู่บ้าน และนำอาหารเพื่อที่จะมาขายให้คนในหมู่บ้าน เป็นแป้งสาลีปั้นกลมๆ แบนๆ และนำน้ำผึ้งมาราดชั้นที่สองเรียกว่า “บายู”
พ่อค้าคนแรกนั้นเมื่อเข้ามาถึงเมืองก็เห็นชาวบ้านในหมู่บ้านเราแต่งตัวด้วยผ้าสีขาวทั้งตัวไม่มีปักฉลุสีทอง และอาหารก็ไม่เคยทานแป้งสาลีที่เรียกว่า “บายู” ด้วย พ่อค้าคนแรกเห็นดังนั้นก็เดินทางจากหมู่บ้านเราไป ไปหาเมืองอื่นที่คคิดว่าว่าชาวบ้านต้องการสินค้าแบบนี้
ส่วนพ่อค้าคนที่สอง ได้นำสินค้าชนิดเดียวกัน คือ ผ้าฝ้ายและผ้าลินินสีต่างๆ ที่มีลายปักฉลุสีทองและแป้งสาลี “บายู” เพื่อที่จะมาขานให้คนในหมู่บ้าน และเห็นคนในหมู่บ้านยังไม่เคยใช้ของประเภทนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเริ่มปักหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การค้าของพ่อค้าคนที่สองเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าใครคิดอยากใช้ผ้าฝ้าย และผ้าลินินปักฉลุสีทองก็จะนึกถึงพ่อค้าชาวนูเบียคนนี้ ถ้าใครอยากกินอาหารจากต่างเมืองก็มาหาพ่อค้าคนนี้อีกนั่นคือบ่อเกิดของความร่ำรวยของพ่อค้าชายนูเบียคนนี้ ที่กลายเป็นเศรษฐีประจำเมืองนี้ไป
“เจ้าได้อะไรจากนิทานเรื่องนี้บ้าง”
“ข้าคิดว่า พ่อค้าทั้งสองคนมีความคิดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเรื่องของโอกาสกับอุปสรรค”
“พ่อค้าคนแรก มองเห็นว่า ที่เมืองนี้ไม่ได้ใช้สินค้าที่เขาขายเขาจึงคิดว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการค้าของเขา เขาไปหาหมู่บ้านที่ใช้ของประเภทนี้เขาก็จะขายมันได้ง่ายกว่า”
“พ่อค้าคนที่สอง มองเห็นว่า ที่เมืองนี้ไม่ได้ใช้สินค้าที่เขาขาย เขาจึงคิดว่ามันเป็นโอกาสทองของเขาที่จะประสบความสำเร็จได้โดยง่าย”
“เก่งมากเจ้าหนุ่มน้อย” พ่อค้าคนที่สองนั้นมีเลือดของพ่อค้าที่แท้จริงอยู่ในตัว เขามองเห็นโอกาสทุกครั้งที่มีอุปสรรค ซึ่งต่างจากพ่อค้าคนแรกที่มองเห็นอุปสรรคทุกครั้งที่มีโอกาส
ชายหนุ่มตั้งใจฟัง ก่อนที่จะหยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมาบันทึกไว้ว่า...
“คนชนะ จะมองเห็น โอกาส ทุกครั้งที่มีอุปสรรค คนล้มเหลว จะมองเห็นอุปสรรค ทุกครั้งที่มีโอกาส”
“ยังมีมากวก่านั้อีก พ่อค้าคนที่สองได้ขายสินค้าที่มีความแตกต่างกับในตลาดของหมู่บ้าน เขาได้ขายสินค้าแบบเดิมด้วยสินค้าใหม่เฉพาะแบบที่เขานำเขามาขายในตลาด ลูกค้าหลายๆ คนได้หันมาลองใช้ผ้าลินินหลากสีปักฉลุ และกินแผ้งสาลีบายู นมแพะ และน้ำผึ้งที่มีรสชาติใหม่ ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่มีคู่แข่ง และทั้งหมดนี้คือ หัวใจของตัว S ที่ย่อมาจากชื่อของข้า “Sales” ชาเลส
“สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการทำการค้า” คือการขาย
“การขาย ที่ยอดเยี่ยม คือ การสร้างความแตกต่าง
“การสร้างความแตกต่าง ในตัวสินค้า คือ การหนีห่างจากคู่แข่ง”
พ่อค้าชาวนูเบียคนนั้น คือ ตัวข้าเอง ตอนทำการค้าเริ่มแรกข้าเองก็ประสบปัญหาเช่นกัน และเมือ่ข้าได้มาพบกับเพื่อรักข้าอีกสองคน คือ ท่านโอทูทู และท่านโปรฟิตโต้ พวกเราชอบนั่งศึกษาเรื่องการค้ากัน ท่านเพื่อนรักข้าทั้งสองได้ช่วยข้าไขปริศนาการทำการค้าได้สำเร็จ และสิ่งทีพวกเราปรึกษากันนั้นได้สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งให้กับพวกข้าทั้งสามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“เมื่อท่านเล่าเรื่องมาแบบนี้ ท่านยังมีอุปสรรคอีกหรือครับ”
“เมื่อตอนเริ่มต้นการค้า ข้ามีปัญหามากมายเหมือนพ่อค้าทั่วไปนั่นแหละ ข้านั้นแยกไม่ออกว่า ลูกค้าของข้าคือใคร ข้าต้องทำอย่างไร และพอท่านเพื่อนรักข้าทั้งสองได้ชี้แนะข้าเพียงไม่กี่คำ ข้าก็สามารถทำการค้า และขายสินค้าได้มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณภายในเวลาไม่นานนัก”
“ข้าพอจะมีโอกาสได้รู้เรื่องนี้มั้ยครับ”
“แน่นอน เจ้าต้องได้รู้หมดทุกเรื่องที่สำคัญต่อการทำการค้าเจ้าเดินทางมาไกลขนาดนี้ เจ้าจะได้รู้เรื่องที่เจ้าสมควรรู้”
“เมื่อข้าเริ่มขายสินค้าของข้าทั้งสองอย่าง ข้าอยากจะขายผ้าฝ้ายและผ้าลินินปักฉลุสีทองให้ได้มากๆ
“ข้าเลยตั้งราคาถูกๆ และนำมาวางขายบนพื้นทางเดินที่ตลาด หวังว่าจะมีคนมาสนใจมากๆ มาตั้งแต่เริ่มต้นขาย แต่ปรากฎว่าข้าขายสินค้าไม่ได้สักชิ้นเดียว และข้าคิดว่าข้าจะขายขนมบายูให้ได้มากขึ้น ข้าก็ตกแต่งร้านอาหารของข้าใหม่หมด และตั้งราคาสูงๆที่ เหมาะกัรต้านค้าของข้า หาเด็กๆ มาช่วยงานมากมายเพื่อทำการบิรการลูกค้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครกล้มาลองอาหารแบบใหม่นี้ในชวงนั้นความคิดของข้าที่จะเป็นเศรษฐีใกล้จะดับวูบลง แต่เมื่อข้าได้พบท่านเพื่อรักข้าทั้งสองท่านได้แนะนำข้าบางอย่าก็ทำให้การค้าของข้าดีขึ้นมามาก”
“ท่านเพื่อรักข้าทั้งสอง ได้แนะนำเรื่องลูกค้าใหกับข้า ท่านบอกข้าว่า สินค้าผ้าลินินปักฉลุของข้าคงจะขายได้กับบางคนได้ใช้ไม่ใช่ทุกคน คงจะมีพวกผู้หญิงบางคนอาจะทดลองซื้อผ้าลินินสีสันปักฉลุสีทองไปใช้ แต่ไม่ใช้ทุกคน เพราะวัฒนธรรมของคนที่นี้คือการนุ่งผ้าสีขาวทั้งตัว และมันก็เป็นเรื่องยากที่สุดที่จะให้ทุกคนเปลี่ยนวัฒนธรรมอันยาวนานนั้นให้ทุกคนมาใส่ผ้าสีปักฉลุ”
“ท่านเพื่อนรักข้าทั้งสองยังบอกอีกว่า เมื่อสินค้าขายปริมาณไม่มากและเป็นเฉพาะกลุ่มอย่างนี้ควรตกต่างร้านให้สวยงาม เหมาะกับสินค้าที่สวยงาม ไม่ใช่วางขายกับพื้นดินเช่นนี้ รวมทั้งของที่ขายเฉพาะกลุ่มก็สามารถตั้งราคาที่สูงกว่าผ้าขาวปกติได ซึ่งจะทำให้คนสนใจกันมากขึ้นอีก”
และท่านยังบอกต่อว่า “ถ้าข้าอยกาให้มีคนเห็นว่าสินค้าของข้าดี ก็ให้เชิญผู้หญิงที่สยที่สุดในหมู่บ้านมาสักสองหรือสามคนแล้วให้ผ้าลินินปักฉลุทองกับพวกนางฟรีๆ และให้พวกนางช่วยใส่ผ้านี้เดินไปมารอบๆ เมือง ใส่ชุดนี้อย่าน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
“ข้าลองทำตามที่ท่านเพื่อรักข้าทั้งสองพูดทุกอย่าง มันทำให้การค้าของดีขึ้นผิดหูผิดตา”
“สาวงามสองหรือสามคนที่ข้าแจกผ้าลินินปักฉลุสีทองให้ฟรีเมือใส่ออกมาเดินในตลาดก็มีแต่คนจับตามอง เพราะนางใส่ชุดที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ใส่เฉพาะสีขาว มีคนมาสอบถามพวกสาวงามเหล่านั้นว่าได้ผ้าไหมสีสวยนี้จากที่ไหน พวกนางจึงบอกว่ามาจากร้านของข้า ทำให้มีสาวๆ ทั้งหลายมาซื้อของข้า ทำให้สินค้าของข้าหมดในพริบตา รวมทั้งพวกชายหนุ่มฉกรรจ์ที่มาสั่งจองสินค้าของข้าเพื่อให้เป็นของกำนัลกับภรรยาและคนรักของพวกเขา”
ส่วนร้านค้าแป้งบายูนมแพะ และน้ำผึ้ง ท่านเพื่อนรักข้าทั้งสองก็แนะนำว่า อาหารนั้นสามารถขายให้กับทุกเพศทุกวัยได้ ในหมู่บ้านนี้ไม่จำเป็นต้องตกแต่งร้านให้สวยมาก กรรมวิธีของการทำนี้คงจะน่าสนใจไม่ใช่น้อย เมือ่คนเห็นกรรมวิธีในการทำแป้งบายู ก็จะทำให้อยากทานมากขึ้น ที่สำคัญคือ เมือ่สินค้าขายให้กับคนหมู่มากได้ก็ไม่ควรตั้งราคาสูง ตั้งราคาพอดีๆ หรือราคาถูก เพื่อให้คนมากๆ เข้ามาซื้อและตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า
ข้าจึงเปลี่ยนพื้นที่ของการขาย โดยให้ผ้าฝ้าย และผ้าลินินทองปักฉลุมาขายในร้าน และขายขนมแป้งสาลีบายูด้านนอก โดยมีกรรมวิธีให้ลูกค้าเห็นการผลิต ตั้งแต่การตีแป้ง ทำแป้งเป็นแผ่น วิธีการราดนมแพะ และน้ำผึ้ง มีกลิ่นหอม ทำให้ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเห็นอยากซื้อไปทดลองชิมในราคาไม่แพง และยังบอกต่อกับเพื่อนๆ ให้มาซื้ออีก หลังจากนั้นไม่นานคนก็มาซื้อทานกันเกือบทั่วทั้งเมือง”
“ถ้าเปรียบการขาย เหมือนการเริ่มต้นที่ดี การค้าจะดีหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับการเริ่มต้น การเริ่มต้นได้ดีย่อมได้เปรียบเสมอ”
“มีคนหลายคนที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยสิ่งที่ตัวเองชอบ ตัวเองรักและประสบความสำเร็จทางธุรกิจ และมีความสุขในการทำงานด้วยนั่นคือโชคสองชั้น แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำธุรกิจแบบที่ตัวเองชอบตัวเองรัก ไม่มีสูตรตายตัว การกระทำแบบเดิมในอดีตนั้นไม่ได้หมายความว่า การทำแบบเดิมอีกครั้งในอนาคตแล้วจะประสบความสำเร็จ”
“การทำธุรกิจจะต้องมีหลักการ ต้องมีแนวคิดที่ถูกต้องก่อนแล้วนำหลักการนั้นมาปรับใช้กับธุรกิจของตน เพราะแต่ละธุรกิจมีวิธีการต่างกัน หรือธุรกิจเดียวกันนั้นถ้านำมาใช้คนละสนางที่ ก็อาจต้องมีวิธีแตกต่างกัน จะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการปรับปรุง
กลยุทธ์ต่างๆ มาใช้ให้ถูกที่ถูกเวลา และสามารถนำมาใช้ได้ดีขนาดไหน องค์ประกอบของความสำเร็จนั้นมีอยู่หลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่าใครนำมาใช้และนำไปใช้กับใคร ใช้ที่ไหน เมื่อไหร่ ใช้อย่างไร”
“การทำการค้าในเมืองนี้ด้วยวิธีการนี้ แล้วประสบความสำเร็จ ถ้าไปทำวิธีการเดียวกันนี้ในเมืองอื่น อาจะไม่ประสบความสำเร็จก็ได้”
“องค์ประกอบของความสำเร็จทางธุรกิจ ปัจจัยแรกคือ การขาย”
“การขาย คือ ก้าวแรกในการออกตัวที่ดีในการแข่งขัน ถ้าการขายทำได้ดีแล้วก็จะดูปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ต้นทุน และค่าใช้จ่าย โดยที่สุดท้าย คนทำการค้าทุกคนก็คาดหวงกำไร”
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนละกัน พวกเราจะมาต่อกันพรุ่งนี้กับท่านผู้เต่าโอทูทู และผู้เฒ่าโปรฟิตโต้ในวันถัดไป”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะกล่าวร่ำลาผู้เฒ่าทั้งสาม ชายหนุ่มหยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมาเขียนไว้ว่า....
“การทำการค้าต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าคือใคร ทำอย่างไรทำหลูกค้าสนใจสินค้าเรา
การตั้งราคา จะต้องตรงกับกลุ่มลูกค้า
การจัดสรรสินค้าดีทำให้สามารถขายสินค้า ราคาสูงขึ้นได้
การทำสิ่งที่เราชอบเรารัก ไม่ใช่สิ่งยืนยันว่า จะทำสำเร็จเสมอไป
การทำธุรกิจ ต้องมีหลักการ มีความรู้และแนวคิดที่ถูกต้องก่อน
ธุรกิจที่เหมือนกัน แต่ต่างสถานที่กัน ต่างเวลากัน อาจจะต้องใช้วิธีการต่างกัน จึงจะพบกับความสำเร็จ
มนุษย์หลายคน ชอบการค้าขาย
หนุษย์หลายคน เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้าง
คนแพ้เริ่มต้นทำงานเพราะเงินเล็กน้อย
คนแพ้ เริ่มเบื่องาน
คนแพ้ เริ่มหางานใหม่
คนแพ้ ไม่วางแผนก็ลงมือทำ
คนแพ้ เริ่มท้อแท้
คนแพ้ บางคน ปรับตัวด้วยการกราบไหวฟ้าดิ
คนแพ้ บางคน ประสบความล้มเหลวและกลับไปท้อแท้อีกครั้ง
มนุษย์หลายคนชอบการขาย
มนุษย์หลายคน เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้าง
คนชนะ เริ่มต้นจาก การทำงานที่รัก
คนชนะ เริ่มทำงานดีขึ้น
คนชนะ มักมีการวางแผนที่ดี
คนชนะ ปรับตัวด้วยการหาความรู้เพิ่มเติม
คนชนะ ประสบความสำเร็จ มีการงานมั่นคง ขยายกินการใหญ่โต มีอำนาจมากขึ้น
ชายหนุ่มไดร่ำลาท่านทั้งสาม แล้วมุ่งหน้าเดินเข้าไปในเมืองภายในตลาดก็ยังคงคึกคักอยู่เหมือนเดิม มีคนขายของมากมายมีพ่อค้าต่างเมืองอยู่มากด้วยเช่นกัน มีผลไม้หน้าตาแปลกๆ ที่หมู่บ้านเขาไม่มี เด็กโตก็จะมาช่วยผู้ใหญ่หาทองคำคล้ายๆ กับหมู่บ้านของเขา ระหว่างทางนั้นชายหนุ่มเหลือบไปเห้นโรงตีเหล็กขนาดใหญ่ มีช่างตีดาบมากมาย มีป้ายชื่อของโรงตีดาบว่า “โอทูทู”
ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจว่าเป็นการค้าของท่านผู้เฒ่าโอทูทูหรือไม่ จึงตรงเข้าไปถามกับหัวหน้าช่างตีดาษ แล้วก็เป็นจริงดังที่คาดไว้ ว่าน้นเป็นธุรกิจของท่านผู้เฒ่าโอทูทู ที่ได้รับคำสั่งจากองค์ฟาโรห์ให้ตีดาบและโล่ห์ รวมทั้งเกราะเหล็กให้กับทางพระราชวังให้พวกทหารหลาวงใส่เพื่อทำการออกรบ
ชายหนุ่มเก็บข้อมูลแล้วกลับมาที่พัก เขานอนคิดอยู่ว่าพรุ่งนี้เช้าท่านผู้เฒ่าจะสอนอะไรเข้าอีก
เช้าวันถัดมา ชายหนุ่มก็ออกมาพบท่านผู้เฒ่าทั้งสาม
ชายหนุ่มเล่าให้ผู้เฒ่าทั้งสามฟังว่า เขาได้ไปพบกับโรงตีดาบของท่านผู้เฒ่าโอทูทู
“ใช่แล้ว นั่นคือกิจการของข้าเอง และข้าก็จะยกตัวอย่างกิจการข้องข้าเพื่อมาสอนเจ้า อธิบายความหมยของเหรียญอีกสามเหรียญให้กับเจ้า นั่นคือเหรียญ C E และ M”
“เมื่อวานนี้ เจ้าเรียนรู้เรื่องการขายมาแล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอที่จำให้เป็นเศรษฐีที่เงินทงอไม่มีวันหมด อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เรื่องต้นทุน และค่าใช้จ่าย”
“คนส่วนใหญ่ รู้จักคำว่าต้นทุน ข้าคิดว่าเจ้าเองก็รู้ใช่มั้ย”
“แต่มีน้อยคนนักรทีรู้จักมันจริงๆ การทำการค้าจะต้องรู้จักต้นทุนที่แท้จริงเท่านั้นถึงจะอยู่รอด”
“ต้นทุนใครๆ ก็รู้จักนะครับ มันมีอะไรที่แยบยลกว่านั้นหรือ”
“ใช่แล้ว เมื่อเจ้าผลิตอะไรสักอย่าง เจ้าต้องใช้วัตถุดิบอย่างเช่นกิจการของข้า โรงตีดาบโอทูทู จะต้องซื้อเหล็กเข้ามาเป็นวัตถุดิบ ข้าจะต้องซื้อถ่าน หรือไม้ที่นำมาเป็นเชื้อเพลิง มีค้อนอุปกรณ์อื่นๆ ที่จะต้องมีให้ครบถึงจะสามารถผลิตดาบได้”
“เรื่องนี้ข้าผู้น้อยพอจะทราบครับ”
“และเจ้าว่ามีอะไรอีกหรือไม่ล่ะ ที่เป็นต้นทุน”
“คิดว่าไม่มีแล้วครับ”
“มันมี ต้นทุนมนุษย์ อยู่อีกนะ”
“ต้นทุนมนุษย์ มันคืออะไรครับ”
“ทุกคนที่มาทำงานจะต้องได้ค่าแรง ค่าจ้างกลับไป เพื่อใช้จ่างต่างๆ ในชีวิตรวมทั้งตัวของข้าเองด้วย เพราะข้าก็ต้องกินต้องใช้เหมือนทุกคนนั่นแหละ
“แต่ท่านไม่ได้ไปทำงานที่นั่นนี่ครับ”
“ใช่ ถึงแม้ข้าจะเป็ฯเจ้าของกิจการโรงตีดาบ ข้าก็ต้องมีภาระของข้าเอง ข้าจึงต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนตัว ที่นำมาจากกิจการ”
“นั้นหมายความว่า ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกิจการ ที่กิจการต้องนำมาเป็นภาระ นั้นก็คือ ต้นทุนมนุษย์ใช่มั้ยครับ”
“ถูกต้อง คนส่วนใหญ่ทำกิจการแล้วคิดเพียงแค่ซื้อของมาเท่าไหร่ก็ขายให้ในราคาที่สูงกว่าของที่ซื้อมานิดหน่อยก็พอแล้ว แต่คนเหล่นั้นลืมคิดไปว่าตัวเองก็นำค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาให้กินการและนำมาใช้ แต่ไม่ได้คิดมาเป็นต้นทุนมนุษย์ ทำอย่างนั้นไม่นาเงินทองของกิจการก็อาจะเริ่มฝืดเคือง และก็ยังหาไม่เจอว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร และท้ายที่สุดก็ต้องปิดกิจการลง”
“ถ้านำทุกอย่างมารวมกันไว้ ต้นทุนสินค้าก็จะสูงสิฮะ”
“ถูกต้อง แต่นั้นคือความจริง ซึ่งความจริงของกิจการ เจ้าจะต้องรู้ทุกอย่างที่เป็นข้อมูลแท้จริง เจ้าถึงประสบความสำเร็จ ถ้าแม้แต่เจ้ามีวิธีการคิดที่ผิด การกระทำของเจ้าก็ย่อมผิดตามไปด้วย เมื่อการกระทำผิด เจ้าก็มิอาจจะประสบควาสำเร็จได้”
“เดิมที ข้าเองก็ไม่รู้เรื่องนี้หรอก ข้าไดรับคำสั่งจากท่านแม่ทัพขององค์ฟาโรห์ให้ผลิตดาบขึ้นมา
“ก่อนข้าเริ่มขายอาวุธให้กับคำสั่งซื้อจากพระราชวัง ข้าเองก็มีต้านตีดาบเล็ๆ อยู่ในเมือง ในตลาดก็จะมีร้านตีดาบของข้าอยู่หนึ่งร้นและร้านของึคนอื่นๆ อีกสองร้าน ร้านทั้งสามนั้นได้รับคำสั่งซื้อจากพระราชสังให้ผลิตอาวุธอย่างดีให้กับทหารที่มีปริมาณมากขึ้น ในอดีตพวกทหารขององค์ฟาโรห์จะได้ใช้อาวุธที่พวกเขาผลิดขึ้นมาเองในวังจากแผนกผลิตอาวุธ ซึ่งในเวลานั้นไม่สามารถผลิดอาวุธได้ทันตามปริมาณทหารที่ถูกเกณฑ์เข้าไปมากขึ้น คำสั่งซื้ออาวธต่างๆ จึงตกมาถึงพวกข้าเจ้าของร้านเล็กๆ ทั้งสามแห่ง” ผู้เฒ่าโอทูทูหยิบดาบขึ้นมาดูหนึ่งเล่มแล้วกล่าวต่อไปว่า
“คำสั่งซื้อปริมาณมาก พวกร้านทั้งสามได้ขยายกิจการจนกระทั่งมีช่างผลิตอายุธร้านละสามสิบหรือสี่สิบคน เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี พวกเรากลายเป็นผู้มั่งคั่งในเมือง แต่เราก็ยังต้องทำงานหนักอยู่แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิบปีเท่านั้น เจ้าของร้านกิจการตีดาบเหลือแค่เพียงของข้าแห่งเดียวเท่านั้น” ท่านโอทูทูกล่าว
“ทำไมเหรอครับท่าน ในเมือ่กิจการของร้านทั้งสามมียอดขายจากพระราชวังตลอด แล้วทำไมพวกเขาถึงเลิกทำกันครับ” แมคก้าเอ่ยถาม
“พวกเขาไม่ได้อยากเลิกหรอก แต่มีเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นจุดเปลี่ยน มันเป็นเรื่องของต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ข้ากำลังจะเล่าให้ฟังว่ามันมีผลต่อกิจการอย่างไร”
“ร้านตีดาบแห่งแรก มีกิจการดีมาก เจ้าของมั่งคงมีเงินไปเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ในช่วงเริ่มต้นร้านอาหารมีคนสนใจเข้าไปทานกันมากในร้านคับคั่งไปด้วยผู้คน เจ้าของร้านตีดาบผลิดสินค้า ไม่รู้จักวิธีบริการคนที่ดีพอ ทำให้ลูกค้าหลายคนไม่ได้รับความพึงพอใจกับปริมาณคนที่มาก และอาหารที่ช้า รวมกับพนักงานไม่ค่อยจะบริการแขกสักเท่าไหร่ จึงทำให้ลูกค้าร้านอาหารน้อยลงทุกที”
กิจการเริ่มย่ำแย่ทุกวัน จากการที่มั่งคั่งในการผลิตดาบก็จะต้องนำกำไรจากร้านผลตอาบมาให้กับกิจการร้านอาหารอย่างต่อเนื่องร้านอาหารเริ่มย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ร้านตีดาบก็พลอยแย่ลงไปด้วย เนื่องจากเจ้าของกิจการไม่มีเวลาเข้าไปดูแล คุณภาพดาบที่ผลิตก็ไม่สมบูรณ์ ถูกทางพระราชวังตำนิ และถูกยกเลิกคำสั่งซื้อหลายต่อหลายครั้ง เมื่อกิจการ้านอาหารไม่ดี และยังมาดึงความก้วหน้าของกิจการร้านตีดาบ ทำให้การค้าย่ำแย่ลงไปอีกแห่ง” ท่านโอทูทูหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“แล้วท่านเคยพูดหรือเคยให้คำแนะนำกับเจ้าของร้านคนนี้หรือไม่ครับ” แมคก้าเอ่ยถาม
“เคยสิ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจ มีอะไรก็จะปรึกษาหารือกันหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายเจ้าของร้านที่หนึ่งตัดสินใจเลือกที่จะทำร้านอาหารให้ดีขึ้นกว่าเดิม และตั้งใจจะเปิดเป็นโรงแรมด้วยจะได้มีลูกค้าประจำคอยสั่งอาหาร เจ้าของร้านที่หนึ่งบอกข้ามันเป็นความฝันของเขาตั้งแต่เด็ก เมื่อตอนที่เขาเป็นเด็กนั้นยกจนมาก มีอาหารทานก็ไม่ครบทุกมื้อ อาหารก็เป็นของเหลือจากร้านอาหรใหญ่ๆ เขาจึงใฝ่ฝันอยากจะมีร้านอาหรเป็นของตัวเองจะได้กิจของดีๆ ตลอดไป”
“สุดท้าย เจ้าของร้านที่หนึ่งต้องการเงินจำนวนมากในการปรับปรุงกิจการร้านอาหารที่ไม่ถนัด เขาจึงตัดสินใจขายกิจการผลิตดาบให้ข้า เพื่อแลกกับเงินก้อนโต และหวังจะให้ธุรกิจร้านอาหารประสบความสำเร็จ”
“อย่างนี้ร้านของท่าก็กลายเป็นร้านผลิตดาบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองสิครับ” แมคก้าอยากรู้ถึงความสำเร็จ
“ยังหรอก ร้านของข้าเมือ่รวมกับกิจการกับร้านผลิตดาบที่หนึ่งแล้วก็ใหญ่เท่าๆ กับร้านผลิตดาบที่สองเท่านั้น ร้านที่สองนั้นใหญ่มากทีเดียว มีคนงานเกือบร้อยคน เดี๋ยวเราเดินไปคุยกันข้างในดีกว่ามั้ย หลังทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังต่อ”
“การทำการค้า ควรทำในสิ่งที่ตนเองถนัด การค้า ต้องมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ ถึงจะคงอยู่ได้ การค้าที่ไม่ดี มักจะดึงการค้าที่ดีให้ตกต่ำลงไป”
“ค่าใช้จ่ายจากการค้าที่ไม่ดี ที่ดูแลตัวเองไม่ได้จะทำให้ค่าใช้จ่ายของร้านที่ดี เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ค่าใช้จ่าย ที่มากเกินกว่า รายได้ จะทำให้การค้า ต้องล่มสลาย”
ท่านโอทูทูเดินเข้ามาในโรงผลิตดาบมีคนงานกำลังขะมักเขม้นในการตีดาบ ทำอาวุธ หอก มีดสั้น เกราะป้องกันตตัว เกราะหมวกเหล็ก โซ่ ตรวน เตาหลอมเหล็กหลายสิบเตาร้อนระอุเสียงค้อนที่ทุบเหล็กดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ท่านโอทูทูพาข้าเดินไปในโรงงานถัดไป ซึ่งเป็นที่ตรวจคุณภาพอาวุธ และเตรียมบรรจุก่อนส่งเข้าพระราชวัง ระหว่างทางมีคนงานหลากหลายคนทักทายท่านโอทูทู
“พ่อหนุ่ม เจ้าจงจำชายที่นั่งอยู่ที่มุมห้อง ผู้ที่กำลังตรวจนับสินค้าก่อนที่จะบรรจุส่งเข้าพระราชวัง เจ้าเห็นเขาใช่มั้ย” ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูถาม
“คนหนุ่มที่ดูสำอาง และเหมือนมีความรู้คนนั้นใช่มั้ยขอรับ” แมคก้าถามย้ำ
“ถูกต้อง ชายหนุ่มผู้นั้นแหละ แล้วช่วงบ่ายข้าจะเล่าเรื่องของเขาให้เจ้าฟัง” ท่านโอทูทูตอบ
“เอาล่ะ เจ้านั่งรอที่ห้องรับรองนี่แหละ เดี๋ยวจะมีคนมาเตรียมอารกลางวันให้พวกเราทานกัน แล้วข้าจะไปทำธุระของข้านิดหน่ออย และจะกลับมาทานอาหารพร้อมเจ้านะพ่อหนุ่ม”
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องเป็นห่วงข้า เชิญท่านทำธุระของท่านก่อน ข้าจะรอท่านอยู่บริเวณนี้”
เมื่อท่านโอทูทูเดินออกไป ชายหนุ่มได้หยิบแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมา เพื่อบันทึกบทเรียนเมื่อเช้าของเจ้าของร้านตีเหล็กคนที่หนึ่งว่า....
บ่าวรับใช้หลายคนเริ่มยกอาหารหลากหลายมาวางบนโต๊ะอาหาร หลังจากนั้นไม่นานผู้เฒ่าโอทูทูก็เดินเข้ามา
“เอาล่ะ ข้าเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว เรามาทานอาหารกัน”
อาหารสำหรับพวกเศรษฐีนี่อร่อยมากจริงๆ ชายหนุ่มนึกในใจ แล้วยังมีคนรับใช้มากมายมาคอยบริการอีก อาหารมื้อนี้ช่างอร่อยและสะดวกสบายดีจริงๆ
เมื่อทานอาหารเสร็จ ทั้งสองเดินมาที่ห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านนอกบริเวณห้อง ที่สามารถมองเห็นคนงานอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ยังพอได้ยินเสียงช่างตีเหล็กทุบอาวุธต่างๆ อยู่ไกลๆ
บ่าวรับใช้นำนมแพะอุ่นๆ มาให้ทานยามบ่าย
“เราเริ่มเรื่องของเราต่อกันดีมั้ย พ่อหนุ่ม”
“ขอรับ”
“มาถึงร้นตีเหล็กร้านที่สอง ร้านนี้มั่งคั่งกว่าร้านของเขาและที่หนึ่งเป็นสองเท่า มีช่างตีดาบมากมายร่วมร้อยคน เจ้าของร้านที่สองนี้เป็นคนเก่ง ลาด และยังมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามด้วย บุคลิกอันสง่างาม ทำให้เจ้าของร้านที่สองนี้มีสาวสวยที่อยากเข้มาเป็นภรรยามีมากมาย เขามีภรรยาสาวสวยหลายคนเพิ่มขึ้นทุกปี โดยรวมแล้วท่านมีภรรยาทั้งหมดแปดคน”
“โอโหแปดคน เลยเหรอครับ”
“ใช่ เป็นเศรษฐีที่ผู้ชายทุกคนในเมืองอิจฉา รวมทั้งข้าด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูมีอารมณืขันแทรกเข้ามา
“ท่านเจ้าของโรงงานตีดาบแห่งที่สองนี้เป็นใจกว้าง ชอบสนุกสนานเฮฮา มีเสนห์ หน้าตาดี บุคลิกดี” รวมทั้งชอบการเสี่ยงโชคด้วย”
“ท่านชอบเล่นการพนันหรือขอรับ”
“ถูกต้อง นอกจากความสนุกสนานเฮฮา ภรรยามาก ท่านยังชอบดื่มสุรา และดูการแข่งขันอูฐเป็นพิเศษ ท่านเล่นการพนันทุกอย่างที่มีในเมืองนี้ ในช่วงต้นท่านเป็นคนโชคดี เสี่ยงโชคทุกครั้งชนะทุกครั้ง จนเป็นที่ร่ำลือของหมู่บ้านว่าท่านมีเทพนำโชคอยู่บ้างกายท่านตลอดเวลา”
“การค้าก็เจริญรุ่งเรือง ๓รรยามากมาย ชีวิตมีแต่ความสุขทุกวันๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านได้รับคำสั่งซื้อจากพระราชสังน้อยลงเนื่องจากทหารรับใช้ของพระองค์ถูกเกณฑ์เพื่อมาสร้งปิรามิด และพระราชวังใหม่ จึงลดการสั่งซื้ออาวุธลงทำให้รายได้จากโรงตีดาบลดน้อยลง ซึ่งข้าเองก็คิดว่า ถ้าเพียงแค่นั้น การค้าของเจ้าของโรงตีดาบที่สองก็ไม่สะเทือนเท่าไหรหรอก”
“แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่านเจ้าของโรงตีดาบแห่งที่สองนั้น มีค่าใช้จ่านยมากเกินไป ค่าใช้จ่ายของภรรยาแปดคน ซึ่งจะต้องแต่งตัวสวยงานทุกวัน โดยที่ไม่รุ้ว่าสามีกำลังมีรายได้ลดลงเรื่อยๆ บอกกับความใหม่โตของกิจการมีช่างตีดาบนับร้อยที่ต้องดูแล บ่าวรับใช้อีกจำนวนมาก ที่ต้องจ่ายเงินเดือน ทำให้การค้าเริ่มเข้าขั้นวิกฤตเพราะมีรายจ่ายมากกว่ารายได้”
“ภรรยาทุกคนพยายามแข่งกันซื้อเครื่องประดับทุกวัน และทานอาหารดีๆ ทุกวันเชนเดิม และยังมีบ่าวรับใช้ส่วนตัวอีกไม่ต่ำกว่าสี่คน ต่อภรรยาหนึ่งคน ซึ่งรวมๆ แล้วก็หลายสิบชีวิตที่ท่านเจ้าของโรงตีดาบแห่งที่สองต้องรับผิดชอบ แต่ท่านก็อยากให้ภรรยมีความสุขอยู่อย่างนั้น ไม่อยากเล่าเรื่องรายได้ที่ลดลงให้ฟัง”
“จนกระทั้งทรัพยสมบัติ และทองคำลดลงไปอย่างมาก ท่านเจ้าของร้านที่สอง เมามายทุกวัน ความสุขลดลง ไม่มีเวลาเข้าไปดูแลกิจการ คุณภาพสินค้าก็ลดลง ช่วงตีดาบเมือ่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ต่างก็พากันลาออก นานวันเข้าการค้าเริ่มแย่ลง ภรรยาแต่ละคนขอเบิกค่าใช้จ่ายก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ภรรยาทุกคนเริ่มรู้เรื่องกิจการค้าที่ไม่สู้ดีนัก ภรรยาบางคนเริ่มตีตัวออกห่างหายตัวไปเฉยๆ ทยอยไปกันทีละคนสองคน จรกระทั่งเหลือภรรยาคนแรกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยร่วมทุกขร่วมสุขกันมา จึงเห็นอกเห็นใจกันไม่หนีไปอย่างภรรยาคนอื่นๆ”
“เมื่อการค้าแย่ลง ภรรยาหนีไปเกือบหมด ท่านเจ้าของโรงตีดาบที่สองก็ดื่มสุราหนักทุกวัน เมามาย และก็ยังติดการเสี่ยงโชคหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะเวลเสี่ยงโชคก็จะทำให้ชว่งเวลาขณะนั้นเพลิดเพลิน ลืมความทุกข์ไปได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ที่ไหนได้ ท่านเจ้าของร้านที่สองไม่ได้โชคดีดังเดิม ท่านเสี่ยงโชคทุกครั้งต้องสูญเสียทองคำจำนวนมากทุกครั้ง จนกระทั่งท่านต้องยืมทองคำจากเจ้าของบ่อนหลายๆ แห่ง เป็นหนี้การพนันมากมาย”
“ชีวิตของท่านเจ้าของร้านท่สอง ตกต่ำถึงขึดสุด จำเป็นจะต้องหารเงินมาจ่ายหนี้ ท่านึงมาพบกับข้า และขอร้องให้ข้าซื้อกิจการของท่านเจ้าของร้านที่สอง เมือ่ท่านจ่ายหนี้หมด ก็จะทำเงินที่เหลือมาทำการค้าเล็กๆ น้อยๆกับภรรยหลวงที่อยู่กินกันมานานหลายปี และทั้งสองก็มีลูกชายอยู่หนึ่งคน ท่านก็ฝากชีวิตลูกชายคนนั้นมาทำงานกับข้า”
ท่านโอทูทู หยุดเล่าชั่วขณะ พร้อมหยิบแก้วนมแพะอุ่นขึ้นมาดื่ม
“พ่อหนุ่ม เจ้าจำชายหนุ่มที่อยู่ในคลังตรวจนับสินค้าเมื่อตอนเข้ามาได้มั้ย ที่ข้าบอกให้เจ้าจำเขาไว้น่ะ”
“ข้าจำได้ขอรับ ชายหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นลูกผุ้ดี มีความรู้ใช่มั้ยครับ”
“ใช่แล้ว นั่นแหละ คือลูกชายคนดียวของภรรยาหลวงที่ท่านเจ้าของร้านที่สองฝากให้มาทำงานหาความรู้จากข้านี่แหละส่วนลูกที่มีกับภรรรยาคนอื่นๆ พวกภรรยเหล่านั้นก็พาลูกหนีไปด้วยทุกคน ท่านจึงไม่เหลือใครอีกแล้ว”
“โรงตีดาบที่หนึ่ง และสองก็ตกเป็นของท่านผู้เฒ่าโอทูทูทั้งหมดน่ะสิครับ”
“ใช่ นั่นแหละที่ทำให้ข้าเป็นเจ้าของโรงตีดาบที่ใหญ่ที่สุดในเมืองยังไงล่ะ”
“ดังนั้นเมื่อมีคำสั่งอาวุธจากในพระราชวังมา ท่านก็เป็นผู้ผลิดผู้เดียวใช่มั้ยขอรับ”
“แน่นอน การค้าของข้าเริ่มต้นจากการที่ทำให้การค้าอยู่รอดมั่นคงและมั่งคั่ง แต่ก็มีตัวอย่างการค้าที่ล้มเหลวให้ดูเช่นกัน นั่นคือคืออุทาหรณ์ที่คอยเตือนใจข้าตลอดว่า เมื่อกิจการดีขึ้นมาแล้วก็อย่าทำให้ตัวเองมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นเกินตัวเป็นอันขาด เพราะเมื่อถึงคราววิกฤตการค้ามีรายได้น้อย จะทำให้เราขาดทุนจากค่าใช้จ่ายที่สูงลิบ
“อีกทั้งยังมีเรื่องส่วนตัวอีก ทองคำควรจะยกกันในเรื่องการค้า และเรื่องครอบครัว เหมือนกับการแยกถุงทองคำซ้ายกับถุงทองคำขวานั้นแหละ เงินทองมันจะได้ไม่ปนกัน เงินของครอบครัวมีเท่าไรก็ใช้เท่านั้น ไม่ควรดึงเงินของกิจการค้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพราะเงินของกิจการค้านั้นจะต้องมีหมุนเวียนตลอดเวลา ต้องจ่ายค่าวัตถุดิบ แร่เหล็กต่างๆ จ่ายค่าจางคนตีเหล็ก จ่ายค่าบ่าวรับใช้ วัสดุอุปกรณ์ในโรงานอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นเงินของกิจการจะสำคัญอย่างยิ่ง เจ้าของกิการนั้ก็จะต้องมีการกำหนดรายได้เป็นของตัวเอง อยากได้เท่าไรก็เอาไป แต่จะต้องมีการกำหนดเป็นเงินเดือนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่นึกอยากจะหยิบออกไปใช้เมื่อไรก็ได้ เพราะนึกว่าถุงทองคำซ้ายก็ทองข้า ถุงทองคำขวาก็ทองข้า ทุกคนคิดเช่นนี้”
“พ่อหนุ่ม เจ้าจงจำเรื่องนี้ให้ดีเถิด แล้เรื่องค่าใช้จ่ายในการค้าของเจ้าจะไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้าในอนาคต”
“ตลอดเวลาที่ท่านทำงาน ท่านแยกค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช้จ่ายของกิจการใช่มั้ยขอรรับ”
“ถูกต้อง ข้าเชื่อของข้าอย่างนั้นตั้งแต่ต้น ข้าพยายามจะไม่ให้ทองคำของข้าปะปนกัน ทองคำของกิจการจะต้องถูกนำมาจับจ่ายกับกิจการค้าที่มีผู้เกี่ยวข้องมากมาย ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย คนตีเหล็ก คนตีโลห์ คนทำหมวกเหล็ก บ่วรับใช้ เด็กเลี้ยงอูฐ อาหารสำหรับคนมากมายเท่านี้มันก็จำเป็นมากแล้วล่ะ ข้าจึงไม่นำภาระส่วนตัวของข้ามาปะปนเอาไว้อีก สำหรับข้าเองข้าเลือกที่จะมีเงินเดือนของข้าเอง มีรายได้ประจำ มีแค่ไหนใช้แค่นั้น แต่โดยส่วนใหญ่ข้ามักจะมีทองคำเหลือเก็บไว้เสมอ ทุกครั้งที่ข้าได้รายได้ประจำ ข้ามักจะเก็บทองคำหนึ่งเหรียญจากทุกๆสิบเหรียญโดยจะไม่ใช้มันเลย จนกระทั่งทุกวันนี้”
“มันหมายถึง ถ้าท่านมีรายได้สิบเหรียญทองคำ ท่านมักจะเก็บหนึ่งเหรียญไว้เสมอรึขอรับ”
“ถูกต้อง ถ้าข้ามีรายได้ยี่สิบเหรียญทองคำ ข้าก็จะเก็บมันไว้สองเหรียญเสมอ”
“มันมีความหมายอ่างไรครับ”
“ทุกคนมักจะมีความจำเป็นที่ต้องใช้ทองคำจนหมดเสมอ ทุกอย่างดูเหมือนแนเร่องจำเป็นที่ต้องใช้ทองคำ จนกระทั่วทองคำของเจ้หมด และเจ้าก็จะไม่มีทองคำเหลือเก็บไว้ใช้ในอนาค ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้เลือนมาทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น เป็นหัวหน้าคนตีดาบ หรือแม้กระทั่วเป็นพ่อบ้านผุ้ดูแลฝ่ายคลังสินค้าก็ตาม ความจำเป็นในการใช้ทองคำก็ไม่มีวันจบสิ้น เจ้าจะมีภาระเพิ่มขึ้นมากมายเมื่อหน้าที่การงานเติบโตขึ้น เจ้าจะมีครอบครัว มีภรรยาและลูกที่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เจ้าต้องมีบ้าน มาหระอูฐที่สง่าไว้คอยรับใช้ส่วนตัว มีบ่าวยรับใช้ เพื่อความสะดวกสบายขึ้น ทานอาหารดีขึ้น บ้านหลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จำนวนเด็กๆ ที่เพิ่มขึ้นและโตขึ้นเรื่อยๆ การศึกษาดีๆ ที่ทำให้เต็กๆ ฉลาดขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าไปทำงานรับใช้องค์ฟาโรห์”
“ดูเหมือนหน้าที่การงานที่ดีขึ้นจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจึงทำให้ทุกคนมีทองคำเหลือเก็บ” แมคก้าเข้าใจเพิ่ม
“ถูกต้อง เกือบทุกคนที่มีรายได้เพิ่มขึ้น มักจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นข้าขอแนะนำเจ้า เจ้าจะต้องมีทองคำเหลือเก็บหนึ่งเหรียญในทุกๆ สิบเหรียญ ก่อนที่เจ้าระเริ่มใช้มัน ย้ำฟังให้ดีนะ ก่อนที่เจ้าจะเริ่มใช้ทองคำที่ได้มา เจ้าจะต้องเก็ฐมันขึ้นมาก่อนหรึ่งเหรียญเสมอ”
“แล้วข้าจะเก็บมันไว้ทีหลัง หลังจากใช้ไปเก้าเหรียญแล้วไม่ได้หรือขอรับ” แมคก้าถาม
“คนส่วนใหญ่ทำเช่นนั้ แต่แล้วในที่สุดกับดักของค่าใช้จ่ายก็ถูกขุดให้ลึกลงไป ทำให้เราถลำลึกลงไป จนกระทั่วไม่มีทองคำให้เหลือเก็บ แม้แต่หนึ่งเหรียญทองคำ แถมบางครั้งยังมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอีก”
“ข้าจะจดจำบทเรียนนี้ไว้เป็นอย่างดี ข้าจะเก็บทองคำหนึ่งเหรียญในทุกๆ สิบเหีรยญที่ข้าหามาได้เอาไว้ก่อนที่จะนำมันมาใช้ แล้วอย่างนี้ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูก็มีทองคำเก็บมากมายซิครับ”
“ใช่ แน่นอน แต่บทเรียนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสำเร็จต่างๆ เจ้าเพียงแต่รู้วิธีเก็บทองคำที่ดี เจ้าก็จะเป็นผู้ชนะห้าคนจากคนร้อยคน”
“แค่รู้วิธีการเก็บทองคำที่ดี ก็เป็นผุ้ชนะห้าคนจากร้อยคนแล้วเหรอครับ แล้วอีกเก้าสิบห้าคนก็ตกหลุมพรางกับดักค่าใช้จ่ายทั้งหมดน่ะสิครับ หรือแปลว่า คนเราไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ เพราะทุคคนจะพบว่ามันจำเป็นเสมอใช่มั้ยครับ”
“ส่วนใหญ่ ข้ามักจะพบเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นแหละที่ข้าให้ตัวเลขถึงห้าคนนับว่ามากที่สุดแล้ว”
“แล้วข้าจะทำเงินที่เหลือจากเก็บมาทำอะไรขอรับ”
“บทเรียนที่ข้าสอนเจ้าก็มีเรื่องค่าใช้จ่าย และวิธีการเก็บเงินที่เหลือกจากค่าใช้จ่าย ส่วนเงินที่เหลือเก็บนั้น พรุ่งนี้ผุ้เฒ่าโปรฟิตโต้ท่านจะนำความรู้ที่ดีในการทำเงินเก็บของเจ้างอกเงยเพิ่มพูนจนทองคำของเจ้าไม่มีวันหมด”
“โอโห แค่บทเรียนของท่านวันนี้ข้าก็พอจะมองเห็นหนทางแห่งความสำเร็จอยู่ไม่ไกลแล้ว ยิ่งท่านพูดให้ข้าอยากรู้เรื่องท่านผู้เฒ่าโปรฟิตโต้ด้วย ข้าคิดว่าคืนนี้ข้าคงอดจารอไม่ไหวแน่ๆ เลย”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แน่นอนอยู่แล้ว บทเรียนของข้าเป็นเพียงแค่ก้าวแรกแห่งการเริ่มต้นที่ดี และจะมีบทเรียนต่อๆไป เพื่อให้เจ่าประสบความสำเร็จทางการค้าได้”
“เอาล่ะ ข้าจะให้เด็กของข้าส่งเจ้ากลับไปที่พักนะ แล้วพน่งุนี้จะมีคนไปรับเจ้าไปหาท่านผุ้เฒ่าโปรฟิตโต้ในตอนเช้า”
“แล้วข้าจะมีโอกาสได้พบพวกท่านอีกมั้ยขอรับ”
“วันสุดท้ายที่เจ้าจะกลับ พวกเราก็จะนั่งคยกันที่เดิมที่เจ้ามพบพวกข้าตั้งแต่วันแรก”
“อย่างนั้น วันนี้ข้าขอลากลับก่อนนะขอรับ ขอบพระคุณท่านมาก ข้าจะไม่มีวันลืมบทรียนต่างๆ ท่านสอนให้ข้าวันนี้เลย”
เมือกลับมาถึงที่พัก ชายหนุ่มรู้สึกอิ่มเอิบกับความรู้มากมายที่ได้รับในวันนี้ ว่าไม่ใช่เพียงการขายอย่างเดียวที่จะทำให้การค้ารุ่งเรือง
การควบคุมค่าใช้จ่ายก็เป็นเครื่องมือที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้การค้าประสบความสำเร็จ คือ การรู้จักเก็บทองคำหนึ่งส่นจากสิบส่วนที่ได้รับเข้ามา จะเป็นบทเรียนที่เขาจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต เพราะเขาคิดได้ว่ามันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จทั้งหมดในชีวิต
หลังจากชำระร่างกายเรียบร้อย ก่อนชายหนุ่มออกมานอกห้องนอน บรรยากาศภายนอกเริ่มเย็นลง ท้องฟ้ามือมิด เห็นดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง และดวงดาวนับพันที่อยู่บนท้องฟ้า ชายหนุ่มคิดถึงบ้านที่จากมา คิดถึงพี่สาวมูมายที่รอคอยการกลับมาของตนอยู่ คิดถึงน้องมินาที่ยังตัวเล็ๆ รออ้มอแขนอันอบอุ่นของพี่ชาย ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน ชายหนุ่มหวังว่าการเดินทางหาความรู้ครั้งนี้จะช่วยทำให้ตน และพี่น้องอีกสองคนจะมีชีวิตอยู่อย่างสบายในอนาคต
แมคก้าเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านที่คิดว่าควรจะมีหน้าที่เป็นผุ้นำครอบครัว เป็นผู้นำให้เกิดความมั่งคั่งในธุรกิจของตน ซึ่งจะทำให้พี่น้องที่ตนรักที่สุดทั้งสองมีความเป็นอยู่อย่างสบายตลอดไป ไม่ใช้เป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวอย่างในอดีต
เมื่อมีทองคำมากขึ้น ชีวิตก็จะสบายขึ้น ถ้ามีทองคำมากขึ้นครอบครัวก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เขามาแสงหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้มีทองคำใช้โดยไม่มีวันหมด นั่นคือ คำถามที่เขาได้ถามจากเศรษฐีกาแลผู้มั่งคั่งที่สุดในหมู่บ้านของเรา คำถามที่ถูกต้องนั้นทำให้แมคก้าได้เหรียญวิเศษทั้งห้าที่มีคำสอนอยู่มากมายภายใต้เหรียญเหล่านั้น พร้อมกับแผนที่ที่นำทางจนกระทั่งเขาได้มาพบกับผู้เฒ่าทั้งสามคน
โดยที่เขาได้รับความรู้จากผู้เฒ่าทั้งสองคนแรกนั้นมีค่าต่อ ชีวิตเขายิ่งนัก ผุ้เฒ่าชาเลสผู้สอนวิธีการขาย วิธีการหาทองคำให้ได้ง่ายดาย เพียงเราต้องรู้จักลูกค้าของเรา ต้องแยกประเภทลูกค้าของเราให้ได้ ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราคือใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร และจะมาหาเราได้อย่างไร ทำให้จุดประกายความคิดในการหารายได้ของเขาเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ส่วนผู้เฒ่าโอทูทู ท่านสอนถึงการดูแลค่าใช้จ่ายของการค้าการค้าที่สามารถหารายได้มากแล้วจำเป็ฯต้องมีวิธีการควบคุมค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เจ้าของกิจการควรจะขยายกิจการค้าในเรื่องที่ตนถนัด นั่นจะทำให้เรารักษาทองคำให้อยู่กับเราได้นานที่สุด
เจ้าของกิจการค้าจะต้องรู้จัดแบ่งแยกทองคำในถุงว่าเป็นทองคำส่วนตัว หรือทองคำของกิจการ เพราะทั้งสองอย่างมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นทั้งคู่ ดังนั้นจึงไม่ควรนำค่าใช้จ่ายทังสองอย่างมาปะปนกันและ เราควรจะเก็บทองคำไว้หนึ่งส่วนจากทั้งหมดสิบส่วนที่หามาได้เพื่อไว้ใช้ในอนาคตที่จำเป็น เพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเติบโตขึ้นตามรายได้ของเราเสมอ ถ้าการค้าเติบโตขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มบันทึกความรุ้ใหม่ๆ ที่ได้มาจากผุ้เฒ่าโอทูทูก่อนเข้านอน เขาคิดถึงว่า อะไรที่เขาจะได้พบใหม่ในอนเช้า ทั้งหมดช่างน่าแสวงหาอย่างยิ่ง ก่อนเข้านอนชายหนุ่มจดบันทึกลงไปว่า...
“การค้าที่สามารถหารายได้มากแล้ว จำเป็นต้องมีวิธีการควบคุมค่าใช้จ่าย ให้รักกุมเหมาะสม”
“เจ้าของกินการควรจะขยายกิจการค้า ในเรื่องที่ตนถนัด เพราะนั่นจะทำให้เรารักษาทองคำให้อยู่กับเราได้นานที่สุด”
“เมื่อมีทองคำมากขึ้น ชีวิตก็จะสบายขึ้น ถ้ามีทองคำมากขึ้นครอบครัว ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น”
“วิธีหาทองคำให้ได้ง่ายๆ เพียงเราต้องรู้จักลูกค้าของเรา ต้องแยกประเภทลูกค้าของเราให้ได้ ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราคือใคร อยู่ที่ไหน ทำอะไร และจะมาหาเราได้อย่างไร”
“เจ้าของกิจการค้า จะต้องรู้จักแบ่งแยกทองคำในถุงว่าเป็นทองคำส่วนตัวหรือทองคำของกิจการ เพราะทั้งสองอย่างมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นแฝงอยู่ทั้งคู่ ดังนั้น จึงไม่ควรนำ ค่าใช้จ่ายทั้งสองอย่างมาปะปนกัน”
“เราควรจะเก็บทองคำไว้หนึ่งส่วนจากทั้งหมดสิบส่วนที่หามาได้ไว้ เพื่อไว้ใช้ในอนาคตที่จำเป็น”
“ค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเติบโตขึ้นตามรายได้ของเราเสมอ ถ้าการค้าเติบโตขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน”
บทเรียนที่ 3 เรื่องกำไร
เมื่อถึงเวลาเช้าเขาไม่รีรอที่จะลุกจากที่นอน เขาชำระร่างกายแล้วแต่งตัวรอคนที่จะมารับอยู่ที่หน้าระเบียงห้องนอน
“ท่านคือแมคก้าใช่มั้ย” เด็กจูงอูฐเดินใกล้เข้ามาตะโกนถาม
“ใช้ ข้าคือแมคก้า”
“ท่านผุ้เฒ่าโปรฟิตโต้ให้ข้ามารับตัวท่านไปพบ ขอรับ”
“ขอบใจมาก ข้ากำลังรอเจ้าอยู่พอดี”
ทั้งสองเดินออกจากที่พัก ชายหนุ่มแมคก้าขึ้นขี่หลังอูฐโดยมีเด็กจูงอูฐเดินนำทางไปด้วยกัน
“เรากำลังจะไปที่ไหนกัน” แมคก้าอดไม่ได้ที่จะถาม
“เราจะเข้าไปในเมือง”
“ไปร้านค้าของท่านโปรฟิตโต้ใช่หรือไม่”
“เออ ข้าไม่รู้ว่าท่านรู้จักกับท่านโปรฟิตโต้แค่ไหนนะขอรับ แต่ เออ ข้าอยากจะบอกท่านว่า ตั้งแต่ข้ารู้จักท่านโปรฟิตโต้มา ท่านโปรฟิตโต้ไม่มีร้านค้าแม้แต่ร้านเดียว” เด็กจูงอูฐตอบ
“แล้วเราจะไปไหนกันล่ะ”
“เราจะไปที่บ้านของท่านโปรฟิตโต้ขอรับ”
ชายหนุ่มเริ่มสงสัยมากขึ้นเพราะเมื่อวานนี้ท่านผู้เฒ่าโอทูทูบอกกับเขาว่า เขาจะได้รับบทเรียนที่มีค่ามากที่สุด ที่จะทำให้เงินออมเพิ่มพูนมากขึ้น แต่ทำไมท่านโปรฟิตโต้ถึงไม่มีกิจการค้าใดๆ เลยแล้วเขาจะหาคำตอบได้จากที่ใดล่ะ
“ถึงแล้วขอรับ นี่คอบ้านของท่านผู้เฒ่าโปรฟิตโต้” เด็กจูงอูฐพูดขึ้น
“เชิญทางนี้ขอรัรบนายท่าน” บ่าวรับใช้คอยรับแขกยืนรออยู่หน้าบ้าน
มีคนออกมาต้อนรับชายหนุ่ม แล้วพาชายหนุ่มแมคก้าเข้ามาที่ห้องักรับรอง
“ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยนะ เมื่อตอนที่อยู่หน้าประตู เจ้ารอข้าคนเดียวเหรอ แมคก้าถามบ่าวรับใช้
“ข้ามีหน้าที่ที่คอยรัรบแขกของท่านโปรฟิตโต้ตลอดวันเลยขอรับ” บ่าวรับใช้ตอบ
“นั่นหมายถึง ท่านโปรฟิตโต้มีคนมาพบที่บ้านทุกวันเลยหรือ” แมคก้าถามต่อ
“ใช่ขอรับ มีคนมากมายมาพบท่านโปรฟิตโต้ตลอดวัน บางคนเข้ามามีใบหน้าเศร้าหมอง แต่ส่นใหญ่เมื่อกลับออกมาจะมีใบหน้ายิ้มแย้ม มีความสุข แต่ก็มีบางคนที่ยังคงเศร้าหมองเมื่อกลับออกมา แล้วก็ยังมีพ่อค้ากับพวกเศรษฐีในเมืองนี้หลายๆ คนเข้ามาพบท่าน และพวกพ่อค้ากับเศรษฐีเหล่านั้น เดินกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และมีความสุขกันทุกคน”
“พวกเขาคุยอะไรกัน”
“ข้าน้อยไม่ทราบหรอกครับ แต่เดี๋ยวอีกสักครู่ท่านโปรฟิตโต้ก็จะออกมาแล้วขอรับ ข้าน้อยขอตัวก่อนนะขอรับ” บ่าวรับใช้กล่าวลา
“ขอบใจเจ้ามากนะ ข้าจะรอท่านโปรฟิตโต้ตรงนี้แหละ”
ชายหนุ่มนั่งรอในห้องโถงใหญ่ภายในมีเครื่องประดับมากมายเป็นของมีค่าหลายอย่าง โลหะประดับทองคำ อัญมณีต่างๆ ทองคำสลักรูปปั้นต่างๆ เครื่องใช้ถ้าวยชามที่ทำจากทองคำแท้ ชายหนุ่มนึกในใจว่า ท่านโปรฟิตโต้ทำการค้าอะไรกันแน่น ถึงได้มั่งคั่งขนาดนี้ ชายหนุ่มกำลังคิดเพลินจนไม่ทันเห็นว่ามีคนกำลังเดินเข้ามา
“สวัสดี หนุ่มน้อย” ท่านโปรฟิตโต้เอ่ยทักทาย
“สวัสดีขอรับท่านโปรฟิตโต้ พอดีข้ากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่จึงไม่ทันเห็นท่านต้องขออภัยด้วยขอรับ” ชายหนุ่มแมคก้ากล่าวทักทายตอบด้วยความกังวลเล็กๆ
“ไม่เป็นไรหรอก เอาล่ะ วันนี้เจ้าต้องการรู้อะไรจากข้าล่ะ แล้วท่านผู้เฒ่าชาเลสกับผุ้เฒ่าโอทูทูบอกอะไรกับเจ้าบ้าง” ท่านโปรฟิตโต้ถาม
“ท่านผุ้เฒ่าทั้งสองสอนข้ามากมายในเรื่องการขายและการควบคุมค่าใช้จ่าย รวมทั้งการเก็บออมด้วย แล้วท่านผุ้เฒ่าโอทูทูก็บอกว่า ท่านโปรฟิตโต้มีวิธีที่จะทำให้ทองคำนั้นงอกเงยออกมายอ่างไม่มีวันหมดด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ข้าต้องเดินทางไกล เพื่อมาค้นหาคำตอบบในครั้งนี้ ขอรับ”
“คำถามที่ดีนั้น ย่อมได้รับคำตอบที่ดีด้วย ข้าขอชมเชยเจ้าที่เจ้าเป็นคนไฝ่รู้ และพยายามขวนขวายเสาะหามาตนพบกับพวกข้า พวกข้าเต็มใจสอนผุ้ที่อยากรู้กลวิธีในการทำการค้าให้สำเร็จ และคำถามที่ว่า จะทำอย่างไรให้มีทองคำใช้ไม่รุ้จัดหมด เป็นคำถามที่ข้าได้ยินมาเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตของข้า และข้าก็ให้คำตอบกับคนเหล่านั้นซึ่งทำให้พวกเข้าทั้งหลายเป็นเศรษฐีกันทุกคน”
“นั่นหมายถึง ข้าไม่ใช่คนแรกที่ถามคำถามนี้ใช่มั้ยขอรับ”
“ถูกต้อง ทั้งผู้เฒ่าชาเวลา ผุ้เฒ่าโอทูทู และเศรษฐีกาแลในหมู่บ้านของเจ้า ผุ้ที่ให้เหรียญทั้งห้าพร้อมแผนที่กับเจ้านั่นแหละทั้งหมดเคยถามคำถามนี้มาแล้วทั้งนั้น แล้วข้าก็ทำให้พวกเขามีทองคำใช้ไม่มันหมด จนกระทั่งทุกวันี้”
“ท่านทำให้ข้าอยากรู้เรื่องของท่านมากขึ้นอีกขอรับ ท่านทำการค้าอะไร ถึงทำให้ท่านสามารถเฉลยปริศนาการค้าให้กับทุกคน ที่ต้องการประสบความสำเร็จ ท่านทำให้พวกเขากลายเป็นเศรษฐีที่มีทองคำใช้ไม่รู้จักหมด” แมคก้าพรั่งพรูความคิดที่คั่งค้างตั้งแต่เมือคืนคำที่น่าสงสัยตั้งแต่สอบถามเด็กจูงอูฐ และบ่าวรับใช้ก่อนเข้ามาถึงรวมทั้งคำเฉลยปริศนาของเศรษฐีทั้งหลายคน ทำให้แมคก้าไม่อาจหยุดถามข้อสงสัยทั้งหมดในคราวเดียวกันได้
“ใจเย็นๆ หนุ่มน้อย ข้ามีเวลาที่เพียงพอสำหรับเจ้า เจ้าจะได้รู้ทุกอย่างข้าบอกเช่นเดียวกันกับพวกเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายที่เจ้ารู้จัก” ท่านโปรฟิตโต้ยืนยันให้ชายหนุ่มสงบลง
“ความจริงเรื่องนี้มันเกิดขึ้นนานมากแล้ว เริ่มตั้งแต่สมัยข้ายังเป็นเด็ก ข้าเป็นเด็กกำพร้า ข้าอาศัยใต้ต้นไม้เป็ฯที่นอน ในตอนเช้าข้าก็ตื่นไปทำงานหาเงิน ข้าก็เคยเป็นเด็กรับจ้ารีดนมแพะเหมือนกับเด็กทุกคนในหมู่บ้าน ข้ารับจ้างทุกอย่างที่เด็กๆ เข้าทำกัน รวมทั้งรับจ้างเฝ้าฝูงวัว ควายในปศุสัตว์ด้วย ข้ารับจ้างชำระร่างกายอูฐของพ่อค้า และนักเดินทางที่ผ่านเมืองมา”
“เมื่อข้าได้มีโอกาสทำงานหาเงินด้วยอายุน้อยนิด ข้าก็เริ่มรู้จักใช้มันเช่นกัน ทุกครั้ที่ข้าหาเงินมาได้ ข้าจะนำเงินมาซื้ออาหารและข้านำเงินส่วนที่เหลือไปเล่นการพนันกับเพื่อนๆ ของข้าจนหมด แต่ข้าก็ไม่กังวลใจ เพราะรุ่งขึ้นข้าก็จะได้งานใหม่ และก็จะได้เศษทองทำมาหาอาหารกิน”
“นั่นก็เป็นสิ่งที่เมืองของข้าก็ทำกัน เด็กๆ ก็รับจ้างทำทุกอย่างเช่นกันแต่ข้ายังไม่เห็ฯมีใครแตกต่งจากท่านหรือท่านแตกต่างจากใครเลยขอรับ”แม็คก้าถามขึ้นอีก
“มีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันที่เปลี่ยนชีวิตข้าตั้งแต่ยังเด็ก วันนั้นข้าใช้เงินจนหมดเหมือนเช่นเคย แต่เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ข้าเกิดป่วยขึ้นมา ข้าไม่สามารถขยับร่างกายข้าได้ ข้าได้เพียงแต่นอนนิ่งๆ เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงโชคดีที่ข้านอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญจึงมีร่มเงาไม่ให้ข้าถูกแสงแดดเผา แต่ข้ารุ้สึกกระหายน้ำ และหิวมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าหมดสติไปหลายครั้ลแวก็ตื่นขึ้นมาแต่ก็ยังขยับตัวไม่ได้”
“ไม่มีใครตามหาท่านหรือขอรับ” แม็คก้าถาม
“ไม่มีหรอ เพราะข้าเป็นเด็กกำพร้า และพวกเพื่อนๆของข้าก็จะแย่งกันทำงานเสมอ เมื่อข้าไม่อยู่ก็เท่ากับว่ามีคู่แข่งน้อยไปอีกหนึ่งคน ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา”
ข้าหมดสติไปหลายครั้ง และตื่นขึ้นมาด้วยความหิว และกระหายน้ำ จนกระทั่วพระอาทิตย์ตกดิน ข้าเริ่มเย็นสบายขึ้น ข้ารู้สึกเหมือนข้าฝันไปว่าตัวข้าลอยขึ้นมาบนอากาศ ตัวข้าช่างเบาและสบายกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า และจู่ๆ ก็มีแสงสีทองส่องมาเปล่งประกายกลบแสงสว่างของดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหมดที่อยู่บนท้องฟ้า มีเสียงออกมาจากลำแสงสีทองนั้น ซึ่งข้าจดจำได้ตั้แต่คืนนั้นและข้าก็ไม่มีวันลืมมันเด็ดขายตลอดชีวิตของข้า เสียงนั้นบอกว่า
“เจ้าหนู่น้อย เจ้าตอ้งรู้จับเก็บเงินที่หามาได้ แล้วทำให้มันงอกเงยด้วยตัวของมันเอง”
“ใช้ทองคำที่มี ออกลูกออกหลายมาให้เจ้าสิ”
“ใช้ทองคำที่หามาได้ ออกลูกออกหลานมาให้เจ้าสิ หนูน้อย”
“ทองคำจะซื่อสัตย์กับเจ้า ถ้าเจ้ารู้จักเก็บมัน”
“นั่นคือเสียสุดท้ายที่ข้าได้ยิน ก่อนที่ข้าจะรู้สึกตัวขึ้นอีกทีในตอนเช้า”
รุ่งเช้าวันใหม่ ข้าได้รู้สึกตัวแล้วรู้สึกหายจากไข้ที่ทุกข์ทรมานกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง ข้าออกไปขอน้ำ และอาหารกิจจากผู้จ้างข้าเฝ้าฝูงวัว ควายในปศุสัตว์ ก่อนที่ข้าจะทำงานใช้หนี้ค่าอาหารมื้อนั้น ข้าจำความฝันนั้นได้
เนื่องจากข้าไม่คเยมีทองคำ และข้ายังเป็นเด็ก ข้าจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ข้าก็พยายามเก็บเงินที่หามาได้รวบรวมไว้แลกเป็นทองคำก้อนแรกในชีวิตข้า และพร้อมจะทำตามความฝันในคืนนั้นและวันหนึ่ง เมื่อข้าเก็บเงินได้มากมายพอที่จะทำไปแลกเป็นทองคำ วันนั้นข้าตั้งใจไปหาป้าแอนตัส ข้าผลักประตู้ร้านอาหารของป้าแอนตัส พร้อมกับเดินเข้าไป ยื่นถุงทองคำของข้าที่เก็บมาได้ทั้งหมดในชีวิตข้าให้กับท่านป้าแอนตัส เพราะข้ารู้ว่าท่านกำลังเดือดร้อน
“ข้าพอจะมีทองคำอยู่ห้าเหรียญ ข้าไม่รู้ว่าท่านะต้องใช้มันมากขนาดไหน แต่ที่ข้าเก็บสะสมมาทั้งชีวิตของข้าก็มีเพียงเท่านี้ ข้าขอมอบให้กับท่านป้าเป็นค่าอาหารที่ท่านเคยให้ข้าทานมาตั้งแต่เด็กหลายต่อหลายปี” โปรฟิตโต้น้อยเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวคำช่วยเหลือแก่ครอบครัวป้าแอนตัสที่กำลังรอความช่าวยเหลือจากใครสักคนแล้วคนคนนั้นก็เข้ามา พร้อมกับความเป็นเด็กที่ยังไม่รู้จักวิธีการทำการค้าซะด้วยซ้ำ
“โปรฟิตโต้น้อย ข้าขอบใจเจ้ามาก ข้าไม่อาจรับมันไว้ทั้งหมดหรอก เพราะมันมีค่ามากกว่าค่าอหารที่ข้าให้เจ้ามาตลาอดชีวิตเอาอย่างนี้ดีมั้ย ข้าขอยืมทองคำเจ้าสักสองเหรียญ แล้วข้าจะคืนให้เจ้าเมื่อข้ามีครบสองเหรียญทองคำ แต่ถ้าข้าไม่สามารถคืนให้เจ้าครบสองเหรียญ ข้าจะจ่ายดอกเบี้ยให้เจ้าทุกๆ สิบวัน ข้าจะให้ดอกเบี้ยเจ้าหนึ่งในสิบของทองคำสองเหรียญนี้”
เมื่อฟังจบข้าก็แบ่งเหรียญให้ท่านป้าแอนตัสยืมไปสองเหรียญทงอคำ ข้าเหลือเก็บไว้สามเหรียญทองคำ
“ที่จริงในวันนั้นข้าไม่รู้จัก และไม่เข้าใจเลยว่าที่ท่าป้าพูดถึงดอกเบี้ยนั้นมันคืออะไร ข้าเพียงแต่คิดว่าอยากช่วยเหลือคนที่เคยช่วยให้ข้ามีชีวิตรอดยามข้าหิวโหยมาตลอดชีวิต และท่านก็เอ็นดูข้าเหมือนกับลูกหลานคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ข้าเป็นเด็กกำพร้า ข้าก็ต้องการความรักความอบอุ่นเช่นกัน
ก่อนกลับออกจากบ้านป้าแอนตัส ท่านพูดว่า
“ข้าไม่นึกมาก่อนว่าเด้กน้อยเช่นเจ้าจะมีทองคำสะสมมากมายขนาดนี้ เจ้าคงจะใช้ความยายามมากเลยท่ำทได้ขนาดนี้ ป้าแอนตัสภูมิใจในตัวเจ้ามาก ข้าขอบคุณสำหรับน้ำใจที่เจ้ามีให้กับข้าและครอบครัว ข้าสัญญาว่าข้าจะมอบทองคำสองเหรียญนี้คืนเจ้าทันทีที่ข้ามี และขอใหเจ้ามาหาข้าทุกๆ สิบวัน เพื่อมารับดอกเบี้ยหนึ่งในสิบของทั้งหมด” ป้าแอนตัสรู้สึกขอบคุณ และให้สัญญาเรื่องการคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยอีกหนึ่งในสิบของทองคำสองเหรียญนั้น
สิบวันต่อมา ข้าก็มาหาท่านป้าแอนตัส และข้าก้ได้รับดอกเบี้ยนั้นตามสัญญาข้าจึงรุ้ว่าอะไรคือ ดอกเบี้ย และข้าก็กลับมาหาท่านป้าแอนตัสทุกๆ สิบวัน เพื่อมารับดอกเบี้ย
“ข้ารู้ได้ทันทีที่ข้าได้รับดอกเบี้ยครั้งแรกว่า ทองคำสามารถออกลูกออกหลานให้เราได้”
ข้ายังคงทำงานสะสมทองคำต่อไปโดยยังไม่รู้จุดหมาย จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งปี ข้าได้รับดอกเบี้ยจากท่านป้าแอนตัสไม่เคยขาด และในวันครบรอบหนึ่งปีนั้น ป้าแอนตัสได้นำทองคำสองเหรียญมาคืนข้าและข้าก็นับทองคำทั้งหมดที่ข้ามีปรากฎว่าข้ามีทองคำทั้งหมด 12 เหรียญ
ป้าแอนตัสรู้สึกสำนึกบุญคุณของข้าเช่นกันที่ช่วยเหลือให้กิจการของท่านป้าอยู่รอดในช่วงวิกฤต และท่านป้าก็ได้เล่าถึงคุณงามความดีของข้าให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง มีหลายคนชื่นชมและมีพ่อค้าหลายคนอยากจะมาขอยืมทองคำของข้าไปต่อทุน
บางรายเข้ามาขอยืมข้าครั้งละห้าเหรียญบ้าง สิบเหรียญทองคำบ้าง และห้าสิบเหรียญทองคำก็มีมาขอยืม แต่ข้าบอกพวกเขาไปว่าข้ามีเพียงสิบสองเหรียญทองคำเท่านั้น พวกพ่อค้ารายใหญ่ๆ จึงจากไป ข้ามีให้ยืมแต่ครั้งละสองเหรียญต่อคนเท่านั้น ข้าให้ยืมไปทั้งหมดห้าคน ส่วนตัวข้ามีทองคำเก็บไว้เพียงสองเหรียญเท่านั้น มีพ่อค้าจะมาขอยืมทองคำสองเหรียญสุดท้ายนี่อีก แต่ข้าปฎิเสธ เพราะข้าจะรุ้สึกไม่เหลืออะไรเลยถ้าถุงทองคำข้าว่างเปล่า
โดยพ่อค้าทั้งห้าคนสัญญาแบบเดียวกันกับป้าแอนตัสว่าจะ นำทองคำหนึ่งในสิบส่วนมาคืนให้ข้าทุกๆ สิบวัน
ข้าโชคดีที่ทุกคนทำตามสัญญา เพียงแค่สิบวันเท่านั้น ทองคำของข้าที่ให้ยืมไปกับพ่อค้าห้าคน คนละสองเหรียญ ซึ่งรวมทั้งหมดสิบเหรียญพอดี ทองคำสิบเหรียญนั้นออกลูกให้ข้าหนึ่งเหรียญทันทีภายในสิบวัน
แล้วเมื่อครบหนึ่งปี จากทองคำสิบเหรียญที่ข้ามีก็กลับกลายเป็นห้าสิบเหรียญภายในระยะเวลาหนึ่งปีเท่านั้น
มีคนมายืมเงินข้าอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งข้าโตเป็นหนุ่มใหญ่ และเป็นชายหนุ่มผู้มั่งคั่งที่สุดในหมู่บ้าน พ่อค้าทั้งน้อยใหญ่ต่งก็เข้ามาหยิบยืมเงินข้า และนำดอกเบียมาให้ข้าตลอดทุกสิบวันทองคำของข้าออกลูกออกหลานมาให้ข้ามากมาย
“ท่านเคยมีคนยืมทองคำแล้วไม่คืนบ้าง หรือไม่จ่ายดอกเบี้ยบ้างมั้ยขอรับ” แมคก้าขัดจังหวะ
“เคยสิ เคยแน่นอน มีพ่อค้าที่ชอบทำเรื่องการค้าที่ตนไม่ถนัด มีหลายคนที่ถนัดการล่าสัตว์ แต่มาเปิดการค้าขายเสื้อผ้า ขายอาหาร ขายนมแพะ พวกเข้าทำไม่สำเร็จ ทองคำของข้าก็สุญหายไปกับการค้าของพวกเขาเช่นกัน
“แล้วท่านไม่เสียใจหรือขอรับ”
“ข้ามีวิธีแบ่งจำนวนทองคำในการให้ยืมมากหรือน้อยแล้วแต่การค้าแต่ละอย่างที่ใช้ทองคำขนาดต่างๆ กัน รวมทั้งนิสัยใจคอขอพ่อค้าเหล่านั้นด้วย พวกพ่อค้าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำตามสัญญาทั้งๆ ที่จิตใจของพวกเขาเป็นคนดี แต่เขาไม่สามารถหาทองคำและดอกเบี้ยมาคืนให้ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร บางรายก็บอกว่าเหลือแต่ชีวิตไม่มีการค้าไม่มีทองคำด้วย ข้าต้องยอมยกหนี้ทั้งหมดให้ข้าถือว่า ข้าเองจะต้องเป็นคนวิเคราะห์พวกเขาแทนไม่ใช่ให้พวกเขาวิเคราะห์การค้าของเขาเอง ข้าจึงเริ่มศึกษา และมองลชึกซึ้งเข้าไปในกิจการค้าของทุกคนมากขึ้น ซึ่งทำให้ข้ามองเห็นกิจการของบางคนนั้นรุ่งโรจน์สดใจ แต่ขายเงินลงทุน และธุรกิจการค้าขบางคนไม่น่าจะรอดจากวิกฤตได้ในระยยะเวลาอันใกล้ ข้าก็ไม่เสี่ยงที่จะให้ยืมทองคำก้อนโตไดหรอก”
“เจ้าหนุ่มเจ้าจำการค้าของท่านผุ้เฒ่าโอทูทูได้มั้ย เมื่อท่านโอทูทูซื้อกิจการค้าของเจ้าของโรงตีดาบที่หนึ่ง แล้วอีกไม่นานเจ้าของโรงตีดาบที่ใหญ่โตที่สองก็นำมันมาขายให้กับท่านผู้เฒ่าโอทูทูในเวลาต่อมา”
“ข้าจำได้ขอรับ ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังเมื่อวานนี้เอง”
“นั่นแหละ ท่านโอทูทูก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่เข้ามาขอยืมทองคำจากข้าไปซื้อโรงงานผลิตดาบที่สอง เพราะท่านผุ้เฒ่าโอทูทูได้ใช้ทองคำมากในการซื้อโรงงานผลิตดาบแห่งที่สองนี้”
“ท่านจึงให้ท่านผุ้เฒ่าโอทูทูยืมหรือขอรับ”
“ข้าทากกว่านั้นอีก แทนที่ข้าจะให้ท่านโอทูทูยืมเงิน ข้าตัดสินใจลงทุนกับท่านโอทูทูทันที เพราะข้าวิเคราะห์แล้วว่ารายได้ส่วนใหญ่ของกิจการของท่านโอทูทูน้นมาจากพระราชวังซึ่งมีการจ่างตรงเวลาและจำนวนแน่นอนไม่มีบิดพลิ้ว ถ้าข้าลงทุนกับท่านโอทูทู ข้าก็จะมีรายได้มากกว่าดอกเบี้ยที่ข้าจะได้รับเสียอีก ข้าไม่รีรอที่จะนำทองคำก้อนโตมาลงทุนกับท่านโอทูทู บวกับความประพฤติ และนิสัยของทานโอทูทูที่ข้ารุ้จักเป็นอย่างดี เขารุ้จักวิธีควบคุมค่าใช้จ่าย สร้างกำไรให้เกิดกับกิจการค้าได้ ข้าเชื่อใจท่านโอทูทู เป็นผู้จัดการทองคำก้อนโตของข้าได้”
“แล้วท่านได้ทองคำมากกว่าดอกเบี้ยหนึ่งในสิบหรือไม่ขอรับ” แมคก้าอยากรู้
“มากกว่านั้นหลายเท่าเลยทีเดียว ท่านโอทุทูเป็นคนซื้อสัตว์มัธยัสถ์ ตรงต่อเวลา ทุกปีข้าได้รับทองคำมากมายจากการร่วมลงทุนกับท่านโอทูทู”
“หลังจากนั้น ข้าก็ลงทุนกับกิจการค้าหลายๆ อย่างในเมือง ทั้งในเมืองนี้ และเมืองถัดไป แต่เจ้าต้องรู้จักนิสัยของเจ้าของกิจการเหล่านั้นเป็นอย่างดีนะ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ม่ากิจการของเขาจะดีหรือไม่ก็ตาม”
แม็คก้ารู้ซึ้งถึงความอัจฉริยะด้านความคิดของท่านโปรฟิตโต้ผุ้นี้ และต้องยอมรับในความสำเร็จ และคำสอนที่ท่านโปรฟิตโต้กรุณาสละเวลาเล่าให้ฟัง
“ยังไม่หมดแค่นั้นนะพ่อหนุ่ม”
“มีอะรที่ข้าควรจะรู้อีกหรือขอรับ”
“ปัจจุบันนี้ มีพ่อค้าอีกหลายๆ คนที่มั่งคั่ง และต้องการให้เงินงอกเงยขึ้นมากกว่าเดิม ท่านเหล่านั้นก็นำทองคำที่มีมาฝากไว้กับข้า เพื่อให้ข้าหาคนที่จะมาหยิบยืมทองคำเหล่านั้น แล้วส่งดอกเบี้ยผ่านมือข้าไปยังผู้มั่งคั่งทั้งหลาย โดยที่พวกเขาก็ให้ผลตอบแทนที่ดีกับข้าทั้งสองฝ่าย”
“ข้ามาพบได้ถูกคนจริงๆ ขอรับ ท่านโปรฟิตโต้ได้ช่วยไขปริศนาในการทำการค้าให้ข้า ข้าจะจดจำมันไว้ไม่มีวันลืมเลยขอรับ”
“แล้วเจ้าจะกลับเลยหรือ”
“ขอรับ ข้าจะรีบกลับไปจดบันทึกบทเรียนที่ดีในวันนี้ก่อนที่ข้าจะลืมมันขอรับ”
“อย่างนั้นข้าฝากของที่ระลึกนี้ถึงท่านเศรษฐีกาแลได้มั้ย”
“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งขอรับ”
ท่านโปรฟิตโต้ผู้รู้วิธีนำกำไรมาลงทุนต่อให้ได้ทั้งดอกเบี้ยและผลกำไรกลับมาซ้ำแล้วซ้ำอีก กลายเป็นทองคำก้อนโตมหาศาลเป็นมหาเศรษฐีที่ชาญฉลาด ให้เงินออกลูกออกหลานให้ โดยไม่ต้องมีกิจการค้าอย่างอื่นเลย เพียงแต่รู้วิธีนำเงินมาลงทุน โดยการวิเคราะห์จากกิจการค้าต่างๆ ที่ให้ผลกำไรที่ดี แล้วนำเงินไปร่วมลงทุนด้วยและให้ยืมทองคำกับกิจการต่างๆ ที่คิดว่าจะให้ดอกเบี้ยที่ดีตามสัญญาที่ให้ไว้
“นี้คือสัญลักษณ์ใหม่ของเหรียญทั้งห้าที่ข้าจะมอบให้กับเศรษฐีกาแลหนึ่งชิ้น และมอบให้กับเจ้าหนึ่งชิ้น ในฐานะทีเจ้าจะได้เป็นเศรษฐีประจำเมืองคนใหม่ในไม่ช้านี้”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะทำสำเร็จขอรับ”
“ดวงตาของเจ้าไง ความอยากรู้ในการทำการค้า ความมั่งคั่ง ความต้องการทะยานสู่ความสำเร็จ และความมุ่งมั่นที่เจิดจรัสเหมือนกับที่ข้าเห็นจากท่านผู้เฒ่าชาเลส ผุ้เฒ่าโอทูทู และเศรษฐีกาแล ทุกคนมีความมุ่งมั่นเช่นเดียวกันกับเจ้า แล้วข้าก็หวังว่าเจ้าจะทำมันได้สำเร็จเช่นผุ้มั่งคั่งทุกคน”
“ขอบพระคุณท่านโปรฟิตโต้มากขอรับ ข้าจะกลับมาพบท่านอีก เมื่อข้าประสบความสำเร็จในกิจการข้า”
ชายหนุ่มกลับมาถึงที่พักก่อนตะวันตกดิน ก่อนที่จะเริ่มชำระล้างร่างกาย ชายหนุ่มรีบนำแผ่นกระดาษปาปิรุสขึ้นมาจดบันทึกในวันนี้อย่างเริ่งรีบว่า....
“จงใช้ ทองคำ ที่เก็บออม ทำให้เกิดลูกหลานมากมาย จงนำ ทองคำ ไปลงทุน ในกิจการที่มีผล กำไรดี รายได้แน่นอน และรายจ่ายไม่มาก จงอย่าลงทุนจนหมด จนกระทั่งถุงทองคำว่างเปล่า จงอย่าให้ใครคนเดียว นำทองคำ ของเราทั้งหมดไป จงแบ่งตวามเสี่ยง ในการสูญเสียทองคำให้มากโดยแบ่งเก็บทองคำไว้หลายๆ แห่ง จนรู้จักนิสัย ของ เจ้าของกิจการ นั้นเป็นอย่างดี ก่อนที่จะนำ ทองคำ ไปลงทุน ด้วย จงวิเคราะห์กิจการต่งๆ ด้วยตัวเอง ก่อน อย่าเชื่อทุกคน ที่วิเคราะห์กิจการที่เขาไม่ถนัด
7 บทเรียนสุดท้ายจากท่านผุ้เฒ่าทั้งสาม
เช้าวันใหม่ แมคก้าตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น และเตรียมพร้อมที่จะมาพบผู้เฒ่าทั้งสาม ณ จุดเดิมจุดแรกที่ได้มาพบกัน
“เอ้า สวัสดีแมคก้า เจ้าหลับสบายดีมั้ย” ท่านผู้เฒ่าชาเลส ถาม
“หลับสบายดีครับ พวกท่านตื่นกันแต่เช้ามากเลยนะขอรับ”
“พวกเราน่ะแก่แล้ว เวลานอนก็เร็ว ตื่นก็เร็วเป็นธรรมดา” ท่านผู้เฒ่าชาเลสตอบ
“จริงๆ แล้วข้านังไม่อยากกลับไปเลย ข้ามีอะไรมากมายที่อยากรู้ และรอถามพวกท่านอยู่”
“พวกเราน่ะ สอนเจ้าไปหมดทุกเรื่องแล้วล่ะ”
“เจ้าน่ะมีความรู้ที่พวกเราทั้งสามคนสะสมมาทั้งชีวิต ที่พวกเราได้ถ่ายทอดให้แล้ว ส่วนคำถามอื่นๆ หรือเรื่องอื่นๆ คือเรื่องจริงที่เจ้าจะต้องเผชิญด้วยตัวเอง ใช้ความรู้ที่เจ้าได้รับจากพวกข้าเป็นแนวทางในการดำเนิการค้าของเจ้า หลักการที่ผ่านมาเพียงไม่กี่ข้อนี้ ที่เจ้าควรจะจดจำ และปฎิบัติตามเท่านั้น ส่วรเรื่องอื่นๆ คงจะต้องใช้การตัดสินใจของผู้นำกิจการที่ดีเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเฉพาะหน้าเป็นครั้งคราวไป”
“เชื่อเถอะพ่อหนุ่ม ในเมื่อเจ้าเป็นคนดีที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจการตัดสินใจของเจ้าจะทำให้เจ้ารอดจากวิกฤตต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต”
“สุดท้าย พวกเราขอให้เจ้าโชคดี ประสบความสำเร็จในกิจการค้า และมีครอบครัวที่มีความสุข แล้วกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้างนะ หลังจากที่เจ้ากลายเป็นเศรษฐีคนใหม่แล้ว”
“แล้วเมื่อไรข้าถึงจะเป็นเศรษฐีขอรับ”
“เออ ข้าหมายถึงว่า ข้าต้องมีทองคำมากขนาดไหน”
“เมื่อเจ้ารู้จักคำว่า พอ เท่านั้น เจ้าก็จะกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที”
“ใช่ ถูกต้อง ถ้าเจ้ารู้จัก การพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เมื่อไร่เมื่อนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นคนที่มีความสุขด้วยตัว และจิตใจของเจ้าเอง มันเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ทุกคนก็ทำได้ แต่มีน้อยคนนักที่จะเข้าใจในอย่างแท้จริง แล้วสักวันหนึ่งเจ่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า พอ อย่างแท้จริง”
“ข้าขอถามอีกคำถามได้มั้ยขอรับ”
“มีอะไรอีกล่ะ”
“แล้วทำไมท่านเศรษฐีกาแลใช้เวลาเดินทางมา 7-8 ปี กว่าจะมาพบพวกท่าน และเรียนรู้กลับไป ส่วนตัวข้าเดินทางมาเพียงครึ่งปีและเรียรู้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นขอรับ”
“ท่านกาแลมีน้ำใจกับเจ้านะสิ ที่ให้แผนที่นำเจ้ามาพบจุดหมายได้ถูกต้องทำให้เจ้าไม่ต้องเสียเวลามาก ในการทำการค้าก็เช่นกัน เจ้าจะต้องรู้จุดหมากที่เจ้าจะไปก่อนที่เจ้าจะออกเดินทาง มันจะทำให้เจ้าใช้เวลาน้อยลง และถึงจุดหมายเร็วขึ้นโดยที่ไม่หลงทางอีกด้วย”
“ส่วนท่านกาแลน่ะหรือ เขาเดินทางไปมากมายหลายแห่ง หลายเมือง ขึ้นเขาลงห้วยไปพบนักคิด นักคำนวณและนักทฤษฎีต่างๆ มากมาย แต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบที่เข้าต้องการและสุดท้ายเขามาพบพวกข้า เขามีความมุ่งมั่น และกระตือรือร้นเช่นเดียวกับเจ้า และพวกเราก็ใช้เวลาแนะนำท่านกาแลพอๆ กับเจ้านั่นแหละ เพียงไม่กี่วันเอง”
“ข้ารู้สึกว่าข้าโชคดีจริงๆ ที่ได้มาพบพวกท่าน และได้มีโอกาสเรียนรู้จากพวกท่าน” ชายหนุ่มกล่าวต่อ
“ในชีวิตนี้ จะมีสักกี่คนที่ได้มีโอกาสดีๆ อย่างข้า มาเรียนรู้จากอาจารย์ทั้งสามท่าน พวกท่านน่ะคือผู้วิเศษของท่านเศรษฐีกาแลและของข้าด้วย” ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตันใจที่ได้เรียนรู้เรื่องดีๆ ที่มีน้อยคนนักที่ล่วงรู้ความลับนี้ และรู้สึกประทับใจในตัวจริงของผู้เฒ่าทั้งสาม จนอย่างที่จะกล่าวขอบคุณสักพันครั้ง เพราะบทเรียนที่ได้รับครั้งนี้ มันมีค่ามากจนหาที่เปรียบไม่ได้ ความรู้ที่ได้มาในเวลาไม่กี่วันนั้น มันสามารถนำมาใช้ได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว
“สัญลักษณ์เหรียญทั้งห้าแบบใหม่ เจ้าจงเก็บไว้ให้ดีๆ นะ แล้วถ้ามีวาสนาเราคงจะได้พบกันอีก” ท่านผู้เฒ่าโอทูทู กล่าวลา พร้อมกับได้มอบเหรียญห้เหรียญที่มีรูปแบบใหม่ให้กับแมคก้า
“ข้าขอลาท่านทั้งสามด้วยความจริงใจ ขอบพระคุณท่านผุ้วิเศษทั้งสามมากเลยขอรับ แล้วข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่านอีกขอรับ”
“ลาก่อน”
“ลาก่อน”
ชายหนุ่มขี่อูฐ และเดินทางจากเมืองปุนต์มาก เพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้านที่มีพี่สาวมูมายและน้องมินนารออยู่
ตั้งแต่เขากลับมาที่บ้านเกิด เขาเริ่มต้นทำการค้าตามวิธีและหลักการที่ได้เรียนรู้มากจากผุ้วิเศษทั้งสาม
เขาทำการค้าด้วยความเข้าใจใน หลักแก่นแท้ของการค้า เขาทำเหมือนสิ่งนั้นอยู่ติดตัวเขาตลอดเวลา
เวลาผ่านไป 10 ปี
บทที่ 8 เหรียญทั้งห้า
“ก็อก ก๊อก ก๊อก ท่านเศรษฐีแมคก้าขอรับ ท่านเศรษฐีแมคก้าขอรับ”
“ท่านมีธุระอะไรที่จะมาพบกับท่านเศรษฐี” บ่าวรับใช้ถาม
“ข้ามีนามว่า มอสตีตี้ ข้ามีเรื่องอยากจะมาปรึกษาท่านเศรษฐีแมคก้าขอรับ”
“มีอะไรหรือ พ่อหนุ่มน้อย” เศรษฐีแมคก้าออกมาต้อนรับ
“ข้าทำการค้าของข้า แต่มันติดขัดไปหลายๆ อย่าง ข้าอยากจะมาขอความรู้จากท่านว่า ทำอย่างไรข้าจึงจะมีทองคำงอกเงยออกมาใช้ไม่มีวันหมดเช่นท่าน ดังที่ชาวบ้านเขาร่ำลือกันมากมาย หนุ่มมอสตีตี้ถามด้วยความรวดเร็ว
“เจ้ารอข้าสักครู่นะ” เศรษฐีแมคก้าเดินกลับเข้าไปในทางเดิน
เศรษฐีแมคก้าเดินออกมาพร้อมกล่องที่อยู่ในมือเหมือนหีบสมบัติเล็กๆ
“ข้ามอบให้เจ้า เจ้าจงเดินไปตามแผนที่ที่อยู่ในนี้ แล้วนำสัญลักษณ์ที่อยุ่ภายในไปพบกับผุ้วิเศษทั้งสามคน แล้วเจ้าก็จะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคำถามของเจ้า ว่าทำอย่างไรจึงจะมีทองคำงอกเงยออกมา โดยไม่มีวันหมด”
“ขอบพระคุณท่านเศรษฐีมากเลยขอรับ ข้าจะเดินทางไปทันทีที่ข้าร่ำลาพ่อแม่ และพี่น้องของข้าเรียบร้อย”
“แล้วข้าฝากบอกท่านผุ้วิเศษทั้งสามด้วยนะ ว่าข้าคิดถึงพวกท่านมาก แล้วข้าก็เข้าใจความหมายของคำว่า พอ แล้ว”
“ข้าจะทำตามรับสั่งของท่านขอรับ”
“ขอให้เจ้าโชคดีนะ”
เมื่อไม่รู้จุดหมายที่แท้จริง จะทำให้เราหลงทางและเสียเวลาเดินทางมากขึ้น
การทำการค้าต้องรู้จุดหมายที่แท้จริง ก่อนลงมือทำ
ถ้ารู้จักคำว่า พอ ก็จะกลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาจริงๆ
พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีขึ้นมาเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นคนที่มีความสุขขึ้นมาทันที
ความสำเร็จใน ด้านธุรกิจหรือด้านครอบครัว ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความตั้งใจความพยายามและความอดทน
โชคชะตามักจะอยู่กับคนที่ต้งใจทำงานเท่านั้น
from http://www.richdadthai.com/rdtboard/viewtopic.php?t=4951
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น