01 มีนาคม 2553

เงินเย็น มองยาว เลือกให้ดีแต่ต้น

เงินเย็น มองยาว เลือกให้ดีแต่ต้น


สองครั้งที่แล้วผมได้ทิ้งท้ายเรื่องนิสัยที่ดีในการลงทุนว่า “เงินเย็น มองยาว เลือกให้ดีแต่ต้น” วันนี้ขอมาอธิบายต่อในหลักการทั้งสาม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการลงทุนในระยะยาว



ปกติแล้ว ความสำเร็จในชีวิตเริ่มจากเป้าหมายที่ชัดว่า จะเดินไปไหน เพื่ออะไร

การลงทุนก็เช่นกัน เป้าหมายในการเก็บออมสำหรับคนทั่วๆไป ก็คือ การเก็บเงินไว้สำหรับชีวิตยามเกษียณ โดยหวังว่าเงินที่เราเก็บหอมรอมริบไว้จะทำงานอย่างเต็มกำลัง ออกลูกออกหลานมาเลี้ยงเราในยามชรา โดยให้ผลตอบแทนที่ชนะการฝากเงินที่แบงก์ ซึ่งปัจจุบันได้แค่เพียง 0.75% ต่อปี (เรียกว่าน้อยมาก)

สำหรับหลักข้อแรก การ “เลือกให้ดีแต่ต้น” มีความสำคัญมากที่จะพาเราก้าวไปสู่ความสำเร็จ

ลงทุนด้วยหลักการง่ายๆ เน้นลงทุนเพื่อออมเงินระยะยาว ในหุ้นที่มีคุณภาพดี มีปัจจัยพื้นฐานดี ในบริษัทที่มีฐานะมั่นคง เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ

โดยเฉพาะในธุรกิจที่จะโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจ ฟื้นไปพร้อมกับเศรษฐกิจ รวมทั้ง ในสินค้าที่เราต้องกินต้องใช้ เพราะตราบใดที่เศรษฐกิจก็ยังจะโตต่อไป และเรายังซื้อของกินของใช้ ก็ต้องมีบริษัทบางบริษัทที่เติบโตขึ้น และสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนให้กับเรา ทั้งในส่วนการปันผล และกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ การหาหุ้นที่ดี ไม่ได้มองแค่ตัวเลขบนหน้าจอหรือราคา แต่ต้องมองลึกลงไปถึง ผู้บริหาร บริษัท และอุตสาหกรรม ที่ผู้บริหารดี มองการณ์ไกล เอาใจใส่ดูแลบริษัท บริษัทมีความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่ดี ที่มีอนาคต มีศักยภาพการแข่งขันระดับโลก บริษัทไหนที่มีปัจจัยพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจดีเช่นนี้ ก็เป็นหุ้นที่น่ามีไว้ในการครอบครอง

หลักข้อที่สอง “มองระยะยาว” มีความอดทนต่อความผันผวนของราคาในระยะสั้น บางช่วงต้องอดทนต่อความผันผวน บางช่วงต้องเห็นถึงโอกาสที่มาถึง ตรงนี้ สำหรับคนที่ชอบและสนุกที่จะเห็นหุ้นขึ้นลงในเวลาไม่กี่นาที อยากจะชวนให้มองยาว เป็นนักลงทุนระยะยาว ซื้อเพื่อปันผล เพื่อราคาที่เพิ่มในระยะยาว ไม่ต้องจดจ่อตลอดเวลา

แน่นอน การลงทุนมีความเสี่ยง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีผลกระทบจากภายนอก แต่ถ้าเราเริ่มโดยการถือหุ้นที่ดี มีพื้นฐานดี มีคุณภาพ บริษัทมีความมั่นคง (จากหลักข้อแรก) ยอมถือหุ้นไว้ในระยะนานพอสมควร และพยายามไม่หวั่นไหวไปกับการผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น โอกาสที่เราจะได้รับผลตอบแทนที่สูงก็จะมีมากตามไปด้วย ต่อให้ตกลง ในไม่ช้า ราคาหุ้นนั้นจะสะท้อนราคาที่แท้จริงในที่สุด คุ้มค่าที่รอ

ยิ่งช่วงวิกฤต ก็เป็นโอกาสในการลงทุน เช่น ช่วงปี 2551 ที่ราคาลดลงมามาก แต่คงต้องมองวิกฤตเป็นโอกาส หรือช่วงที่มีปัญหาสั้นๆ ที่ทำให้คนตกใจ เป็นช่วงโอกาสของการค่อยๆ ทยอยลงทุนระยะยาว ในสิ่งที่เราสนใจ

ถ้ามองยาว คิดว่าเศรษฐกิจดีขึ้น หุ้นที่มีพื้นฐานดี (ที่เราได้เลือกไว้) ก็จะขึ้นตามไป จะมากจะน้อยอย่างไร ก็จะปรับตัวดีขึ้นไปด้วย คงไม่มีที่ไหน ที่เศรษฐกิจขยายตัว แต่หุ้นตกเอาตกเอา เพราะเศรษฐกิจจะดีได้ ก็ต้องมาจากการขยายตัวของภาคธุรกิจ มาจากการใช้จ่ายของเราๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ ราคาของหุ้นจะไม่ขึ้นได้อย่างไร

หลักข้อสุดท้าย ที่มีความสำคัญมาก คือ “เงินเย็น” ถ้าเงินที่นำมาลงทุนเป็นเงินที่เราเก็บออมเพื่อระยะยาว เป็นเงินเย็น การลงทุนของเราก็มั่นคงไปด้วย

บางคนกู้ยืมมาลงทุน เก็งกำไรในช่วงสั้นๆ แต่ก็อาจขาดทุนได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าหุ้นจะขึ้นเมื่อไร วันไหน เวลาไหน พอเก็งผิดข้าง อาจจะถูกบังคับขาย ขาดทุนได้ แต่ถ้าเงินที่เรามาลงทุนเป็นเงินเย็น ลงในสิ่งที่มีอนาคตระยะยาว เราก็จะสามารถรอ สามารถมองยาวได้ เข้าออกได้ในเวลาที่เราพอใจ รอให้หุ้นปรับตัวได้ ท้ายสุดเงินที่เย็นก็จะเสริมให้การลงทุนของเรา ผลิดอกออกผลสมกับที่ตั้งใจ

ทั้งหมดนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน เพราะการลงทุนมีทางเลือกมากมาย หลายประเภท คนที่ลงทุนต้องมีความรู้ความเข้าใจ แสวงหาความรู้อยู่เสมอว่ากำลังลงทุนอยู่ในอะไร ขอเอาใจช่วยครับ

from http://www.kobsak.com/?p=2928#more-2928


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)