เรื่องของคนขี้แพ้ โดย หนูดี วนิษา เรซ
เมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หนูดีเพิ่งรู้ตัวค่ะว่า เป็นคนขี้แพ้อย่างหนัก เพราะที่ผ่านมามีคุณหมอหลายรายพยายามบอกหนูดีแล้วว่า
หนูดีเป็น “ภูมิแพ้” แต่หนูดีก็ไม่เคยตั้งใจฟัง ให้ยาอะไรมาหนูดีก็ไม่เคยยอมกิน แค่รับยามาพอให้คุณหมอสบายใจ พอถึงบ้านก็วางไว้อย่างนั้นจนอาการหายไปเอง เรียกว่าอยู่ในภาวะ “ปฏิเสธความจริง” และดื้อเงียบแบบสุดขีด เพราะใครเลยจะนึกว่า คนที่ใช้ชีวิตปกติได้ เดินทางไปไหนมาไหนได้ ป่วยก็ไม่ค่อยบ่อย เกสรดอกไม้ก็ไม่เคยแพ้ จะเป็น “คนขี้แพ้” กับเขาได้ด้วย
แต่ก็เป็นไปแล้วค่ะ และแพ้ในสิ่งที่ไม่น่าแพ้ได้ คือ อาหารโปรดที่ชอบกิน รวมถึงโทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ของตัวเองด้วย
เมื่อต้องมาศึกษาข้อมูลเพื่อดูแลตัวเอง ก็เลยตกใจว่า หนูดีใช้ชีวิตมาได้ตั้ง 30 ปีเข้านี่แล้ว โดยกินอาหารที่ตัวเองแพ้มาเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นคือ “อาหารสุขภาพ” ที่ใครๆ ก็ยอมรับกันทั่วโลก แต่หนูดีก็เพิ่งทราบว่า อาหารก็เหมือนแฟชั่นนะคะ คือ อะไรที่ซูเปอร์โมเดลใส่แล้วสวย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะใส่สวยเหมือนเขาเสมอไป อาหารสุขภาพก็เช่นเดียวกันค่ะ อาหารที่ดีโดยสากลไม่ได้หมายความว่าจะดีกับร่างกายทุกคน บางทีอาหารที่เราคิดว่าดี กินเข้าไปแล้วกลับเป็นโทษกับร่างกายของเราเต็มๆ เลยไม่รู้ว่าเป็นอาหารหรือว่ายาพิษกันแน่
ต้องเท้าความก่อนว่า เมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หนูดีโชคดีที่ได้ไปพบกับแพทย์ทางเลือกท่านหนึ่ง ที่ไม่สั่งยาแต่สั่งเป็นวิตามินแทน และมีวิธีตรวจร่างกายแบบใหม่ต่างจากการตรวจร่างกายประจำปีในโรงพยาบาล ซึ่งหนูดีตรวจทุกปีอย่างละเอียดเทียบเท่ากับคนอายุ 60 เสมอ และไม่เคยพบอะไรผิดปกติเลย แต่สิ่งหนึ่งที่งงก็คือ ทั้งๆ ที่ร่างกายดี แต่ทำไมบางครั้งกินอาหารเสร็จแล้วง่วง รู้สึกไม่มีแรง อยากกินของหวานช่วงบ่ายๆ และเป็นไมเกรนเป็นระยะๆ ด้วย ทั้งที่ผลเลือดก็แสนปกติ
หนนี้หนูดีเลยลองตรวจเซลล์เลือดสด ที่เจาะและเอาขึ้นจอดูสภาพเม็ดเลือดกันเดี๋ยวนั้นในเวลาไม่เกิน 2 นาทีก่อนที่เลือดจะแปรสภาพ ตอนแรกหมอเอาภาพเม็ดเลือดที่สุขภาพดีให้ดู จะเห็นเม็ดเลือดแดงกระจายตัวและเห็นเม็ดเลือดขาวเกาะกันอยู่อย่างแข็งแรง ส่วนเลือดที่ไม่ค่อยดีจะเห็นเม็ดเลือดแดงเกาะกันเป็นกระจุก แสดงว่าเลือดข้นไป
ก่อนตรวจหนูดีก็มั่นใจว่าเลือดเราดีแน่เพราะเราก็เลือกวิธีดูแลสุขภาพ แม้จะชอบกินขนมก็ไม่น่าจะส่งผลเสียกับภาพรวมได้มากมาย ที่ไหนได้ เจาะออกมาแล้ว พอเอาสไลด์เลือดขึ้นหน้าจอ เห็นสภาพเลือดตัวเองแล้วแทบเป็นลม ไม่นึกไม่ฝัน เพราะเม็ดเลือดแดงหนูดีเกาะตัวกันเป็นพวง เม็ดเลือดขาวแตกกระจายเป็นหย่อมๆ แถมเห็นโลหะหนักต่างๆ ลอยตัวปะปนในเลือดอีกเต็ม คนอ่านค่าบอกว่าเลือดหนูดีมีสารปนเปื้อนเยอะ ดื่มน้ำน้อยไป (โอ้โห ขนาดนี้ยังว่าน้อย ปกติหนูดีดื่มจนโดนเรียกว่าอูฐอยู่แล้ว) นอนดึกไป (หนูดีนอนก่อนเที่ยงคืนยังเรียกว่าดึกหรือคะ) และอีกสารพัด ต่อจากนั้นยังต้องเจาะเลือดเพื่อไปตรวจดูว่าหนูดีอาจแพ้อาหารอะไรได้บ้างอีก 170 ชนิด
ผลออกมาอีกสัปดาห์หนึ่ง เชื่อหรือไม่ว่าในอาหารท็อปเทนของโปรดตัวเองนั้น หนูดีแพ้เกือบครบทุกตัว แต่หมายเลขหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงเลยคือ บลูเบอร์รี โดยคุณหมอแจ้งว่า หมอเสียใจด้วยนะครับ แต่ว่าคุณหนูดีคงต้องเปลี่ยนวิตามินตัวที่กินอยู่แล้วล่ะ เพราะว่าหนูดีกินวิตามินต้านอนุมูลอิสระที่ทำจากผลบลูเบอร์รี (อ้าว ก็ตำราทางสมองของหนูดีเขาบอกว่ามันเป็น “เบรนเบอร์รี” นี่นา) แถมวิตามินตัวที่สองที่กินทุกวันก็คือ น้ำมันปลา ผลออกมาว่า หนูดีแพ้ปลาทูน่าค่ะ ฉะนั้น น้ำมันปลาที่กินบำรุงสมองมาเป็นปีๆ ก็เท่ากับกำลังหยอดยาพิษให้ตัวเองทุกวัน ต้องเปลี่ยนแบบฉับพลัน เป็นน้ำมันจากปลาแซลมอน หรือน้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ที่มีโอเมก้า 3 เหมือนกัน ส่วนคุณแม่ของหนูดีแพ้ปลาแซลมอนค่ะ เลยได้มรดกน้ำมันปลาขวดที่เหลือของหนูดีไปกิน และคุณหมอสั่งวิตามินสำหรับลำไส้และข้อต่อ ชื่อแปลกๆ ที่หนูดีไม่มีวันซื้อมากินเองเป็นแน่แต่เหมาะกับการฟื้นฟูสภาพร่างกายหนูดีมากให้แทน
ส่วนอาหารประจำวันก็ปรากฏว่าหนูดีไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตเยอะไป เพราะลักษณะร่างกายย่อยแป้งได้ไม่เก่ง ควรเน้นกินผักต้มมากกว่าผักสด เน้นอาหารทะเล วุ้นเส้น โดยงดพวกเบเกอรี เพิ่งตาสว่างเลยว่า ทำไมหนูดีกิน “อาหารสุขภาพ” ก็แล้ว แต่ยังรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะไป “เติมน้ำมันผิดประเภท” ให้ร่างกายตัวเองนั่นเอง พอกระบวนการย่อยทำงานได้ไม่ดี เครื่องยนต์ก็รวน แถมเหลือสารตกค้างเยอะ ให้เป็นสารปนเปื้อนในเลือดแบบที่เห็นนั่นเอง ตามมาด้วยอาการเพลีย ไม่มีแรงโดยไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่เป็นคนไฮเปอร์ขนาดนี้
เรื่องการแพ้ของหนูดียังลามปามไปถึงแพ้โทรศัพท์มือถือ และที่หนักกว่านั้นคือแพ้แล็ปท็อปอีกด้วย ตอนแรกหนูดีก็ยังไม่เชื่อคุณหมอ เพราะเกิดมาไม่เคยได้ยินคนแพ้มือถือ แต่คุณหมออธิบายให้ฟังว่า ร่างกายหนูดีดูอ่อนแอกว่าที่ควร เพราะสนามแม่เหล็กธรรมชาติของร่างกายโดนรบกวนด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัว ว่าแล้วคุณหมอก็หยิบเครื่องมือเล็กๆ ที่ใช้วัดพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ซึ่งตอนถือก็ดูปกติดี แต่พอเอามาจี้กับเครื่องแบล็คเบอร์รี่ของหนูดีเข้าก็ส่งแสงสีแดงแวบๆ ไม่หยุด และแสงนี้ยิ่งแรงเมื่อไปจี้ที่เครื่องส่งสัญญาณตรงด้านหลัง พ้นไปจากบีบีไม่พอ หนูดีหยิบเครื่องโนเกียรุ่นใหม่สีเงินส่งให้ ปรากฏว่าแรงไม่แพ้กัน เห็นแล้วสยอง อันที่ค่อยยังชั่วหน่อยคือ โทรศัพท์เครื่องละพันห้าที่สัญญาณรบกวนร่างกายต่ำ จนตอนนี้หนูดีกับบีบีต้องวางไว้ไกลๆ กันเลยค่ะ หนูดีกลัว ใครใช้ก็ระวังกันด้วยนะคะ โชคดีที่ไม่ติดมาตั้งแต่ซื้อแล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือ แป้นพิมพ์ตรงหน้าจอแล็ปท็อป ซึ่งต้องบอกว่าเครื่องวัดสัญญาณ “เสียสติไปเลย” เพราะส่งแสงแดงๆ ไม่หยุด เหมือนสัญญาณเตือนภัยทีเดียว
คุณหมอบอกว่า นี่ล่ะอันตรายมาก และหนูดีก็เลยหายสงสัย ว่าทำไมเวลาหนูดีพิมพ์ต้นฉบับนานๆ ตอนกลางคืน พอพิมพ์เสร็จจะล้าไปหมด ปวดหัว และนอนไม่ค่อยหลับ จนต้องเลิกทำงานหน้าจอตอนกลางคืนไป ทั้งๆ ที่ท่านั่งพิมพ์ก็จัดให้ถูกสุขลักษณะแล้วนะนี่ แต่พอมาเห็นแบบนี้เลยเข้าใจว่า อ๋อ ก็มือเราวางอยู่ตรงจุดอันตรายที่สุดเป็นชั่วโมงๆ แล้วจะให้ร่างกายทนทานไหวได้อย่างไร พอรู้อย่างนี้เลยเปลี่ยนมาใช้แป้นพิมพ์แบบเสียบสายแล้วลากมาเสียห่างหน้าจอ แถมไปถามเพื่อนฝรั่ง เขาเลยแนะนำว่า เพื่อนอีกคนมีสายเสียบคอมพิวเตอร์เข้ากับโทรทัศน์จอแบนขนาดใหญ่ที่บ้าน แล้วลากเอาแป้นมานั่งทำงานที่โซฟา เรียกว่าไกลกันที่สุดเท่าที่ทำได้ ฟังแล้วชักอยากทำตามบ้าง
ตั้งแต่ยอมรับได้ว่า ตัวเองเป็น “คนขี้ แพ้” และเริ่มปรับชีวิตแบบผู้แพ้ได้ หนูดีก็พบว่า เพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ระดับพลังงานของหนูดีเพิ่มขึ้นมากมาย เริ่มกินอาหารเสร็จแล้วสบายท้อง ไม่อึดอัด ไม่ปวดหัว ไม่อยากของหวานตอนบ่ายเหมือนที่เคย รวมถึงพอเปลี่ยนลักษณะการใช้งานโทรศัพท์มือถือ และแล็ปท็อปให้เป็นของไกลตัวขึ้น ก็พบว่าอาการปวดมึนหัว รวมทั้งปวดไหล่แบบแปลกๆ หายไปด้วย วันนี้ใครยังกินอาหารสุขภาพอยู่ด้วยความภาคภูมิใจ ลองเช็กสักนิดไหมคะว่า เราแพ้อาหารนั้นหรือเปล่า เพราะของดีสากล อาจไม่เหมาะกับเราก็เป็นได้ จะได้ไม่ต้องติดกับดักของ “คนขี้แพ้” แบบที่หนูดีติดมาเป็นปีโดยไม่รู้ตัว โชคดีนะคะ
from http://onknow.blogspot.com/2010/01/blog-post_1050.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น