ROE vs. ROA part 1
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เป็นเครื่องทดสอบถึงประสิทธิผลในการใช้เงินที่ได้จากผู้ถือหุ้นของผู้บริหารของบริษัท ทั้งนี้ ROE สามารถคำนวณได้ ดังนี้
Return on Equity = Annual Net Income / Average Shareholders’ Equity
ยกตัวอย่าง การคำนวณหา ROE สำหรับปี 2547 ของบริษัทแห่งหนึ่งในหมวดพาณิชย์ โดยสมมติชื่อว่า บริษัท A Commerce จำกัด (มหาชน) ซึ่งในปี 2547 A Commerce มีกำไรสุทธิทั้งปีประมาณ 381 ล้านบาท ในขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2546 และ 2547 อยู่ที่ 1,316 ล้านบาท และ 1,610 ล้านบาท ตามลำดับ จากข้อมูลเหล่านี้ สามารถคำนวณหา ROE ได้ที่ 26.0% ซึ่งบอกให้ผู้ลงทุนทราบว่า ในปี 2547 A Commerce สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในอัตรา 26% จากทุกๆบาทที่ผู้ถือหุ้นได้ลงทุนไป ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่น่าประทับใจทีเดียว
ทีนี้ ลองมาดูที่ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ซึ่งให้อีกมุมมองหนึ่งของความมีประสิทธิผลของผู้บริหาร โดยที่ ROA จะแสดงให้เห็นถึงอัตราผลกำไรที่บริษัทได้รับจากทุกๆบาทของสินทรัพย์ของบริษัท โดยสูตรคำนวณ ROA เป็นดังนี้
Return on Assets = Annual Net Income / Average Total Assets
กลับมาที่ A Commerce อีกครั้งหนึ่ง จากงบดุลของบริษัทมีสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2546 และ 2547 อยู่ที่ 4,415 ล้านบาท และ 6,209 ล้านบาท ตามลำดับ ด้วยตัวเลขกำไรสุทธิตัวเดียวกันกับที่ใช้ในการคำนวณ ROE สามารถคำนวณหา ROA ออกมาได้ที่ 7.2% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในปี 2547 A Commerce ได้รับผลกำไรประมาณ 7% จากสินทรัพย์ทั้งหมดที่บริษัทเป็นเจ้าของอยู่
ประเด็นที่น่าสนใจคือทำไม ROE กับ ROA ของบริษัทเดียวกันจึงได้แตกต่างกันถึงเพียงนี้ ซึ่งตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดความแตกต่างนี้ก็คือการ leverage ทางการเงิน หรือระดับหนี้สินของบริษัทนั่นเอง จากสมการพื้นฐานของงบดุล (สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น) จะเห็นได้ว่าหากบริษัทไม่มีหนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้นก็จะเท่ากับสินทรัพย์รวม และ ROE ก็จะเท่ากับ ROA แต่ถ้าหากว่าบริษัทมีการ leverage ทางการเงินหรือกู้เงินมาเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการ ROE ก็ จะมีค่าสูงกว่า ROA ทั้งนี้ ในตัวอย่างที่นำมาใช้นั้น เมื่อพิจารณางบดุลของ A Commerce จะพบว่าบริษัทมีหนี้สินอยู่เป็นปริมาณค่อนข้างสูง โดย ณ สิ้นปี 2547 A Commerce มีหนี้สินรวมเกือบ 4,600 ล้านบาท หรือเกือบ 3 เท่าของส่วนของ ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ ROE มีค่าสูงกว่า ROA มาก สรุปว่า ROE ที่มีค่าสูง เนื่องจากบริษัทมีหนี้สินมาก มิใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป ถ้าประสิทธิภาพและความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทยังดีอยู่ นักลงทุนทั้งหลายก็ไม่น่าต้องกังวล เพียงแต่ต้องตีความของอัตราส่วนทั้งหลายให้แตกเท่านั้นเอง
from http://www.one-asset.com/AMClub/FunFundDetail_t.asp?id=44
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น