ข้อผิดพลาดของบัฟเฟตต์
ทุกคนอาจคิดว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนระดับ "เทพ" ที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาด ในความเป็นจริงนักลงทุนระดับตำนานรายนี้ เคยลงทุนผิดพลาดหลายครั้งและทุกครั้งเขามักบอกผู้ถือหุ้นเบิร์กไชน์ของเขาเสมอในรายงานประจำปีว่าเขาทำอะไรโง่ๆ ลงไปบ้าง เรามาดูกันว่าเขาทำอะไรผิดพลาดบ้าง
อันดับแรก การลงทุนในบริษัท โคโนโค ฟิลิปส์ (Conoco Phillips) ในปี 2008 บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นบริษัทนี้เป็นจำนวนมาก เขาคาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะนั้นราคาน้ำมันขึ้นไปสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่เวลาได้พิสูจน์ว่าบัฟเฟตต์คิดผิด หลังเกิดวิกฤติซับไพร์มราคาน้ำมันลดลงจาก 150 เหรียญ เหลือเพียง 30 เหรียญราคาหุ้นบริษัทน้ำมันทั่วโลกลดลงอย่างมาก โคโนโค ฟิลิปส์ก็เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลานั้นบัฟเฟตต์ต้องขายหุ้นบริษัทนี้ออกไปเพื่อนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สินอื่น เช่น การซื้อหุ้นกู้ของจีอี การลงทุนครั้งนั้นทำให้เบิร์กไชน์ขาดทุนไปถึง 3 พันล้านเหรียญ (กว่า 1 แสนล้านบาท) ข้อผิดพลาดของบัฟเฟตต์ครั้งนี้ ชี้ว่าการเห็นราคาหุ้นหรือราคาสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นมากๆ อย่างรวดเร็ว อาจทำให้นักลงทุนอดใจไม่ได้เพราะกลัว "ตกรถ" โดยหารู้ไม่ว่ารถคันนั้นอาจถอยหลังมาทับคนที่ตามขึ้นไปทีหลังเมื่อไหร่ก็ได้ นักลงทุนที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนให้อยู่เหนือฝูงชนได้จะมีความได้เปรียบในสถานการณ์เช่นนี้
อันดับสอง การลงทุนในสายการบินยูเอสแอร์ (U.S. Air) บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิในปี 1989 เนื่องจากผลตอบแทนของเงินปันผลที่สูงรวมทั้งการเติบโตที่ดีของรายได้และกำไรของสายการบินในช่วงที่ผ่านมา แต่ท้ายที่สุดการลงทุนในยูเอสแอร์กลายเป็นฝันร้าย เมื่อบริษัทไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้แม้กระทั่งหุ้นบุริมสิทธิที่บัฟเฟตต์ถืออยู่ สุดท้ายแม้จะขายหุ้นที่มีอยู่ออกไปได้หลังจากพยายามขายอยู่นาน แต่ก็ทำให้เขาขยาดหุ้นสายการบินไปอีกนาน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขารู้ว่าการลงทุนกับบริษัทที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงอย่างสายการบินซึ่งต้องใช้เงินซื้อเครื่องบินใหม่ๆ มาเพื่อขยายเส้นทางบิน เมื่อเงินสดไม่พอต้องกู้เงินมาลงทุน สุดท้ายผู้ถือหุ้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการขยายตัวของรายได้และกำไรเลย
อันดับสาม การลงทุนในบริษัท เดกเตอร์ ชูวร์ (Dexter Shoes) ในปี 1993 ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรองเท้ารายใหญ่ในอเมริกาโดยการแลกหุ้นกับบริษัทเบิร์กไชน์ในเวลานั้น หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ปี ธุรกิจรองเท้าของบริษัทเดกเตอร์ ชูวร์ถูกสินค้าที่ผลิตจากจีนและประเทศอื่นๆ เข้ามาแย่งตลาดเนื่องจากสินค้าของบริษัทไม่มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน (Competitive Advantage) ทำให้ถูกแย่งลูกค้าไปได้อย่างง่ายดาย สำหรับการลงทุนในบริษัทนี้ บัฟเฟตต์ประเมินความเสียหายจากราคาหุ้นของเบิร์กไชน์ที่ใช้ในการเข้าซื้อหุ้นของเดกเตอร์ชูวร์ไว้ที่ $3.5 พันล้านเหรียญ (กว่า 1 แสนล้านบาท) สิ่งที่เขาเรียนรู้จากข้อผิดพลาดครั้งนั้นคือการซื้อธุรกิจที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ถึงแม้บริษัทจะไปได้ดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวแล้วธุรกิจจะไม่สามารถรักษาอัตรากำไรที่สูงเช่นเดิมได้ คู่แข่งจะค่อยๆ เข้ามาในตลาดเนื่องจากความน่าดึงดูดในการเติบโตของรายได้และกำไรของอุตสาหกรรมนั้นๆ ในช่วงหลังๆ บัฟเฟตต์จะเลือกซื้อหุ้นในธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทโคคา-โคลา วอลมาร์ท หรือยิลเลตต์ เป็นต้น
สำหรับนักลงทุนทั่วไปจะเห็นว่าแม้แต่นักลงทุนระดับ "เทพ" อย่างบัฟเฟตต์ยังลงทุนผิดพลาดได้ ดังนั้นไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาดในตลาดหุ้น เพียงแต่ข้อแตกต่างระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จกับล้มเหลวอยู่ที่การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นแล้วเริ่มต้นใหม่แทนที่จะถอดใจโทษตัวเองแล้วออกจากตลาดหุ้นไป หรือไม่ก็ทำผิดพลาดเช่นเดิมซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา
from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/ceo-blogs/viboon/20100301/103353/ข้อผิดพลาดของบัฟเฟตต์.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น