โลกทั้งใบ ในชาแก้วเดียว โดย หนูดี วนิษา เรซ
ในเส้นทางแห่งการเรียนรู้ วิธีการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายทว่าลึกซึ้งแบบเซนสอนอะไรให้เรามากมาย
บางครั้งการเปลี่ยนแปลงชีวิตและยกระดับความคิดนั้น เราแทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอะไรมากมายเลย แค่เปลี่ยน “ท่าทีกระทำ” ต่อสิ่งที่เราเรียกว่าชีวิตก็แทบจะเพียงพอแล้ว
หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ตั้งคำถามว่า “เวลาดื่มชา เห็นก้อนเมฆไหม” หนูดีได้เห็นคำถามนั้นในหนังสือของท่านก็เลยลองดื่มชาแล้วจินตนาการเห็นก้อนเมฆลอยฟ่องอยู่ในแก้วชา แล้วก็ปลื้มอกปลื้มใจว่าเราปฏิบัติได้ไม่เลวเลยนะนี่
จนมารู้ตัวว่าหลงตัวเองผิดไปก็ตอนได้เข้าร่วมงานภาวนากับหลวงปู่แล้วได้รับฟังธรรมบรรยายเรื่อง “ก้อนเมฆในแก้วชา” ด้วยตัวเอง ลองคิดตาม จินตนาการตามคำหลวงปู่ไปเรื่อย แล้วก็ได้มองเห็นในสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าแค่ “รูปทรงก้อนเมฆ” ในแก้วชาเป็นไหนๆ
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ภูเขาลูกหนึ่งในภาคเหนือ ฝนตกกระหน่ำลงมา บนไร่ชาที่ยอดเขา จนต้นชาชุ่มฉ่ำเพราะได้รับน้ำฝนเต็มที่ตอนกลางคืน และพอรุ่งเช้าต่อมา คนงานในไร่ชาก็แบกตะกร้าขึ้นหลังออกมาเก็บยอดชาอ่อนแต่เช้าตรู่เพื่อนำไปบ่มในโรงงาน
คนงานเก็บชากันไปก็คุยเล่นกันไป บางคนเอาลูกอ่อนออกมาด้วย เพราะไม่มีใครเลี้ยงที่บ้าน เก็บชาเสร็จนำใบชาสดไปเข้าโรงบ่ม เมื่อบ่มเสร็จคนงานอีกชุดก็บรรจุกล่อง คนขับรถนำกล่องชาลงมาเพื่อวางขายที่ร้านในเมืองหลวง และเราก็เดินไปซื้อมา
เมื่อกลับมาบ้าน เราเปิดน้ำใส่กาน้ำชา น้ำนี้เดินทางมาจากแม่น้ำ ก่อนจะมาให้เราดื่มได้ ก่อนน้ำจะอยู่ในแม่น้ำ ก็ต้องเป็นน้ำฝน ก่อนเป็นน้ำฝนก็คือก้อนเมฆ แต่ก้อนเมฆก็มีการเดินทางก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในแก้วชาของเรา
ทุกครั้งที่เราดื่มชา ถ้าเราพิจารณาอย่างลึกซึ้ง เราก็จะเห็นก้อนเมฆในนั้นทุกครั้ง แค่นี้ก็กระจ่างว่า โลกทั้งโลก หล่อเลี้ยงเรา และโลกดำรงอยู่ได้เพราะจักรวาลทั้งจักรวาลดำรงอยู่
นั่นหมายความว่า จักรวาลทั้งจักรวาลนั้น หล่อเลี้ยงเรา เรากับจักรวาล ไม่ใช่หน่วยที่แปลกแยกต่อกันและกัน แต่ดำรงอยู่ในกันและกัน
ดื่มชาแบบนี้ เราจะเห็นได้ว่า เราไม่ใช่หน่วยที่แยกออกมาอย่างโดดเดี่ยว เราไม่มีความจำเป็นต้องเหงา หรือรู้สึกว่างเปล่าอีกต่อไป เพราะตัวเราไม่อาจแยกจากจักรวาลได้ เราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เหมือนที่ทุกอณูของจักรวาลก็ปรากฏอยู่ในตัวเรา
นี่เป็นการมองอย่างลึกซึ้ง เป็นการมองอย่าง “จริง” และเป็นวิทยาศาสตร์
ถ้าจักรวาลดับสลายลงนาทีนี้ เราก็ต้องดับสลายลงเช่นกัน แต่ความจริงก็คือ เรายังดำรงอยู่ และทุกนาทีที่ผ่านไป เราก็เป็นหนี้บุญคุณจักรวาลที่ส่งสิ่งดีๆ มาให้เราอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่จักรวาลไม่เคยทวงถาม บางครั้งเราก็เลยลืมไป
ลองสังเกตสิ่งที่มีบุญคุณที่สุดกับชีวิตเราสิคะ เขาจะเงียบที่สุด ไม่เคยทวงถามเลย เหมือนกับพ่อแม่ที่ไม่เคยทวงบุญคุณอะไรเราเลย หรือทวงก็น้อยที่สุด เทียบกับสิ่งอื่นหรือคนอื่น บางครั้งทำอะไรให้เราเพียงน้อยนิดก็ทวงบุญคุณอยู่นั่นเอง หรือทำให้เรารู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณเสียมากมาย
หากเราฝึกมองอย่างนี้บ่อยเข้า เราจะเข้าสู่ภาวะจิตแห่งความรู้สึก “ขอบคุณอย่างลึกซึ้ง” เพราะเราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า จักรวาลทั้งจักรวาล โลกทั้งโลก ดำรงอยู่เพื่อหล่อเลี้ยงเรา และทุกการกระทำของเรามีผลต่อโลกและจักรวาล
นี่คือโลกที่ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน มีแต่ “เรา”
นักธุรกิจที่คิดได้ขั้นนี้ จะไม่มีวันก่อสร้างธุรกิจที่มีพื้นฐานบนการเบียดเบียน ทำลายโลก ทำลายสิ่งแวดล้อม เอาเปรียบ ตบตา เพราะเขารู้ว่า ทุกสิ่งที่เขาทำออกไป ท้ายที่สุดแล้วก็จะย้อนกลับมาเป็นสภาพแวดล้อมในโลกนี้ ที่เขาต้องอาศัยอยู่เช่นกัน
โลกนี้มีธุรกิจมากมายที่ให้ผลตอบแทนดีอย่างมหาศาล โดยที่ระหว่างเราทำธุรกิจ เรามีโอกาสยกระดับจิตใจตัวเองขึ้นไปด้วย และยังทำให้โลกดีไปพร้อมกันได้ ไม่ใช่ปล่อยให้จิตใจตกต่ำ เต็มไปด้วยความวิตกกังวล เจ็บแค้น หรือ เครียดกลัว และเอาเปรียบคนอื่นไปตลอดเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง
กษัตริย์ที่ดี ไม่มีวันยอมนั่งอยู่บนบัลลังก์เปื้อนเลือดเช่นใด นักธุรกิจที่มีคุณค่าจะไม่มีวันยอมเป็นเจ้าของกิจการที่ได้มาด้วยการลดระดับจิตใจตัวเองเป็นอันขาด เช่นเดียวกัน
ธุรกิจที่ดูแลและตอบแทนโลก ก็ย่อมจะได้รับการดูแลและตอบแทนกลับมาจากโลกเช่นกัน แต่ก่อนจะก้าวไปถึงขั้นนั้น หนูดีขอเชิญชวนทุกท่านมาล้อมวงดื่มชากันอย่างมีสติลึกซึ้ง แล้วจะเห็นได้ว่าโลกทั้งใบ อาศัยอยู่ในชาเพียงแก้วเดียว
from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20100131/97295/โลกทั้งใบ-ในชาแก้วเดียว.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น