“เดนตาเมท” ยาสีฟันสมุนไพรไทย ฝีมือวิศวกรหนุ่ม
“ยาสีฟันเป็นสินค้าอุปโภคที่มีเสน่ห์ที่สุด”
ในความเห็นของคุณประพันธ์พงษ์มองว่า ตลาดยาสีฟันมีช่องว่างในการตลาดมาก มีคู่แข่งรายใหญ่ใช้โรงงานมาตรฐานผลิตทีละจำนวนมากๆ ขณะที่รายเล็กจะมีลักษณะเป็น OTOP
ถ้าเทียบกับสินค้าอุปโภคอย่างอื่น เช่น สบู่ แชมพู ซึ่งมีจำนวนผู้ประกอบการมากมายนับไม่ถ้วน ช่องว่างทางการตลาดมีน้อยมาก “ยาสีฟันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องสัมผัสกับลิ้น ต้องเอาเข้าปาก ซึ่งมันสร้าง Loyalty ได้มากกว่า คือ การสัมผัสมันไม่ใช่ภายนอก มันเหมือนกับต้องเข้าปาก เพราะฉะนั้นผู้ใช้จะรับรู้ ได้ดีกว่าสบู่หรือแชมพู เห็นผลได้ดีกว่า เลยคิดว่าตัวยาสีฟันน่าสนใจก็เลยตั้งโจทย์ไว้ว่าเป็นยาสีฟัน” เห็นได้ชัดว่าเขา มีความลึกซึ้งกับธุรกิจและกำลังหลงเสน่ห์
ความโชคดีของคุณประพันธ์พงษ์ที่มีคุณพ่ออยู่ในวงการ Consumer product มากว่าสามสิบปีทำให้ได้รับการช่วยเหลือในเรื่องของการพัฒนาสินค้า โดยใช้ทีมนักวิจัย ซึ่งเป็นเครือข่ายของคุณพ่อมาช่วยในการวิจัยพัฒนาสูตรนานเกือบ 2 ปี จึงออกมาเป็นยาสีฟันในแบบที่ คุณประพันธ์พงษ์ต้องการความฝันในการมีธุรกิจเป็นของตัวเองเริ่มใกล้ความจริง
จุดเด่นของ "เดนตาเมท" เป็นยาสีฟันสูตรผสมสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ ผลิตจากสารสกัดเข้มข้นพิเศษสมุนไพรธรรมชาติรวม 5 ชนิด ผ่านกรรมวิธีการผลิตตามมาตรฐาน GMP, HALAL ซึ่งล้วนแต่มีคุณประโยชน์ต่อช่องปากทั้งสิ้น ได้แก่ กานพลู ช่วยระงับเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติและมีส่วนช่วยบำร ุงรักษารากฟัน, ใบฝรั่ง ช่วยลดกลิ่นปาก และลดการอักเสบของเหงือก, ว่านหางจระเข้ ช่วยบำรุงเนื้อเยื่อในช่องปาก และรักษาแผลในช่องปาก, การบูร ช่วยบำรุงเส้นประสาทรากฟัน, พิมเสน ช่วยเพิ่มความสดชื่นและลดการอักเสบของเหงือก และเกลือบริสุทธิ์โซเดียมคลอไรด์ ช่วยบำรุงรักษาเหงือก อีกทั้งสารทำความสะอาดฟันใช้ไมโครซิลิก้า สารทำความสะอาดฟันที่โมเลกุลเล็กระดับไมครอน (1/1,000,000 เมตร) และกลมมน ทำความสะอาดฟันและขจัดคราบต่างๆบนผิวฟันได้ดี โดยไม่ทำลายเคลือบฟัน
ประการสำคัญคือ ยาสีฟันไม่มีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาล เพื่อเพิ่มปริมาณและแต่งรสชาติ ซึ่งแป้งและน้ำตาลในยาสีฟันจะเป็นแหล่งสะสมและเป็นแห ล่งอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุหลักข องกลิ่นปากและฟันผุ จึงทำให้ใช้ยาสีฟันครั้งละ เพียงเท่าเม็ดพริกไทย เท่านั้น
แม้จะมีพื้นฐานในครอบครัวคนจีนที่ทำการค้ามาก่อน แต่หนุ่มวิศวะอย่างเขาก็ดูจะห่างไกลจากทักษะด้านการค้าขายอย่างมาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นลูกไม้หล่นไกลต้นของครอบครัว แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค ใหญ่ของการทำธุรกิจ เพราะเขามีความกล้า มุ่งมั่น ตั้งใจสูง ลุยแหลกกับทุกสิ่งที่ขวางหน้า
“การทำธุรกิจตั้งแต่ อายุยังน้อยมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง คือ1. กำลังทางด้านร่างกาย มันสมอง กล้าลุย มีความพร้อม และ 2. ภาระยังไม่เยอะ ยังไม่มีภาระอะไร เพราะฉะนั้นยังทุ่มเทให้กับการทำงานได้”
เอาเข้าจริง คุณประพันธ์พงษ์ก็ไม่ใช่ว่าจะด้อยทักษะทางด้านการค้าขาย ย้อนกลับไปเมื่อสมัย ที่เขาเรียนจบวิศวะ เขาร่วมกับเพื่อนเปิดโรงเรียนกวดวิชาสอนพิเศษด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มีมา
“ผมมีทักษะส่วนตัว คือ สอนพิเศษได้ ได้เงินเก็บประมาณหลักแสนบาท ตอนอยู่ปี 4 พอเรา จบออกมาความรับผิดชอบเรายังน้อย เรามีเวลาเยอะ เลยคิดว่าเราเปิดโรงเรียนสอนพิเศษดีกว่าคือ ผมอยากลอง”
“พอเริ่มทำ...วิธีคิดการทำงานของเราก็เปลี่ยน”
ความอยากรู้ อยากลองดู เป็นประตูให้คุณประพันธ์พงษ์เข้าไปเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ด้วยตัว ของเขาเอง “พอทำค่าใช้จ่ายมาแล้วรู้เลย แต่ก่อนขอเงินพ่อแม่อย่างไรก็ต้องมีข้าวกิน พอทำงานรู้เลยว่า เปลี่ยนทันที”
คุณประพันธ์พงษ์ทำโรงเรียนกวดวิชามา 3 ปีประสบความสำเร็จ ประสบการณ์ชีวิตแบบนี้สอนเขา ด้วยตัวเอง ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของผู้ประกอบการเองว่า เป็นอย่างไรหลังจากที่เพียงเคยเห็นแค่ ครอบครัวทำ “อันนี้สำคัญ พอเริ่มทำวิธีคิดของการทำงานเราก็เปลี่ยน พอเรามาทำตรงนี้เหมือนเรามีฐาน ของเราอาจจะลงทุนไม่เยอะเป็นแค่หลักแสน นี่ก็เป็นทักษะอีกอันที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องมีไม่อย่างนั้น จะประสบความสำเร็จยาก”
เมื่อมีประสบการณ์เป็นทุน ไฟกำลังแรง คุณประพันธ์พงษ์ จึงมุ่งมั่นทำธุรกิจที่เขาหลงเสน่ห์อย่างเต็มที่ ลาออกจากงานประจำ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทุ่มเทให้กับการฟูมฟักยาสีฟัน ที่เปรียบเสมือนลูกคนแรกของเขา
คุณประพันธ์พงษ์เข้าร่วมโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมชื่อว่าโครงการ NEC ซึ่งทำให้ มีรายชื่ออยู่ในข้อมูลขององค์กรภาครัฐ เพื่อการเชื่อมต่อกับองค์กรส่งเสริมอุตสากรรมทั้งของรัฐและเอกชนอื่นๆ และทำให้ได้รับคำแนะนำให้มาพบกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
“ทุกอย่างก้าวกระโดด จากเบสิกทุกอย่างเป็นศูนย์ พอเข้าปุ๊ปเราเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างเป็น อย่างไรบ้าง พอเราเข้าโครงการศูนย์บ่มเพาะธุรกิจของ สสว. ก็พลิกเลย เป็นก้าวกระโดดเลย”
คุณประพันธ์พงษ์ได้รับความรู้ทางวิชาการ ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน จากวิทยากรที่เป็นทั้งอาจารย์ และนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมากมาย ซึ่งได้ถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งทางทฤษฎี และปฏิบัติได้เครือข่ายของกลุ่มอาจารย์ซึ่งมีประสบการณ์จริงในการขยายช่องทาง จนทำให้เขาเกิด และค้นพบว่าสิ่งที่เขาขาดมาตลอดในการทำธุรกิจ คือ การโฟกัสสินค้า
“ไม่โฟกัสก็จะไม่สำเร็จสักตัว เราจึงเลือกโฟกัสตัวเดียว คือ ทำมา 3 ปีแต่เราทำแค่ตัวเดียว”
คุณประพันธ์พงษ์ คิดว่าสินค้าของบริษัท SMEs ไปคิดขายถูกไม่ได้เพราะไม่สามารถต้านทานการประชาสัมพันธ์ เขาจึงกำหนดให้สินค้าของเขา เน้นคุณภาพ มีราคาสูง ขายให้กลุ่มลูกค้าเฉพาะ “ที่ราคาสูงแต่คุณภาพ ต้องได้ด้วย ไม่ใช่สูงโดย ไม่มีเหตุผลไม่ได้เพราะพวกนี้มันเป็นกลไกลอยู่แล้ว
การวางกลยุทธ์ในการขายยาสีฟันของเขา คือ การทุ่มทรัพยากรทุกอย่างลงไปที่สินค้าตัวเดียว และเขาใช้เวลา 6 เดือน เพื่อขึ้นเป็น Best seller ในหมวดสินค้าของใช้ในโกลด์เด้นเพลสซึ่งนั่นทำให้ สามารถยืนยันได้ว่าถ้าสินค้าไม่ดีจริงขายไม่ได้ เขาเชื่อว่าประสิทธิภาพการทำการตลาดแบบปากต่อปาก
“การเป็นหัวสุนัข...ดีกว่าการไปเป็นหางมังกร”
จะทำให้สินค้าถูกพูดถึงมากขึ้นโดยเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต “ต่อไปที่เราจะเข้า คือ Tops supermarket เพราะ เรามี Reference ที่ดี การเป็นหัวสุนัขดีกว่าเป็นหางมังกร เพราะเรามีทางเลือกไม่มากนักเราจะต้อง ไปเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มเล็กๆ ดีกว่าไปเป็นลิ่วล้อ”
คุณประพันธ์พงษ์ ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในการเป็นผู้บริหารที่มีอายุเพียง 31 ปี “วันนี้การที่เราทำอะไรก็แล้วแต่ เราเก่งแค่อย่างเดียวดีกว่า คล่องตัวกว่าเราสามารถควบคุมคุณภาพ ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า”
ทุกวันนี้ใครๆ ก็โหนกระแส กระแสไหนแรงคนก็แห่ไปทำธุรกิจนั้นจนแน่นล้นไม่มีที่ว่างสำหรับ อะไรที่แตกต่างเพราะใครๆ ก็อยากรวยแต่วันนี้ขุมทรัพย์จะเกิดขึ้นจากการค้นพบช่องว่างในทางธุรกิจ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเจอก่อนกัน
from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000064358
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น