จากข้อมูลในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2553 พบว่าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) กว่า 5.22 หมื่นล้านบาท มีจำนวนบริษัทจดทะเบียน 65 ราย โดยนับจากต้นปีพบว่า mai Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 25%
ขณะที่ Performance ของบริษัทจดทะเบียนในงวด 9 เดือนแรกพบว่า 63 บริษัทที่ส่งงบการเงินสามารถทำกำไรสุทธิรวม 1,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% และมียอดขายรวม 39,886 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า
ในจำนวนนี้ M&W ได้คัดเลือก 10 บริษัทจากตลาดหลักทรัพย์ mai โดยพิจารณากลุ่มที่มีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุดในช่วงปี 2553 ซึ่งพบว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราเงินปันผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในช่วงดังกล่าวซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3.35% สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดในการประเมินมูลค่าหุ้นว่ามีผลตอบแทนกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นอย่างโดดเด่น
หุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงสุด 10 อันดับแรก * |
หุ้น
|
อัตราเงินปันผลตอบแทน (%)
|
กำไรสุทธิ (ล้านบาท)
|
ROE (%)
|
P/BV (เท่า)
|
P/E (เท่า)
| ||
2551
|
2552
|
9 เดือน/2553
| |||||
SALEE
|
11.89
|
41
|
97
|
71.40
|
14.77
|
1.80
|
11.85
|
TRT
|
8.96
|
204
|
221
|
117.22
|
27.79
|
1.62
|
6.64
|
UBIS
|
8.30
|
57
|
70
|
60.40
|
28.07
|
3.77
|
12.94
|
JUBILE
|
7.95
|
52
|
60
|
72.78
|
30.20
|
3.14
|
11.65
|
2S
|
7.86
|
113
|
92
|
70.54
|
13.37
|
1.11
|
8.46
|
DM
|
7.35
|
39
|
38
|
35.61
|
22.13
|
1.56
|
7.41
|
QLT
|
7.02
|
57
|
70
|
34.44
|
23.98
|
2.43
|
10.56
|
GFM
|
6.94
|
342
|
248
|
187.03
|
24.82
|
1.88
|
7.99
|
ILINK
|
6.72
|
102
|
115
|
22.35
|
9.14
|
1.17
|
12.84
|
BOL
|
6.68
|
75
|
70
|
44.21
|
33.48
|
5.11
|
15.51
|
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมายเหตุ : * ข้อมูล ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2553 |
SALEE ปันผลสูงสุด 11.89%
เริ่มกันที่ บมจ.สาลี่อุตสาหกรรม (SALEE) เป็นบริษัทที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลตอบแทนสูงสุดถึง 11.89% โดยการจ่ายปันผลในระดับสูงเช่นนี้เป็นผลจากแนวโน้มการทำกำไรที่ดีขึ้นของบริษัท
โดยในปีที่ผ่านมา SALEE มีการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทสูงขึ้น ตั้งแต่การตัดสินใจขาย “เอสซี วาโด” บริษัทย่อยที่ทำธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการโดยรวมของ SALEE
นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศร่วมทุนกับ Pago Holding AG (PAGO) ผู้ผลิตฉลากผลิตภัณฑ์และเครื่องติดฉลากจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดย PAGO เข้าถือหุ้นในบริษัทลูกและเปลี่ยนชื่อเป็น “พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง” ส่งผลให้ SALEE มีโอกาสขยายธุรกิจการผลิตฉลากสินค้าไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น มีการนำเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ รวมถึงเพิ่มโอกาสในการรับงานจากลูกค้ากลุ่มบริษัทข้ามชาติ
สำหรับโครงสร้างธุรกิจใหม่นี้ นักวิเคราะห์พากันคาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของ SALEE จะมีเสถียรภาพและทรงตัวในระดับสูงมากขึ้น รวมถึงมีโอกาสสูงที่กำไรจะปรับตัวสูงจากอดีตอย่างต่อเนื่อง
TRT หุ้นสู้วิกฤติ
ผลกำไรงวด 9 เดือนแรกของ บมจ.ถิรไทย (TRT) อยู่ที่ 117.22 ล้านบาท จากรายได้รวม 1,132 ล้านบาทซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของธุรกิจตามปริมาณการส่งมอบงานที่ดีขึ้นหลังจากต้องเผชิญกับวิกฤติการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ลูกค้าส่วนใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอการส่งมอบงานออกไป อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างโดดเด่นในปีที่ผ่านมา โดยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อผู้ถือหุ้นสูงเป็นอันดับ 2 คือ 8.81%
TRT ทำธุรกิจด้านการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นหุ้นตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง จุดเด่นของธุรกิจนี้อยู่ที่ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าของคนในประเทศซึ่งส่งผลต่อดีมานด์การใช้หม้อแปลงไฟฟ้าด้วย สำหรับปีนี้ปัจจัยหนุนของ TRT คือปริมาณงานในมือที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 1.4 พันล้านบาท รวมถึงการขยายงานไปยังต่างประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทในระยะยาว
UBIS รายได้ยังเติบโต
บมจ.ยูบิส (เอเชีย) (UBIS) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางเคมีคุณภาพสูงชนิดพิเศษ โดยมีธุรกิจหลักคือแล็คเกอร์เคลือบกระป๋อง และยางยาแนวฝากระป๋องซึ่งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตกระป๋องโลหะสำหรับบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และภาวะการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องที่ลดลงส่งผลให้กำไรในไตรมาส 3 ปรับตัวลดลง
แต่ในงวด 9 เดือน พบว่ารายได้รวมยังคงเติบโต 12% อยู่ที่ 466.54 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 60.4 ล้านบาท โดยบริษัทรั้งตำแหน่งบริษัทที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงเป็นอันดับ 3 ของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่ 8.30%
JUBILE กำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์
JUBILE หรือ บมจ.ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ ทำผลงานได้ดีเป็นประวัติการณ์ในปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทขยายสาขาเป็น 77 แห่งขณะที่ยอดขายในสาขาเดิมยังเติบโตในระดับสูงส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาการเป็นผู้นำตลาดขายเครื่องประดับผ่านเคาน์เตอร์เป็นอันดับหนึ่งไว้ได้
โดยปีนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีมุมมองที่ดีต่อหุ้น JUBILE โดยคาดว่าจะได้แรงหนุนจากการแข็งค่าของเงินบาทที่ส่งผลให้มีต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบที่ลดลง รวมถึงการขยายตัวของการบริโภคในประเทศที่จะมีผลต่อการเติบโตของรายได้และกำไร ซึ่งปีนี้บริษัทยังมีแผนขยายสาขาเป็น 90 แห่ง รวมถึงการออกสินค้าใหม่สำหรับลูกค้าหลายกลุ่มซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดขายในปีนี้ให้เติบโตได้ดีอีกทางหนึ่ง
2S ผลประกอบการตก แต่อัตราปันผลสูง
บมจ.2 เอส เมทัล (2S) (ชื่อเดิม : บมจ.เซาท์เทิร์นสตีล) เป็นอีกหนึ่งหุ้นกลุ่มเหล็กที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากยอดขายที่ลดลงในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทมีกำไรงวด 9 เดือนปี 2553 เท่ากับ 70.54 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 87.26 ล้านบาท
โดยพบว่าบริษัทได้รับผลกระทบหนักในช่วงไตรมาส 3 จากปริมาณการขายที่ลดลงซึ่งมีสาเหตุมาจากแนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์เหล็กที่ปรับตัวลดลงและทำให้มียอดการสั่งซื้อสินค้าชะลอตัว บวกกับภาวะค่าเงินบาทแข็งค่าส่งผลให้ลูกค้าต่างประเทศชะลอคำสั่งซื้อสินค้าออกไป อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงเป็นอันดับ 5 ที่ 7.86 %
DM รายได้และกำไรสม่ำเสมอ
บมจ.ธนมิตร แฟคตอริ่ง (DM) ประกอบธุรกิจแฟคตอริ่งหรือธุรกิจบริหารลูกหนี้การค้าโดยมีลูกค้าหลักคือผู้ประกอบการกลุ่มโมเดิร์นเทรด ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับแรงหนุนจากสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวส่งผลให้มูลค่าการรับซื้อเอกสารเพิ่มขึ้นและมีกำไรสุทธิเติบโตในระดับสูงคือ 35.61 ล้านบาทใกล้เคียงกับกำไรสุทธิของปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ DM ถือเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการค่อนข้างสม่ำเสมอเนื่องจากมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าที่มีความสัมพันธ์กันมายาวนานอย่างกลุ่ม CPN ประกอบกับความสามารถในการบริหารความเสี่ยงส่งผลให้ระดับหนี้เสียค่อนข้างต่ำ ส่งผลให้ DM มีการจ่ายเงินปันผลต่อผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องโดยคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 7.35 %
QLT คาดกำไรฟื้นตัวในปี 2554
บมจ.ควอลลีเทค มีอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 7.02 % เป็นอันดับ 7 ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ โดยปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจด้านงานบริการตรวจสอบวิศวกรรมให้แก่บริษัทในธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี นักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการในปี 2553 ที่เริ่มเห็นเทรนด์การฟื้นตัวสะท้อนโอกาสในการโตต่อเนื่องในปีนี้
โดยคาดว่าธุรกิจบริการทดสอบและตรวจสอบทางวิศวกรรมจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมในปีนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ปัญหาในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดคลี่คลายลงไป ทั้งนี้ผู้บริหารให้ภาพรวมว่าในปีนี้ บริษัทมีงานในมือที่จะรับรู้ได้ราว 200 ล้านบาท นอกจากนี้ QLT ยังได้เข้าประมูลโครงการท่อส่งก๊าซที่ 4 ของ ปตท. มูลค่า 140 ล้านบาท ซึ่งหากบริษัทได้รับการคัดเลือกก็จะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2554 – 2555
GFM ลงทุนเพิ่มรับโอกาส
บมจ. โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกเครื่องประดับอัญมณี มีกำไรสุทธิงวด 9 เดือนปีที่แล้ว เท่ากับ 187 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าจากปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ปีนี้ แม้บริษัทยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และทิศทางราคาวัตถุดิบทองและเงินในตลาดโลกซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมาจนส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงก็ตาม
แต่หากพิจารณาจากการลงทุนขยายกำลังการผลิตในโรงงานแห่งใหม่เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาสะท้อนว่าบริษัทมีโอกาสรับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทยังมีแผนออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่และบุกตลาดแถบยุโรปและอเมริกาเหนืออย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ GFM เป็นอีกบริษัทที่น่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องในปีนี้
ILINK ลุ้นฟื้นตัวจากงานประมูลปี 2554
แม้ว่าผลประกอบการของ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK) งวด 9 เดือนปีที่แล้ว จะออกมาต่ำอย่างน่าตกใจ โดยบริษัทมีกำไรเพียง 22.35 ล้านบาท แต่มุมมองของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างให้เครดิตว่า ILINK จะสามารถพลิกกลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้ง เริ่มจากไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่จะทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจ Engineering เพิ่มขึ้น
ขณะที่ปีนี้ บริษัทมีแผนเข้าประมูลงานในหลายโครงการ มูลค่ารวมราว 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงด้านแนวโน้มการได้รับงานประมูลและความล่าช้าของการประมูล แต่ผู้บริหารก็ตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ไว้ที่ 1,435 ล้านบาท จาก 3 กลุ่มงานหลักคือ Distribution, Engineering และ Telecom
BOL ลงทุนเพิ่มรับการเติบโต
อันดับ 10 หุ้นปันผลเด่นตกเป็นของ บมจ.บิซิเนส ออนไลน์ (BOL) ซึ่งมีอัตราการจ่ายปันผลที่ระดับ 6.68 % แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่งานด้านการบริหารข้อมูลข่าวสารได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำส่งผลให้ 9 เดือนแรกปีที่แล้ว บริษัทมีกำไรเพียง 44.2 ล้านบาท
แต่ผู้บริหารคาดว่าโดยภาพรวม BOL จะเติบโต 10% จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้บริษัทยังมีการลงทุนเพิ่มเติมด้วยการตั้งบริษัทย่อยซึ่งมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟท์แวร์สำหรับงานวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มโอกาสและลดความเสี่ยงทางด้านธุรกิจ รวมถึงการวิจัยเพื่อนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ ใช้ร่วมกับกับฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อสนองความต้องการของตลาดในอนาคต
from http://is.gd/ixmbvk
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น