เอสเอ็มอีน้อยรายที่จะพะยี่ห้อความสำเร็จ ด้วยคำว่า "เศรษฐี" เบื้องหลังคือ กลยุทธ์ที่เคี่ยวกรำ ที่สำคัญต้องคิดต่าง เหมือน 3 กรณีศึกษา
เธอ คือ เจ้าของร้านวัสดุก่อสร้างภูธร เรียนน้อย ทุนน้อย แต่ความคิดใหญ่ เดินหน้า บู๊แหลก ไม่หวั่นกับอุปสรรคปัญหา จนร้านห้องแถวเล็กๆ ขยับสู่ธุรกิจค้าปลีก-ส่ง วัสดุก่อสร้าง มีมูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท !
เขา คือนักสร้างความแตกต่าง ผู้เข้ามาปฏิวัติ “โรงรับจำนำ” ให้กลายเป็นสถาบันการเงิน ที่ได้เงินง่าย ไว้วางใจได้ ในบรรยากาศสุดทันสมัยไม่ต่างจากธนาคาร แม้นักธุรกิจใส่สูทก็มาใช้บริการได้ ขึ้นทำเนียบเศรษฐีไปพร้อมกับความต่าง !
เขาคือ คนหนุ่มไฟแรง ผู้พิชิตธุรกิจพันล้าน ในวัยไม่ถึง 30 ปี !
นี่คือวิถี Millionaire ที่เริ่มต้นจาก แค่ 3 คำสั้นๆ คือ "เก่ง-เฮง-กล้า"
วิธีคิดสุดเฉียบ กับเรื่องเล่าสู่เส้นทางเศรษฐี ของ 3 “ตัวแม่” แห่งแวดวงธุรกิจ อย่าง “ซ้อเป็ด - นาตยา ตั้งมิตรประชา” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท อุบลวัสดุ จำกัด ธุรกิจค้าปลีก-ส่ง วัสดุก่อสร้าง อุบลวัสดุ และ Do Home “สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด ธุรกิจโรงรับจำนำ Easy Money และ “แม่สาย ประภาสะวัต”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม เอส แฟคตอรี่ จำกัด ธุรกิจระบบแก๊สติดรถยนต์ยี่ห้อ Versus ที่แทคทีมมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์รวย ในงานสัมมนาประจำปี SCB SME “เคล็ด (ไม่)...ลับ สู่ความสำเร็จ ปี 2” ตอน “คิดต่าง สร้างเศรษฐี”
บทเรียนชีวิตและประสบการณ์ธุรกิจ ที่พร้อมชี้ทางสว่างให้ผู้ประกอบการบ้านเรา ได้เข้าใกล้คำว่า “เศรษฐี” เข้าไปทุกที
“ผมมองว่า โรงรับจำนำคือสถาบันการเงินที่เก่าแก่ เป็นที่พึ่งของคนที่ต้องการสภาพคล่อง”
“สิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด เปิดมุมคิดต่างของเขา ก่อนเข้ามาปฏิวัติโรงรับจำนำ ให้กลายเป็นสถาบันการเงินลุคทันสมัย นาม “Easy Money”
โรงรับจำนำยุคนี้ ต้อง โปร่ง สะอาด ไม่อับทึบ ปลอดภัย เชื่อใจได้ คนใช้บริการก็ต้องได้รับความสะดวก สบาย ง่าย รวดเร็ว ไม่ขัดเขิน ฉีกภาพโรงรับจำนำที่ฝังใจคนไทยมาหลายทศวรรษ
“ในวันที่เริ่มธุรกิจ เราวิเคราะห์ตลาดโรงรับจำนำ ข้อดีคือ คนต้องการใช้ แต่อุปสรรค คือ ความไม่มั่นใจ กลัวถูกกดราคา สถานที่ไม่เอื้ออำนวย แล้วเราจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร? โจทย์ของเรา คือ ไม่ได้แค่จะสร้างโรงรับจำนำ แต่เราต้องการสร้างสถาบันการเงินที่เชี่ยวชาญเรื่องการจำนำ”
Easy Money จึงเริ่มภารกิจของพวกเขา ด้วยการเปลี่ยนการรับรู้ของผู้คน ที่มีต่อคำว่า “โรงรับจำนำ” จากศูนย์รวมความอับอาย ใช้บริการแบบหลบๆ ซ่อน มาเป็นสถาบันการเงินที่ดูเป็นมิตร การตีราคาเป็นธรรม เชื่อใจได้ ได้เงินง่าย รวดเร็วทันใจ ตอบคำว่า “Easy” ตามชื่อของพวกเขา
ทำธุรกิจต้องกล้าลงทุน เขาบอกว่าโรงรับจำนำ “จัดเต็ม” ขนาดนี้ ย่อมต้องลงทุนหนักกระเป๋า พวกเขาตัดสินใจซื้ออาคารสำนักงาน สูง 6 ชั้น ใครจะคิดว่าเป้าหมายคือเอามาทำ “โรงรับจำนำ” แต่เขาบอกว่า นี่เป็นการตอบโจทย์สถาบันการเงินที่ลูกค้าเชื่อใจได้ ไม่ต้องหวั่นเรื่องทรัพย์สินจะเสียหาย ระหว่างมาอยู่กับโรงรับจำนำ โดยสามารถสร้างระบบรักษาความปลอดภัยทรัพย์สินมาตรฐานเดียวกับแบงก์ขนาดใหญ่ มี “ห้องวีไอพี” ไว้รับรองลูกค้า มีพนักงานให้บริการที่เป็นมืออาชีพ
“พนักงานจะได้รับการอบรมว่า ไม่ว่าลูกค้าที่เดินเข้ามาจะเป็นใคร มีอาชีพอะไร นำสิ่งใดเข้ามาจำนำ ไม่ว่าจะมีราคามากหรือน้อยแค่ไหน ทุกคนก็คือผู้มีเกียรติ เขาเพียงนำทรัพย์ของเขามาแปลงเป็นเงิน เหมือนเอาของมาฝากเราไว้ แล้วก็เอาเงินไปใช้สร้างสภาพคล่อง เมื่อถึงเวลาก็แค่มารับทรัพย์ของเขากลับคืนไปเท่านั้น”
นั่นคือคำตอบว่าทำไมลูกค้าของพวกเขาถึงครอบคลุมตั้งแต่คนรากหญ้า ไปจนกลุ่มนักธุรกิจที่มีทรัพย์สินล้นเซฟและต้องการนำมาจำนำเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสร้างสภาพคล่องให้กับพวกเขา
ทุกอย่างดูเพอร์เฟกต์ วางหมากไว้แบบไม่มีจุดให้ตัดคะแนน แต่เพียงเปิด Easy Money วันแรก ก็เจอกับเรื่องหวาดเสียว เพราะสิ่งที่ต้อนรับการตัดริบบิ้นของพวกเขา ก็คือลูกค้าเพียง 6 ราย !
แต่การทำธุรกิจไม่ได้อยู่เพียงแค่วันเปิดร้าน ผู้ประกอบการตัวจริงต้องมีน้ำอดน้ำทน เขาบอกว่า ของใหม่ต้องใช้เวลาให้คนได้มาทดลองใช้ หลังจากนั้นก็จะเกิดการบอกปากต่อปาก จนสร้างลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เข้ามาเยอะขึ้น โดยเฉพาะการสร้างความแตกต่าง ทำให้กลายเป็นธุรกิจเนื้อหอมในสายตาสื่อมวลชน จนนำธุรกิจของพวกเขาไปโปรโมทให้ฟรีๆ แบบไม่มีค่าใช้จ่าย
ตามคาถาดึงดูดสื่อที่ “รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา” ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารการตลาด สรุปไว้ให้ใช้ว่า “แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง”
“นี่เป็นกรณีของ ความแตกต่าง แต่ก็ไม่ได้หนีไปจากหลักการที่มั่นคง ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้เกิดความพึงพอใจ มีการแก้ปัญหาให้กับลูกค้า และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค นี่เป็น Blue Ocean Strategy เขาเปลี่ยนการรับรู้ของคน ว่าไม่ใช่โรงรับจำนำแต่เป็นสถาบันการเงินที่เชี่ยวชาญเรื่องการจำนำ เป็นการทะยานออกจากทะเลแดง เข้าไปสู่ทะเลสีคราม แหวกว่ายเพียงตัวเดียวสบายๆ ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้กับใคร” ดร.เสรี สรุปไว้อย่างนั้น
“ถ้าเราจะเติบโตต้องมีพื้นที่ใหญ่ ที่ครบที่ดี เมื่อความคิดใหญ่ พื้นที่ต้องรองรับ..เราต้องแตกต่าง แต่ต้องต่างในสินค้าที่เราชำนาญ”
“ซ้อเป็ด-นาตยา ตั้งมิตรประชา” ซือเจ๊นักบู๊ ผู้ครองอาณาจักรวัสดุก่อสร้างเหยียบหมื่นล้าน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท อุบลวัสดุ จำกัด ธุรกิจค้าปลีก-ส่ง วัสดุก่อสร้าง อุบลวัสดุ และ Do Home เปิดตำนานรบสุดมันของพวกเขา
ซ้อเป็ดเป็นลูกสาวร้านโชห่วยในจังหวัดอุบลราชธานี ไม่ได้การศึกษาสูง เธอว่าทรัพย์ที่พ่อแม่ให้ติดตัวมาก็มีแค่ “ความขยัน อดทน รับผิดชอบ และซื่อสัตย์” เธอแต่งงานและเช่าบ้านไม้ขนาดสองห้องมาขายวัสดุก่อสร้าง ทำกันเล็กๆ สองสามีภรรยา
เธอเชื่อในกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เน้นขายของถูกเป็นตัวดึงดูดลูกค้า จากนั้นก็ค่อยๆ หาซัพพลายเออร์ กระจายผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น โดยได้ซัพพลายเออร์ช่วยเหลือในเรื่องการให้เครดิต ธุรกิจจึงค่อยๆ โตขึ้นมาได้
“มาคิดว่าถ้าเราจะโตได้ ก็น่าจะปล่อยเครดิตให้กับลูกค้า เพราะการขายเงินสดหน้าร้านเราโตช้ามาก การที่เป็นร้านท้องถิ่นทำให้มองออกว่าลูกค้าคนไหนเชื่อถือได้ แต่ไม่ได้ปล่อยเครดิตเรี่ยราด เพราะเราจะเจ๊งเอา แต่โฟกัสไปที่ผู้รับเหมาซึ่งเป็นหน่วยราชการ เพราะโอกาสโกงมีน้อยมาก ราชการเป็นรัฐบาล มีประเทศไหนที่รัฐบาลโกงประชาชนมันเป็นไปไม่ได้ จึงเข้าหากลุ่มนี้”
ซึ่งก็ดูจะได้ผล เมื่อธุรกิจของพวกเขาเติบโตเร็วมาก เรียกว่าก้าวกระโดดจากห้องแถวสองห้อง มาเป็นสี่ห้อง และเพิ่มมาเป็นกว่า 2 ไร่ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี
“จากนั้นก็มาปรึกษากับสามี บอกสามีว่าถ้าเราอยู่อย่างนี้เราไม่รอดแน่ ร้านเราเล็กอยู่ในเมือง ขึ้นของ ลงของ ลำบาก การบริหารจัดการก็เริ่มไม่ไหว เลยคิดออกไปนอกตัวเมืองประมาณ 8 กิโล ใจจริงก็เริ่มเครียดนะ เพราะออกมาไกล และต้องถมที่อีกเยอะมาก แต่เราต้องมั่นใจ มันไกลก็จริง แต่สิ่งที่เราจะทำได้คือ เพิ่มไลน์สินค้าได้มากขึ้นจากเดิมกว่า 2,000 ไอเท็ม ก็ถือว่าเยอะแล้วในสมัยนั้น แต่บอกสามีว่า จะเพิ่มเป็น 4 หมื่นไอเท็ม ...เชื่อแม่ทัพใหญ่สิ แม่ทัพจะพาไปเอง” เธอบอก
การทำงานที่สามีเป็นหน่วยคิด ซ้อเป็นหน่วยบุก เรียกว่าลุยอย่างเดียวไม่กลัวใคร เธอสารภาพว่าจริงๆ หัวใจก็หดเหลือนิดเดียว เพราะเสียงห้ามจากคนรอบข้าง กับคำว่า โอกาสเจ๊งมีสูง ขนาดสถาบันการเงินยังโบกมือลาไม่อยากให้กู้
“คิดว่า ถ้าเราจะใหญ่ ความคิดเราใหญ่ แต่พื้นที่ไม่ใหญ่ เราไม่มีทางใหญ่ได้ ความคิดใหญ่ พื้นที่ก็ต้องรองรับ”
มีร้านใหม่ที่ห่างไกลจากตัวเมือง ซ้อเป็ดเลือกทุบหม้อข้าว หันหลังให้ร้านเก่าที่ติดตลาดไปแล้ว เพื่อมาบุกกับร้านใหม่เต็มที่
จากสถานที่ใหญ่ ร้านใหม่ ลุคทันสมัย สินค้าเยอะ เน้นของถูก ลูกค้าได้รับความสะดวกสบาย บนพื้นที่ 24 ไร่ เพียงปีเศษๆ ก็ซื้อที่เพิ่มอีก 39 ไร่ กลายเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด ของธุรกิจภูธรที่ใครก็มองข้ามไม่ได้ !
“การทำธุรกิจ เราจะทำสองคนไม่ได้ ถ้าไม่มีทีมงานที่ดี เราเริ่มปลูกฝังเด็กของเราว่า การศึกษาไม่ได้เป็นตัวกำหนดที่ไม่ให้คนเราประสบความสำเร็จ การศึกษาเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น แต่การกระทำเป็นสิ่งที่ทำให้เราชนะเป้าหมาย”
นักบู๊แห่งอุบลวัสดุพร่ำสอนทีมงานของพวกเธอ เพราะมองว่านี่คือหัวใจของความสำเร็จในธุรกิจ ณ วันนี้
“ถ้าเราจะลุยไปข้างหน้า ต้องเตรียมคนของเราให้พร้อม เพราะคนเป็นตัวกำหนดว่าเราจะชนะ หรือแพ้ เราต้องมาดูว่าคนของเราเป็นอย่างไร ต้องให้เขา ซื่อสัตย์ ขยัน อดทน และรับผิดชอบ เมื่อเขาเพิ่มจำนวนขึ้น ก็ต้องใช้ระบบที่ดีเข้ามาดูแล”
ในวันที่วิกฤติต้มยำกุ้งเล่นงานธุรกิจในประเทศไทยให้บอบช้ำไปถ้วนหน้า ซ้อเป็ดบอกว่าพวกเธอก็เจอหนัก เพราะไปกู้เงินต่างชาติมา และธุรกิจวัสดุก่อสร้างก็ได้รับผลกระทบสาหัสสากรรจ์ ผู้รับเหมาล้มระเนระนาด ขณะที่ผู้บริโภคสักกี่คนที่จะควักเงินซื้อสินค้าประเภทนี้ในวันข้าวยากหมากแพง... แต่มีเหรอแค่นี้จะทำให้ซ้อท้อ
“เราปิดการสื่อสารทุกอย่าง ไม่รับรู้ เดินหน้าดับเครื่องชนอย่างเดียว คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะประคับประคองลูกน้องไปได้ เพราะลูกน้องคืออนาคต เราเลี้ยงเขามา 10-20 ปี แล้วจะไปไล่เขาออกมันไม่มีเหตุผล ลดอะไรก็ลดได้แต่ลดลูกน้องไม่ได้ เพราะอนาคตยังไปอีกไกล เราต้องใช้พวกเขา”
เธอเริ่มฟื้นพลังใจของลูกน้อง ให้ร่วมกันฟันฝ่าวิกฤติปัญหา เพื่อหาทางเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้น ในยามวิกฤติ
“ตอนนั้นร้านค้าในเมืองทุกร้านกลัวหมด ไม่กล้านำของเข้ามาขาย เขาบอกว่าวิกฤติจะไปขายใคร แต่เราไม่กลัว เพราะในวิกฤติก็มีโอกาส”
และอุบลวัสดุ ก็ได้เห็นโอกาสนั้นจริงๆ เมื่อการบุกตลาดครั้งนี้ ทำให้พวกเขาได้ลูกค้าหน้าใหม่ๆ ทั้ง กลุ่มผู้ใช้ ลูกค้าช่วงและผู้รับเหมารายย่อย กลับมาทดแทนความสูญเสีย
“เราค่อยๆ ใช้หนี้ไป ตอนนั้นทุกคนบอกให้อุบลวัสดุ ล้ม เพราะไปไม่รอดแน่ ธุรกิจวัสดุก่อสร้างเจอหนักที่สุด แต่ทั้งซัพพลายเออร์และธนาคารต่างก็บอกว่าเราจะล้มไม่ได้ เรายังมีกำไร ยังสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ ถ้าเราล้มเราจะไม่มีอนาคตเลย เรามียอดขายในตอนนั้นกว่า 3,000 ล้านบาท และเราจ่ายหนี้ธนาคารมาโดยตลอด มองว่าถ้าเราคิดจะก้าวไปข้างหน้า เราพร้อมหรือยังเรื่องเครดิต เพราะเครดิตเราต้องสร้างด้วยตัวเอง และเครดิตเราต้องรักษาไว้ให้ได้”
วิธีคิดแบบนี้ที่ทำให้อุบลวัสดุรอดพ้นวิกฤติ มาเป็นอาณาจักรวัสดุก่อสร้างแห่งแผ่นดินอีสาน ที่มีสาขาครอบคลุมใน 5 จังหวัด ได้แก่ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร และอุบลราชธานี และเร็วๆ นี้พวกเขาจะประกาศความใหญ่บึ้มด้วยการเปิดสาขาที่ขอนแก่น บนเนื้อที่ถึง 108 ไร่ เพื่อขยับรายได้ จาก 8,000 ล้านบาทในวันนี้ ไปสู่ 1 หมื่นล้านบาท และ 1.3 หมื่นล้านบาทในปีต่อๆ ไป
รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา บอกว่า ซ้อเป็ดให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจแบบ Positive some Game คือทุกคนได้หมด ไม่ใช่ตัวเองได้ประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว ทั้งซัพพลายเออร์ ลูกค้า และลูกน้อง ทุกคนต้องมีส่วนได้
กลายเป็นความสำเร็จของอุบลวัสดุในวันนี้
ในยุคนี้จะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จัก “แม่สาย ประภาสะวัต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม เอส แฟคตอรี่ จำกัด เขาคือเจ้าของธุรกิจพันล้านในวัยไม่ถึง 30 ปี !
“ระหว่างความฝันกับความจริง ต่างกันแค่ลงมือทำ” แม่สายเชื่อในสิ่งนั้น
เขาไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจจากความสมบูรณ์แบบ ไม่มีเงิน เรียนมาไม่ตรงสาย ประสบการณ์ก็ไม่มี แต่มาจากจุดเริ่มต้นแค่ “ผมอยากทำธุรกิจ”
แม่สาย มาจับธุรกิจระบบแก๊สติดรถยนต์ เพียงเพราะคิดว่า ถ้าไปทำธุรกิจอื่นที่คนทำเยอะอยู่แล้ว ชื่อของพวกเขาก็ไม่รู้จะไปอยู่ในอันดับที่เท่าไร แต่ถ้าทำธุรกิจนี้ เวลานั้นก็อยู่ในลิสต์ไม่เกินเบอร์ 3
เมื่อความต้องการของคนอยากติดแก๊สรถยนต์มากขึ้น พวกเขามองไกลไปกว่าการเปิดร้านติดแก๊ส แต่คือการสอนติดแก๊ส และขายอุปกรณ์ในการติดแก๊ส โดยมองคู่แข่ง เป็นพาร์ทเนอร์ แล้วสร้างโอกาสจากสิ่งเหล่านี้
“ผมคิดว่า เราไม่มีลูกค้า แต่เราสามารถสร้างลูกค้าขึ้นมาได้ เขาซื้อของผม เพราะว่าผมสอนเขาทำธุรกิจได้ ผมอยากมีสาขาทั่วประเทศ โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก ก็คิดว่าเราน่าจะหา หุ้นส่วน เรามีโนว์ฮาว มีสินค้า เขามีสถานที่ มีคน มีเงิน เราก็จับสิ่งนี้มารวมกัน โดยมุ่งไปยังอู่ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ ประดับยนต์ เหล่านี้ เพื่อให้เขาสามารถทำธุรกิจแก๊ส เป็นธุรกิจเสริมได้ เราทำกำไรในอุปกรณ์ที่เราขาย ไม่จำเป็นต้องมีข้อตกลง มีสัญญาให้ต้องทะเลาะกัน”
วิธีคิดแบบแม่สาย พวกเขาไม่ได้กลัวคู่แข่ง แต่มองว่าการมีคนมาทำแบบเดียวกันเพิ่มขึ้น แสดงว่ามีตลาดเกิดขึ้นแล้ว เมื่อตลาดเกิดก็ไม่จำเป็นต้องไปแข่งให้เหนื่อย แต่เปลี่ยนคู่แข่งเป็นหุ้นส่วน สร้างพาร์ทเนอร์ ด้วยความจริงใจ ความรู้และความร่วมมือ
“เมื่อเป็นพาร์ทเนอร์ ผมต้องเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีที่สุด ผมไม่ชอบขายใคร เพราะเขาจำเป็นต้องซื้อของผม แต่เพราะผมคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา ผมเป็นพาร์ทเนอร์ที่จะสนับสนุนให้เขาโตได้มากที่สุด ผมว่าถ้าเราอยากอยู่รอดบนธุรกิจอย่าไปกลัวที่เขาจะไปซื้อกับคนอื่น หน้าที่ที่คุณต้องกลัว คือกลัวไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า”
คนหนุ่มรุ่นใหม่ คิดไกล คิดต่าง อย่างแม่สาย บอกเราว่า..
“คนทำธุรกิจบอกจะเติบโตปีละ 10-20% แต่บริษัทผมเริ่มต้นตั้งเป้าโตปีละ 1,000% ปีหนึ่งยอดขายโตขึ้น 10 เท่า ผมวางไว้อย่างนี้ แม้ไม่ได้ก็ต้องโตขึ้น 5 เท่า คือ 500% สิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้มีความเชื่อหรือเปิดตำราเล่มไหน แต่มีแนวคิดที่เป็นเรา และคิดว่าทำแบบนี้น่าจะเป็นไปได้ ก็แค่ลุยไป”
นี่คือวิธีคิดของเขา ที่แม้วันนี้ธุรกิจจะเหยียบพันล้านบาทแต่แผนเติบโตก็ยังไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะการวางหมากธุรกิจเตรียมรับตลาดอาเซียนในอนาคต
หลากหลายวิธีคิดของเซียนธุรกิจ ที่ใช้ไต่บันไดเศรษฐี ด้วยสิ่งที่ รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา บอกว่ามาจากคำเพียง 3 คำ คือ เก่ง เฮง กล้า ทั้งสามคน มีความเก่ง คือรู้ในสิ่งที่ทำ คิดเป็น คิดสร้างสรรค์ ส่วนความ เฮง คือได้จังหวะที่เหมาะสม เพราะถ้าเก่งแต่ไม่มีจังหวะก็ทำไม่ได้ ปิดท้ายกับความกล้า เพราะแม้จะเก่งและมีโอกาส แต่หากเป็นคนที่ขาดความกล้า ก็ไม่รวยเสียทีบวกกับกุญแจความสำเร็จที่เรียกว่า “ความแตกต่าง” คือหนทางสู่ชัยชนะของพวกเขา
“เหมือนคำที่ว่า Differentiate or Die สร้างความแตกต่างไม่ได้ ก็ไปตายซะ!” ดร.เสรี บอกไว้เช่นนั้น
--------------------------------------------
สูตรลับเศรษฐีฉบับหางว่าว
๐ รวยได้ ต้อง เก่ง เฮง กล้า
๐ เรียน รู้ รับ เริ่ม และ เร่งรัดตัวเอง
๐ สร้างความแตกต่าง สร้างจุดยืนธุรกิจ
๐ ต้องแก้ปัญหาให้คนได้ ให้ราคาที่รู้สึกคุ้ม ให้ความสะดวกแก่ลูกค้า
๐ ธุรกิจต้องวิ่งหา Blue Ocean
๐ ต้องสร้างแบรนด์ดีเอ็นเอ
๐ แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง สื่อจะสนใจ
๐ จะสร้างธุรกิจให้สำเร็จต้อง อดทน
๐ ทำธุรกิจเป็นธรรม ทุกคนต้องมีส่วนได้
๐ ต้องเห็นความสำคัญของทุนมนุษย์
๐ สร้างพาร์ทเนอร์ ด้วยความจริงใจ ร่วมมือ และใส่ใจ อาศัยความรู้เป็นที่ตั้ง
๐ จะโตได้ ต้องมีความเชื่อ และวัดความพอใจลูกค้าตลอดเวลา
from bangkokbiznews.com