ใน Meeting ของ Road to Billion ที่ผ่านมามีคนถามคุณสุมาอี้กับผมว่า “ควรจะมีหุ้นซักกี่ตัวดี?” คำถามนี้คงเป็นเรื่องที่ค้างคาใจนักลงทุนหลายท่านเพราะในงานสัมมนาแทบทุกครั้ง ผมมักจะได้ยินคนถามคำถามนี้ ผมก็เลยได้โอกาสไปค้นคว้าหาแง่มุมต่างๆมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เป็นการลองบิดกุญแจไขปัญหาที่ค้างคาอยู่ในหน้าอก (ข้างซ้าย) ของนักลงทุนทุกท่าน
แต่ก่อนจะตอบว่ามีหุ้นกี่ตัวดี เราควรจะถามก่อนว่าจำนวนหุ้นที่เราถือจะมีผลยังไงต่อพอร์ตและชีวิตของเราบ้าง
1. หุ้นเยอะ ต้องการเวลาแยะ
ปี เตอร์ ลินช์ เคยพูดว่า “หุ้นก็เหมือนกับลูก มีเท่าที่คุณพอจะดูแลเค้าได้ก็พอ” เดี๋ยวคนไทยส่วนมากมีลูกแค่คนเดียวหรืออย่างมากก็สองคน ลองนึกภาพมีลูกซัก 10 คนเหมือนสมัยก่อนคงจะตลกพิลึก แต่ “หุ้น” ต่างกับ “ลูก” ตรงที่ว่าหุ้นของแต่ละคนอาจจะต้องการเวลาในการดูแลต่างกัน ซึ่งอาจจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
เราต้องตามงบเป็นรายไตรมาสหรือเปล่า?
เราจำเป็นต้องเฝ้าราคาหุ้นหรือเปล่า?
เรารู้จักอุตสาหกรรมหรือหุ้นตัวนั้นดีแค่ไหน?
เรามีประสบการณ์ในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน?
หุ้นที่เราถือในพอร์ตมีความคล้ายคลึงกันแค่ไหน?
ส่วน ตัวแล้วผมยังไม่มีลูก แต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจลงทุน ผมจะใช้เวลาศึกษาหุ้นแต่ละตัวเยอะมาก และถ้าตัดสินใจแล้วก็จะไม่ได้ใช้เวลาในการตามเท่าไหร่ (อาจจะมีตามงบรายไตรมาสบ้าง แต่ก็แค่ปีละ 4 หน) ก็เลยสามารถดูแลหุ้นได้ประมาณ 8 – 10 ตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะถือเท่านั้นนะครับ มันเป็นแค่แนวทางเฉยๆ ผมอาจจะมีหุ้นมากกว่านั้นได้ถ้าหุ้นพวกนั้นไม่ต้องการเวลาจากผมมากหรือไม่มี นัยสำคัญกับพอร์ต
เราจำเป็นต้องเฝ้าราคาหุ้นหรือเปล่า?
เรารู้จักอุตสาหกรรมหรือหุ้นตัวนั้นดีแค่ไหน?
เรามีประสบการณ์ในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน?
หุ้นที่เราถือในพอร์ตมีความคล้ายคลึงกันแค่ไหน?
ส่วน ตัวแล้วผมยังไม่มีลูก แต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจลงทุน ผมจะใช้เวลาศึกษาหุ้นแต่ละตัวเยอะมาก และถ้าตัดสินใจแล้วก็จะไม่ได้ใช้เวลาในการตามเท่าไหร่ (อาจจะมีตามงบรายไตรมาสบ้าง แต่ก็แค่ปีละ 4 หน) ก็เลยสามารถดูแลหุ้นได้ประมาณ 8 – 10 ตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะถือเท่านั้นนะครับ มันเป็นแค่แนวทางเฉยๆ ผมอาจจะมีหุ้นมากกว่านั้นได้ถ้าหุ้นพวกนั้นไม่ต้องการเวลาจากผมมากหรือไม่มี นัยสำคัญกับพอร์ต
2. จำนวนหุ้นน้อย ความเสี่ยงกระจุกตัว
คุณสุ มาอี้เคยพูดว่า “ถึงหุ้นจะดีแค่ไหนมันก็มีโอกาสจะพลาดได้” โดยส่วนตัว ถึงแม้หุ้น “ร้านค้าห้องแถว” จะดีอย่างไร จะมีความสามารถในการแข่งขันเยอะแค่ไหน เติบโตได้ไกลเท่าไหร่ ผมก็คงนอนไม่ค่อยหลับถ้าจำเป็นต้องถือหุ้นตัวนั้นเพียงตัวเดียว เพราะหุ้นทุกตัวย่อมมีความเสี่ยง แต่ถ้าในทางตรงกันข้ามพอร์ตผมมีหุ้น 50 ตัว ผมก็ไม่รู้ว่าจะผมตื่นขึ้นมาหาหุ้นใหม่ๆไปทำไมเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะเลือกถูกหรือเลือกผิดมันก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อพอร์ตซักเท่า ไหร่
เบนจามิน เกรแฮม เคยบอกไว้ว่าเราจะสามารถได้ประโยชน์จากการ “กระจายความเสี่ยง” ถ้าเรามีหุ้น 10 – 30 ตัวในพอร์ตเรา แต่ในขณะที่ปีเตอร์ ลินช์ และบัฟเฟต์ เคยพูดว่าหุ้น 5 ตัวก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แล้วเราจะมีกี่ตัวดี?
วิธี คิดแบบง่ายๆในการประเมินระดับความเสี่ยงที่เรารับได้: สมมติว่าเราถือหุ้น 5 ตัว แสดงว่าแต่ละตัวจะมีน้ำหนัก 20% ของพอร์ตโดยเฉลี่ย ถ้าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งปรับตัวลง 30% พอร์ตคุณจะลดลงประมาณ 6% คุณรับกับมันได้รึเปล่า?(ถ้าคุณมีระบบ cut loss คุณอาจจะใช้ตัวเลข 5% 10% แล้วแต่ระบบของคุณเพื่อนำมาคำนวณความเสี่ยงได้) ลองคำนวณเล่นๆดูครับ ปรับไปปรับมาก็จะเจอตัวเลขที่เราคิดว่าเหมาะสมครับ
3. ผลตอบแทนที่เราจะได้รับ?
ผม เคยได้ยินนักลงทุนหลายท่านบอกว่า “จำนวนหุ้นที่น้อยกว่า” จะทำให้เราได้ “ผลตอบแทนที่ดีขึ้น” แต่ถ้าเราลองมาคิดดูดีๆจะพบว่าเรา “อาจจะ” ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น “ถ้า” เราเลือกหุ้นได้ถูกตัว เพราะฉะนั้นการถือหุ้นจำนวนน้อยตัวหรือแบบ Focus จะมีประโยชน์มากกว่าสำหรับนักลงทุนที่พอจะมีความสามารถระดับหนึ่งแล้ว แต่สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่หรือนักลงทุนที่ยังลองผิดลองถูกอยู่อย่างผม การถือแบบ Focus อาจจะไม่ได้ให้ผลประโยชน์เท่ากับนักลงทุนที่เก่งๆและยังอาจจะเพิ่มความ เสี่ยงให้กับพอร์ตมากกว่าการถือหุ้นหลายๆตัว
ผมสังเกตว่านักลงทุนหน้า ใหม่บางท่านชอบอัดเงินทั้งพอร์ตเข้าไปซื้อ “หุ้นเด็ด” โดยไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอ พูดอีกอย่างคือเล่นหุ้นแบบ “แทงหวย” คนแบบนี้ส่วนมากก็มักจะถูกเจ้ามือหวยกินเรียบจนหลายคนขยาดการลงทุนไปเลย
ใน อีกมุมนึง ปีเตอร์ ลินช์ เคยบอกไว้ว่าเค้าไม่รู้หรอกว่าหุ้นตัวไหนจะกลายเป็นหุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง เพราะฉะนั้นการมีหุ้นเยอะๆก็อาจจะเหมือนการซื้อลอตเตอรี่ ถ้าเราซื้อหลายๆใบก็อาจจะมีโอกาสถูกมากกว่า ฉะนั้นในบางครั้งการถือหุ้นหลายๆตัว (ที่ผ่านการคัดกรองมาแล้ว) ก็อาจจะดีกว่าการใช้เวลาไปกับการเลือกหุ้นเพียงตัวเดียวที่จะให้ผลตอบแทน สูงสุดก็ได้ครับ เพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าไอเดียการลงทุนของเราอันไหนจะออกดอกออกผล
นอกจาก ปัจจัยที่ต้องพิจารณาทั้งสามข้อแล้ว จำนวนหุ้นที่ถืออาจจะต้องเพิ่มขึ้นตามความจำเป็นถ้าคุณมีพอร์ตขนาดใหญ่หรือ ลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องน้อย และอาจจะลดลงได้ถ้าคุณมีหุ้นที่คุณชอบและมั่นใจมากๆ (อย่าลืมว่าทุกคนมีโอกาสที่จะผิด) จะว่าไปการปรับสัดส่วนหุ้นในพอร์ตก็อาจจะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการ ตัดสินใจ คงจะไม่มีสูตรตายตัว
สุดท้ายแล้วใครจะมี “ลูก” กี่คนก็แล้วแต่จะเลือกเลยครับ ตามจริตและความสามารถของแต่ละคน ถ้าอยากจะมีลูกเยอะก็อาจจะต้องเหนื่อยหน่อย แต่ก็อุ่นใจเพราะเวลาแก่ตัวไปจะได้ไม่เหงาครับ 555
คนอื่นๆถือหุ้นกันกี่ตัวครับ? มีหลักอะไรในการคิดบ้าง? มาแลก
from http://goo.gl/BxAB8P
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น