24 ธันวาคม 2559

สาระน่ารู้เกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์

1.ประกันภัยรถยนต์ไม่ใช่เทพ

เมื่อเรามีรถ สิ่งที่เรานึกถึงคู่กันก็คือ การทำประกันภัยรถยนต์ บางทีเราเองก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามีอะไรบ้างที่ประกันภัยรถยนต์ไม่ได้ให้ความคุ้มครอง ในขณะที่ตัวบริษัทประกันหลายเจ้าต่างก็ทำโฆษณาเพื่อบอกเรา (ที่กำลังหาประกันรถยนต์) ว่าบริการของเขาดีอย่างไร (เช่น มาเร็ว เคลมเร็ว ใจเขา ใจเรา ฯลฯ) เพื่อโน้มน้าวใจเราให้ไปเลือกใช้บริการจากเขาในขณะที่เรากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะทำประกันภัยรถยนต์ที่ไหนดี


สิ่งที่เรามักเข้าใจผิด

บรรดาเหล่าโฆษณาของบรษัทประกันภัยที่มักจะให้ภาพว่า เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุแล้ว ทุกอย่างจะจบลงที่บริษัทประกันทั้งหมดราวกับว่าเจ้าของรถที่ทำประกันภัยจะไม่ต้องทำอะไรเลยแม้จะเป็นฝ่ายที่ต้องรับผิด (ซึ่งไม่จริง) ปัญหาที่ตามมาก็คือ ภาพโฆษณาที่มันสื่ออกมามันมาผนวกกับธรรมชาติของเราที่ชอบสบาย ๆ ไม่ชอบความวุ่นวาย (แถมไม่ชอบอ่านกรมธรรม์) จนทำให้เราเข้าใจว่า บริษัทประกันจะเป็นนักแก้ปัญหาขั้นเทพแทนเราทุกอย่าง (โดยเฉพาะประกันประเภท 1 แต่เรามักเรียกประกันภัยชั้น 1 จนเหมือนเราเป็นบุคคลพิเศษ ซึ่งก็ไม่จริงอีกนั่นแหละ) พอบริษัทปฏิเสธการชดเชย (ที่อยู่นอกกรอบความคุ้มครอง) ก็มักจะใช้คำพูดว่า “แล้วจะทำประกัน (ชั้น 1) ไว้ทำไม (วะ)” ที่มากกว่านั้นก็คือ เรามักเผลอจำกัดจิตสำนึกความรับผิดชอบลงตามความจำกัดของประกันภัย โดยลืมไปว่า ประภัยภัยภาคสมัครใจทั้งหลายมีหน้าที่เพียงแบ่งเบาภาระของเราลงบางส่วน (เท่านั้น) เพราะมันเป็นไปตามข้อตกลงทางธุรกิจระหว่างเรากับบริษัทประกันภัยนั่นเอง

ถ้าเราผิด เราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำ (ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติว่า "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"

ลองจินตนาการว่า สมมติว่า เพื่อนคนหนึ่งติดหนี้เลี้ยงข้าวเรา 1 มื้อ ให้งบมา 100 บาท (อาจจะเลี้ยงเพราะเราไปช่วยงานเขา หรืออะไรก็ตามที่เขาอยากตอบแทน) ขณะที่เรากำลังเดินหาร้านเราก็มัวเล่น Facebook บนมือถือโดยไม่ดูทาง ปรากฎว่าไปเดินชนสาวคนหนึ่งที่กำลังดื่มกาแฟสด กาแฟของเธอคนนั้นก็หกใส่เสื้อเธอคนนั้น ในเหตุการนี้เราผิดเต็ม ๆ เราจะทำอย่างไรจากตัวเลือกต่อไปนี้
· กล่าวว่า “ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” แล้วก็เดินจากไป
· กล่าวว่า “ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะชนคุณเลย คุณไปเรียกร้องค่าเสียหายจากเพื่อนผมเอาเองนะ” แล้วก็เดินจากไป
· กล่าวว่า “ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ เรียกร้องค่าเสียหายจากเพื่อนผมเลยนะ” แต่สาวคนนั้นบอกว่า “กำลังจะไปสัมภาษณ์งาน ฉันอาจจะตกงานเพราะเหตุการณ์นี้ก็เป็นได้นะ” แล้วเราตอบว่า “ก็ขอโทษแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก ผมก็บอกคุณแล้วไงว่าไปขอการชดเชยจากเพื่อนผม”

ไม่ว่าจะเราเลือกแบบไหนก็ดูตลกทั้งนั้น แต่สิ่งที่เรามักพบเห็นทั่วไปเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อไหร่ มันจะเกิดเหตุการณ์แบบข้างต้นเลย คือ เจ้าของรถยนต์ที่เป็นฝ่ายผิด (ที่มีประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ) พอยอมรับผิดแล้วถือว่าเป็นจบ จากนั้นจะคอยปัดความรับผิดชอบต่อคู่กรณีตนเองไปที่บริษัทประกันภัยก่อน โดยแทบจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันอยู่ในขอบเขตความความคุ้มครองของกรมธรรม์หรือไม่ แม้แต่การติดต่อขอการชดเชยก็ยังให้คู่กรณีติดตามเอาเองโดยอาจจะไม่เคยคิดเคยว่า บริษัทประกันที่ตนเองให้ความไว้วางใจนั้นเล่นแง่กับคู่กรณีเลยหรือป่าว ผมเคยอ่านเจอกรณีนี้ในเว็บบอร์ดบ้าง เช่นใน http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=3b4e052058f640e4 หรือท่านเองก็น่าจะเคยผ่านตาในเว็บบอร์ดอื่น ๆ เช่น pantip เป็นต้น


ประกันภัยรถยนต์มีขอบเขตความคุ้มครองที่จำกัด
กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ (ไม่ว่าชั้นประเภทไหน) จะกำหนดขอบเขตความคุ้มครองเบื้องต้นเพียงแค่ ตัวร่างกายและตัวทรัพย์สินเท่านั้น ไม่ได้ชดเชยเกี่ยวค่าเสียหายอื่น ๆ ในหลายๆกรณี แม้แต่การซ่อมแซมรถยนต์ก็ยังไม่สามารถกำหนดเวลาแน่นอน อย่างเก่งก็แค่ออกใบเคลมเท่านั้น แม้แต่ระยะเวลาที่ดำเนินการซ่อมแซมนั้นก็ยังไม่ได้ทำให้ระยะการคุ้มครองมันเพิ่มขึ้นเลย มันจึงมักมีเรื่องตามมาอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะเราเป็นฝ่ายผิดแต่คู่กรณียังไม่ยอมความเสียทุกเรื่อง (ซึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาส่วนหนึ่ง) เราควรเผชิญหน้ากับคู่กรณีด้วยตนเองด้วยและเจรจากันแบบแฟร์ที่สุดเท่าที่จะทำได้


เราจะชดเชยเพิ่มเองอย่างไรดีที่เรียกว่าตามสมควร

เราควรรับฟังข้อเรียกร้องของคู่กรณีและแสดงออกถึงความพยายามที่จะรับผิดชอบ แต่การที่จะชดเชยอย่างไรนั้นมันก็ต้องสมเหตุสมผล การทำดีไม่ได้แปลว่าเราไม่ต้องใช้สมองจนตกเป็นเบี้ยล่างตลอด

ตัวอย่าง
เราขับรถไปชนรถคนอื่นเสียหาย เราเป็นฝ่ายผิด ถ้าคู่กรณีต้องใช้รถเดินทางทุกวัน แต่รถต้องรอซ่อมอีกนาน ช่วงนี้ต้องเดินทางวันละ 60 กิโลเมตร เขาต้องจ่ายค่าแท็กซี่ทุกวัน วันละ 300 บาท เขาคง "เรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม" จากบริษัทประกันภัยฝ่ายเรา (ถ้าทำได้) แต่ประกันเองก็อาจจะไม่ได้จ่ายให้ตามนั้น (จะด้วยเพราะอะไรก็ตามแต่) คู่กรณีจึงขอการชดเชยส่วนนี้เพิ่มจากเราทุกวันจนกว่ารถจะซ่อมเสร็จ (อาจจะรวมนับกรณีต้องใช้รถประกอบอาชีพ)

กรณีนี้ไม่มีบริษัทไหนชดเชยเพิ่มให้ทันทีที่ขอแน่นอน หรือกว่าจะขอได้ก็วินกันยาว ถ้าเราเอาแต่บอกปัดให้เขาไปไปเรียกร้องเอาจากบริษัทประกันเองเอง ผมว่าถ้าเขาหัวหมอพอและเราประมาทเกินไป เราก็อาจจะแพ้คดีได้ แต่ถ้าตอบตกลงทันทีก็ดูจะเอาเปรียบกันเกินไป ดังนั้น คงต้องเปิดโต๊ะเจรจาแบบสันติกับคู่กรณีและช่วยติดตามความคุ้มครองให้เขาเท่านั้น ซึ่งก่อนเจรจาเราต้องเตรียมข้อมูลเบื้องต้นด้วย (แบบสมเหตุสมผลทั้ง 2 ฝ่าย) เช่น
· ตรวจสอบวงเงินชดเชยที่เรามี และเขารับไปแล้วเท่าไหร่
· ถ้าเขาขับรถเอง อาจจะต้องเสียน้ำมันประมาณวันละ 6 ลิตร ดังนั้น เขาต้องรับภาระเองอย่างน้อยก็ประมาณ 180 บาท ยังไม่รวมค่าสึกหรอต่าง ๆ (แล้วจะมาเรียกร้องจากเราตั้ง 300 บาทได้อย่างไร)
· ถ้าเขาขับรถเอง เขาก็เสี่ยงที่จะต้องรับผิดชอบในการเฉี่ยวชน (ตราบใดที่มีการใช้รถ มันก็เป็นเรื่องปกติที่อุบัติเหตุมันเกิดได้ตลอด)
· เขามีโอกาสถูกมิจฉาชีพในคราบคนขับแท็กซี่ปล้นได้ (แล้วเราหาแท็กซี่เจ้าประจำที่เรารู้จักให้เขาได้มั้ย แบบไปรับหน้าบ้านประจำทุกวัน)
· บางครั้งการรอซ่อมไม่ได้แปลว่ารถมันใช้งานไม่ได้เสียเลย เอารถไปใช้งานก่อน เมื่อคิวซ่อมมาถึงค่อยเอารถไว้ที่อู่ได้มั้ย (ลองถามอู่ซ่อมดูว่ามันมีวิธีใดบ้าง)
· สามารถเช่ารถจากที่อื่นใช้แทนได้มั้ย (เช็คประกันภัยฝ่ายเราว่าคุ้มครองได้แค่ไหน)
· ฯลฯ
หากเราเตรียมข้อมูลสำหรับโต้แย้งการเคลมแบบเว่อร์ที่แฟร์ ๆ แสดงออกถึงความรับผิดชอบอย่างดี และคู่กรณีเขามีเหตุผลพอ เราอาจจะไม่ต้องชดเชยอะไรเพิ่มมากจนเกินไป หรือไม่ก็ไม่ต้องถูกฟ้องร้องให้ชดเชยอะไรเพราะบรรยากาศการพูดคุยที่ดีก็เป็นได้ อย่าลืมครับว่า ประกันไม่ได้ทำหน้าที่แทนเราทั้งหมดได้หมดครับ



2.เข้าใจง่าย ๆ กับการใช้งานประกันภัยรถยนต์

เป็นการยากจริง ๆ ที่เราจะตั้งใจอ่านสัญญาในกรมธรรม์ เพราะภาษากฎหมายนี่มันต้องแปลไทยเป็นไทย (ทำไมไม่เขียนให้มันอ่านง่าย ๆ ก็ไม่รู้) หลายคนก็ต่อกรมธรรม์ไปเพราะรู้ว่ามันต้องทำ (ก็แค่นั้น) แต่พอเกิดอุบัติเหตุหรือคราวต้องเคลมประกันแล้ว กลับทำตัวไม่ถูก

ขออธิบายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เอาแบบเข้าใจง่าย ๆ หวังว่าจะช่วยให้เรารักษาผลประโยชน์ของเราได้อย่างเต็มที่ และจะได้ไม่ไปตบตีกับบริษัทประกันแบบมั่ว ๆ


สิทธิประโยชน์ที่ควรจำ

· กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์จะมีผลทันทีหลังชำระเบี้ยประกัน (จะชำระที่บริษัทประกันหรือนายหน้าผู้เอาประกันก็ตาม) ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ต้องขอใบเสร็จรับเงินทันทีและเก็บใบเสร็จรับเงินดีๆ
· ถ้ารถเกิดความเสียหายสิ้นเชิง (total loss หรือมักพูดสั้นๆกันว่า ตีเป็น loss) ซึ่งมันเป็นสภาพที่ไม่สามารถซ่อมกลับคืนดังเดิมได้ บริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายเงินให้แก่เรา (ผู้เอาประกัน) เต็มทุนประกัน และรถคันนั้นจะตกเป็นทรัพย์สินของบริษัทประกันภัย ไป แต่ถ้าเราซื้อผ่อนกับไฟแนนซ์ ก็จะมีสัญญาให้เราโอนค่าประกันนี้ให้ไฟแนนซ์โดยตรง แล้วค่อยมาเคลียร์ส่วนต่างกันภายหลัง
· ค่าเสียหายส่วนแรกส่วนค่าเอ็กเซส (excess) ในกรณีไม่มีคู่กรณีจะจ่ายเพียง 1,000 บาท เท่านั้น แต่ถ้าคนอื่นขับไปทำให้เกิดความเสียหาย (เป็นฝ่ายผิด) ต้องจ่าย 2,000 - 6,000 บาท ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับข้อตกลงเกี่ยวกับการตกลงจ่ายค่าส่วนแรกส่วน deductible แบบสมัครใจด้วย
· การดูแลขนย้ายรถที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อไปซ่อมที่อู่ เป็นหน้าที่ของบริษัทประกันตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนกระทั่งซ่อมเสร็จ ดังนั้น แม้ว่าระหว่างนั้นจะต้องย้ายรถไปโรงพักหรือที่ใดก่อนก็ตามเพราะเหตุนี้ บริษัทประกันภัยก็จะต้องรับภาระส่วนนี้ แต่ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าซ่อม
· ค่าอะไหล่ที่เกิดจากการซ่อม ผู้เอาประกันสามารถเรียกร้องเป็นเงินตามราคาประเมินเพื่อนำไปจัดหาเองได้ เพราะบางครั้งเราก็ไม่มั่นใจหรอกว่า อู่ที่บริษัทประกันมีอยู่จะไช้อะไหล่รถแท้หรือป่าว
· ถ้าขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยและรถของเราเป็น “ฝ่ายถูก” ต้องตรวจสอบกับบริษัทประกันภัยว่าตามรายงานอุบัติเหตุนั้น รถของคุณเป็นฝ่ายถูกจริงเหรอ ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์
· กรณีเราเป็นฝ่ายถูก หากรถต้องซ่อมนาน เรามีค่าใช้จ่ายเพิ่มระหว่างไม่มีรถใช้แน่นอน อย่าลืม "เรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม" จากบริษัทประกันของคู่กรณี


ข้อปฏิบัติที่ควรจำ

· ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุที่ยังไม่เป็นที่แน่ใจว่าเราเป็นฝ่ายถูกหรือผิด เราก็ไม่จำเป็นต้องเซ็นต์ชื่อรับผิดในใบเคลม (มันไม่ใช่กฎ กติกา มารยาท หรือข้อกฏหมายใด) การตรวจสอบหรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงเป็นหน้าที่ของบริษัทประกัน (ต้องจัดไป)
· ห้ามหนีในกรณีที่ขับรถชนคน ถ้าหนีจะเป็นเหตุให้เราติดคุกทันที (ไม่รับผิดชอบ) การให้ช่วยเหลือคนเจ็บให้เต็มที่ รวมถึงการถ่ายรูปหลักฐานที่เกิดเหตุไว้ต่อสู้คดี บางทีโทษทางอาญาอาจเหลือแค่การรอลงอาญา และตกลงค่าเสียหายกันตามสมควร อย่างน้อยถ้าเราไม่ใช่คนเลวบริสทธิ์แล้ว ศาลจะพิจารณาจากความมีน้ำใจที่เราช่วยเหลือผู้อื่น (แสดงความรับผิดชอบโดยยอมรับความผิดนี้)
· หากภายในรถมีการการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมจากโรงงานหลังจากที่ทำประกันไปแล้ว เช่น เครื่องเสียงชั้นดี ระบบก๊าซ CNG (หรือที่เรียกทั่วไปว่า NGV) ระบบก๊าซ LPG เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งให้บริษัทประกันทราบ ไม่เช่นนั้น หากเกิดเหตุและรถคันเอาประกันเป็นฝ่ายผิด ความคุ้มครองที่จะได้รับจากการประกันอาจไม่สมบูรณ์ได้ (ได้สินไหมทดแทนเฉพาะแต่ตัวรถ นอกนั้นจะไม่รับเคลม) แต่แน่นอนว่า มูลค่าของทรัพย์สินที



3.ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 pantip ก็ไม่ใช่เทพ

ผมมักจะพบคำว่า “ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 pantip” ใน Google จนอดคิดไม่ได้ว่า ใครหลายคนอาจจะคิดว่าเป็นอีกแบรนด์หนึ่งก็เป็นได้ เนื้อที่จะเขียนต่อไปนี้เป็นความเข้าใจผิดของใครหลายคนที่มักจะไปตั้งกระทู้ ตอบกระทู้ในเว็บบอร์ดเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 (แต่ถูกภาษาการตลาดเปลี่ยนเป็นประกันชั้น 1 ให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าเป็นประกันเหนือชั้น) ก็เลยขอเอาคำนี้มาตั้งเป็นชื่อบทความ ไม่ได้มีเจตนาจะเข้าข้างบริษัทประกันภัยแต่อย่างใด และผมเองก็ไม่ใช่คนขายประกันด้วย


สิ่งที่คนทั่วไปมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 (ประกันชั้น 1)
คนทั่วไปมักคิดว่า ถ้าทำประกันภัยรถยนต์แล้ว เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว ภาระทุกอย่างจะเป็นของบริษัทประกันภัย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องระหว่างเรากับคู่กรณีโดยตรง (ซึ่งผมเคยยกตัวอย่างแบบขำ ๆ ไว้ในเรื่อง “ประกันภัยรถยนต์ไม่ใช่เทพ”) ส่วนบริษัทประกันภัยนั้นมีหน้าที่แบ่งเบาภาระเราตามสัญญาในกรมธรรม์ระหว่างเรากับบริษัทประกันภัย ดังนั้น ถ้าบริษัทประกันภัยไม่ชดเชยคู่กรณีตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะไปคุยกับประกันของเราว่าทำไมไม่ทำตามสัญญา ไม่ใช่ให้คู่กรณีไปไล่เบี้ยเอาเอง เหมือนเราเป็นเจ้าหนี้นาย A แต่เราก็เป็นลูกหนี้นาย B ด้วย ถ้านาย B มาทวงเงินเรา เราก็ต้องจ่าย ไม่ใช่ชิ่งให้นาย B ไปเอาเงินจากนาย A โดยอ้างว่าเราเป็นเจ้าหนี้เขา

ทำไมจึงเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรับผิดของประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 (ประกันชั้น 1)
เอาแบบตรงไปตรงมา หลัก ๆ คือ
1. จิตสำนึกความรับผิดชอบของเราเอง
2. การซิกแซกของเจ้าหน้าที่เคลมประกันที่หาทางช่วยลูกค้าตัวเองแบบผิด ๆ (จนลูกค้าเข้าใจว่าถูกต้อง)
3. เมื่อซื้อรถแบบผ่อน คนซื้อจะถูกบังคับให้ทำประกันภัยชั้น 1 เลยคิดว่ามัน Top สุด ๆ แล้วแต่ที่จริงที่มัน Top เพราะมันมีได้เท่านี้


แล้วจะทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ไปทำไม

ความจริงมันมีอยู่ว่า ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 เป็นประกันภัยรถยนต์แบบสมัครใจทำ (นอกเหนือประกัน พรบ. ที่กฎหมายบังคับให้ทำก่อนต่อทะเบียนรถยนต์แต่ละปี) โดยกำหนดขอบเขตความคุ้มครองเบื้องต้นทั้ง 4 ด้าน คือ
1. คุ้มครองตัวรถ (ของเราที่ทำประกันภัยให้) กรณีเกิดอุบัติเหตุ
2. คุ้มครองตัวรถ (ของเราที่ทำประกันภัยให้) กรณีสูญหายหรือไฟไหม้
3. คุ้มครองบุคคลที่ 3 (ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในรถเราหรืออยู่นอกรถ)
4. คุ้มครองตัวรถและทรัพย์สินของคนอื่น (ที่เราขับรถของเราตามข้อ 1. ไปชนเขาเข้า)
ถ้าคิดแบบแค่ผิวเผินแล้ว มันดูเหมือนว่ามันครอบจักรวาลแล้ว แต่จะมีน้อยคนที่จะเข้าใจ (หรือทำใจยอมรับ) ว่ามันเป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้นเท่านั้น มันยังมีเงื่อนไขปลีกย่อยอีกเยอะ เช่น ใครเป็นฝ่ายผิด ตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุหรือไม่


ตัวอย่างการไล่เบี้ยความรับผิดตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ (แม้จะชั้น 1 ก็ตาม)

เมื่อเกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้ จะมีสักกี่คนจะเข้าใจว่า การไล่เบี้ยของบริษัทประกันภัยก็จะต้องต้องสอดคล้องกับหลักกฎหมายด้วย บางทีเราก็อาจจะถูกโกงแบบไม่รู้ตัว แต่บางครั้งเราก็ชอบคิดแบบเขาข้างตัวเอง (โกงคนอื่น) ขอยกตัวอย่างกรณีคลาสสิค ได้แก่
1. การคุ้มครองทรัพย์สินที่บรรทุกอยู่ในรถ: ตอนเดินทางเราอาจจะมีสิ่งของติดรถไปด้วย สมมติว่า เราเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ติดไปกับรถด้วย แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วคอมพิวเตอร์มันเสียหาย ใครจะรับผิดชอบกับความเสียหายของคอมพิวเตอร์นี้
a. กรณีเราเป็นฝ่ายผิด เช่น ขับรถไปชนรถคนอื่น กรณีนี้บริษัทประกันภัยจะชดเชยค่าเสียต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกแน่ ๆ ดังนั้น ถ้าในรถของคู่กรณีมีเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในรถ และเมื่อเกิดเหตุ เครื่องคอมพิวเตอร์ก็เสียหายด้วย บริษัทประกันภัยฝ่ายเราจะชดใช้ค่าเสียหายของเครื่องคอมพิวเตอร์ของคู่กรณีด้วย แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในรถเรานั้น จะอยู่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของประกันภัยฝ่ายเราเลย
b. ในทางกลับกันกรณีเราเป็นฝ่ายถูก เบื้องต้นบริษัทประกันฝ่ายเราจะรับผิดชอบเฉพาะความเสียหายของตัวรถเท่านั้น (จากนั้นเขาจะไปตามเก็บจากคู่กรณีของเราภายหลัง) แต่ถ้าทรัพย์สินอื่นที่บรรทุกเสียหาย เราต้องไปเรียกร้องจากคู่กรณีเอง ก็ต้องดูอีกว่า คู่กรณีมีประกันภัยรถยนต์หรือไม่ ถ้ามีก็ต้องดูอีกว่าประกันภัยฝ่ายคู่กรณีเขาจำกัดความคุ้มครองไว้อย่างไรบ้าง
2. กรณีไม่มีใบขับขี่แล้วเกิดอุบัติเหตุ
a. กรณีเราเป็นฝ่ายผิดและมีใบขับขี่ ประกันจะรับผิดชอบทุกอย่างตามกรมธรรม์ แม้ว่าคู่กรณีจะไม่มีใบขับขี่ หรือรถคู่กรณีไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน ก็ไม่เป็นเหตุให้เราพ้นผิด ส่วนคู่กรณีก็ถูกเปรียบเทียบปรับข้อหาไม่มีใบขับขี่หรือไม่ติดป้ายทะเบียนไป (มันคนละส่วนกัน)
b. กรณีเราเป็นฝ่ายผิดและไม่มีใบขับขี่ โดยพื้นฐานเบื้องต้นคือ ประกันจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดีอาจจะมีเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติมที่ต่างกันไปตามแต่โปรโมชั่น

โดยภาพรวมแล้วจะเห็นว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะลงเอยไปที่บริษัทประกันภัยเสมอไป มันจะเป็นไปได้ในกรณีเดียวก็คือว่า เราพบข้อสัญญาที่ว่า “เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้ว บริษัทประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 จะรับผิดชอบทุกอย่างเสมือนเป็นผู้ขับขี่ด้วยตนเอง” แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีข้อนี้ครับ



4.ประกันภัยรถยนต์ที่ไหนดี

ความจริงผมไม่ใช่ผู้รอบรู้หรอกครับว่า “ประกันภัยรถยนต์ที่ไหนดี” เพราะในชีวิตจริงผมไม่ได้เปลี่ยนรถยนต์บ่อย ๆ และตั้งแต่ใช้รถยนต์มาก็ยังไม่เคยเคลมประกันเลย แต่มักมีคำถามกันในลักษณะนี้ (ราวกับสมาชิกใน pantip จะขยันตอบกันซ้ำๆ) จึงลองหาข้อมูลใน pantip และในเว็บบอร์ดต่าง ๆ เท่าที่จะหาได้แล้วเอามาสรุปให้อ่านเป็นแนวทางกัน จึงเป็นที่มาของชื่อบทความที่เห็นนี้

ตามที่ผมเคยเขียนว่า ส่วนใหญ่เรา ๆ ท่านจะถูกบังคับให้เลือกประกันภัยรถจากบริษัทประกันที่เขาทำตลาดร่วมกับไฟแนนซ์ที่ให้บริการเช่าซื้อ ในหัวข้อ ทำประกันภัยรถยนต์ อย่างไรดี แต่เขาใช้คำว่าแถมในปีแรกเพื่อให้มันดูดี ดังนั้น พอถึงเวลาต่อประกันภัยรถยนต์ปีที่ 2 เราก็มักอยากจะเลือกบริษัทประกันภัยที่เราชื่นชอบเอง

เริ่มต้นที่ แนวทางเลือกบริษัทประกันโดยทั่วไป ก่อน
มีคนให้ข้อคิดเห็นสำหรับคนซื้อประกันภัยรถยนต์ให้มองในหัวข้อหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

1. เมื่อเราเกิดอุบัติเหตุ เราอยากเข้าศูนย์ไหน หรือมีอู่ซ่อมในดวงใจที่ไหน ซึงควรน่าจะมีคำตอบเบื้องต้นไว้
2. ศูนย์หรืออูที่ว่านี้ มีบริษัทประกันภัยรถยนต์ไหนที่เขารับไว้ทำมาค้าขายด้วย คัดเลือกบริษัทประกันภัยมาสัก 3 – 5 เจ้า
3. ตรวจสอบชื่อเสียงบริษัทประกันภัยที่เลือกมา แล้วลดให้เหลือ 2-3 เจ้าก็พอ
4. ตรวจสอบหรือขอการเสนอราคากับโบรกเกอร์ (ตัวแทนหรือนายหน้าจำหน่ายกรมธรรม์) เลือกเอาที่น่าเชื่อถือได้
5. เลือกแบบประกันภัยตามราคาเหมาะกับการใช้งานเรา (ไม่ใช่เอาราคาถูกเข้าว่า เช่น การใช้งานมีความเสี่ยงมากก็ต้องเลือกบริษัทดูแล้วน่าเชื่อถือกว่าแม้จะแพงกว่าก็ตาม) โดยเบี้ยประกันก็คงเป็นตามกลไกตลาดและการประเมินสภาพความเสี่ยงจากการใช้รถ ถ้าจะสองคำนวณเบี้ยก็ลองดูในข้อ วิธีการคำนวณเบี้ยประกันภัยรถยนต์ แต่ง่ายสุดก็ถามจากโบรกเกอร์ประกันภัย

แนวทางดังกล่าวไม่ได้เฉพาะการต่อประกันภัยรถยนต์ประเภทที่ 1 เท่านั้น ยังประยุกต์ได้กับประกันภัยประเภท 2+ และ 3+ ด้วย เพราะไม่ว่าเป็นรถเก่าหรือใหม่ เมื่อเกิดอะไรขึ้นเราก็อยากจะซ่อมให้มันกลับคืนดังเดิมให้มากที่สุดทั้งนั้นแหละครับ

สถิติความนิยมบริษัทประกันภัย จากการสำรวจปี 2012

อันนี้ก็อบเขามาอีกที เป็นข้อมูลจากนิตยสาร BrandAge ได้ดำเนินการจัดทำผลการสำรวจความเป็นที่นิยมประกันภัยรถยนต์จากจากผู้บริโภคที่กำลังใช้บริการ ประจำปี 2555 ลองมาไว้เป็นแนวครับ เรียงตามลำดับร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้บริการประกันภัยที่เห็นด้วย โดยตัวเลขในวงเล็บจะเป็นร้อยละของปีที่ผ่านมา ดังนี้

1. วิริยะประกันภัย 51.84% (46.62%) ครองตำแหน่งนี้มายาวนานนับ 10 ปี
2. สินมั่นคงประกันภัย 12.40% (14.45%) ครองอันดับนี้มายาวนานตั้งแต่ปี 2550
3. กรุงเทพประกันภัย 7.85% (6.76%) ขยับขึ้นจากปีก่อน
4. มิตรแท้ประกันภัย 6.49% (7.46%) ลดลงจากปีก่อน แต่มักวนเวียนอยู่อันดับ 3 - 5
5. ทิพยประกันภัย 3.29% (4.90%) ลดลงจากปีก่อน
6. อาคเนย์ประกันภัย 2.91% (2.10%) ขยับขึ้นจากปีก่อน
7. ประกันคุ้มภัย 2.81% (3.03%) ลดลงจากปีก่อน
8. เมืองไทยประกันภัย 2.81% เจ้านี้หลุดจาก 10 อันดับยอดนิยมไปหลายปี เพิ่งมาติดใหม่ปี 2555 แทนที่ “LMG” ที่ได้คะแนน 1.75%
9. เอซ อินชัวรันซ์ 1.55% แทนที่ “ธนชาติประกันภัย” ที่ได้คะแนน 1.63%
10. ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย 1.16% แทนที่ “ไทยประกันภัย” ที่ได้คะแนน 1.63%


แล้วเราควรไปอยู่ส่วนไหนของสถิติ (จะเอาเจ้าไหนดี)

อย่างว่าแหละครับว่า นอกจากประกันภัยไม่ใช่เทพแล้ว ตัวเขาเองก็ต้องรักษาผลประโยชน์ตนเองเช่นกัน ถ้าค้นตามเว็บบอร์ดดูแล้วแม้บริษัทประกันภัยใน Top 10 ก็ยังเคยโดนด่า ส่วนใหญ่คือตุกติก ทั้งกับลูกค้าตัวเอง ตุกติกกับคู่กรณี (โยนความผิดให้คู่กรณีเพื่อช่วยให้ตนเองเป็นฝ่ายถูกเพื่อไม่ต้องรับผิดชอบ / เอาใจลูกค้าแบบผิด ๆ) ยังไม่รวมปัญหาที่มาจากตัวอู่ที่ร่วมกับบริษัทประกันรถยนต์

ขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับบริษัทประกันภัย อย่างที่บอกแต่แรกว่า ค้นจาก pantip ซึ่งไม่ได้เป็นตัวแทนทั้งประเทศ ดังนั้น จึงขอใช้ชื่อสมมติให้เป็นปริศนาธรรม ตีความกันเอาเองนะครับ ดังนั้น บางเจ้าที่ไม่มีข้อมูลเพราะไม่มีใครเอามาด่าหรืออาจจะใช้กันน้อย และที่โดนด่ามากก็อาจจะเป็นเพราะคนใช้มาก (มากคนก็เลยมากความเป็นธรรมดา) ดังนั้น ต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะข้อมูลมันมาจากการบอกเล่า และจำนวนกระทู้ข้อมูลมันก็ไม่ได้เท่ากัน อ่านไว้เป็นข้อมูลพอเป็นแนวทางก็พอ อย่าจริงจังมาก (เลยเอาไว้ท้าย ๆ) ความเห็นภาพรวมที่พบใน pantip คือ

1. บริษัทที่มีการแนะนำกันมากที่สุดคือ กรุง lnw ประกันภัย กับ วีรีย่าประกันภัย (และน่าจะแพงกว่าใครด้วย) โดยภาพรวม
· กรุง lnw เคลมง่ายกว่า วีรีย่า
· เบี้ยประกันของของวีรีย่าจะถูกกว่า และมีอู่ซ่อมมากกว่า
2. บริษัทที่เน้นเบี้ยประกันถูกคือ เจ้าพญา กับ จำลอง (ศรี) แท็กซี่ใช้กันมาก
3. บริษัทที่มีการแนะนำมากสำหรับประกันภัยรถยนต์ประเภท 2+ กับ 3+ คือ เอขอเชียร์ และ อันอันซีพี
4. บริษัทที่เห็นกันว่ามีความมั่นคง แต่ต้องรับกับวิธีการทำงานแบบรัฐวิสาหกิจได้ เช่น แพงนิด ๆ ติดต่อ
ยาก ทำงานช้า ก็คือ ทิพยเทวาลัย (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้ามีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือป่าว)
5. บริษัทที่เห็นกันว่าเข้าข้างตัวเองสุด ๆ จิตใจของการเป็นผู้ให้บริการมีน้อย คือ เมืองเทยประกันภัย (ชมพู) ชอบเปลี่ยนสถานะลูกค้าจากผิดเป็นถูกได้ยามมีคู่กรณี แต่ถ้าลูกค้าพลาดเองก็อาจจะเจอค่าเสียหายส่วนแรก (excess) ที่เกินจริงเช่นกัน
6. บริษัทที่เห็นกันว่าควรตัวออกห่างคือ lm9, โตเกี๊ยว, มิตรชุ่ย
7. บริษัทที่เห็นกันว่าดีบ้างไม่มีบ้างปะปนกันตามาตรฐานทั่วไป เช่น น้าคะเน, M51G, เอ็กซ่า, สินไม่เปลี่ยน, เทยประกันภัย (น้ำเงิน), 1NG

ก็หวังว่าพอจะเป็นแนวทางที่ช่วยท่านพิจาณาได้ดีขึ้นครับว่า ควรเลือกประกันภัยรถยนต์ที่ไหนดี



5.การเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม

ก่อนอื่นขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจากประสบการณ์จริงผู้ที่โพสต์ลงใน http://www.lancer-exclusive.com/forums/showthread.php?t=5019 ใน http://pantip.com/topic/30679686 และใน http://insuraia.blogspot.com/2011/08/blog-post.html จึงขอเอามาสรุปเป็นแนวทางให้เข้าใจภาคปฏิบัติสำหรับการเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม หรือเรียกสั้น ๆ กันว่า "การเคลมประกันรถระหว่างซ่อม"


ผู้ได้รับสิทธิประโยชน์นี้

เมื่อรถที่เราขับไปประสบอุบัติเหตุแล้วเราเป็นฝ่ายถูก เรามีสิทธิ์เรียกร้อง (เคลม) สินไหมทดแทนจากคู่กรณีได้ (ตาม ป.พ.พ แล้ว ถือว่าเป็นฝ่ายถูกละเมิด) และถ้าหากคู่กรณีมีประกันภัยรถยนต์อยู่แล้ว เราสามารถเรียกร้องจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณีได้ทันที (ถ้าประกันไม่ยอมจ่าย ให้ตามจากคู่กรณี ขอให้คู่กรณีตามประกันที่ตนเองใช้บริการ) นอกจากการเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อมแล้ว เรายังสามารถเรียกร้องค่าเสื่อมราคาจากการประสบอุบัติเหตุได้ด้วย


การทำสำเนาที่ไม่ควรพลาด

สิ่งที่สำคัญคือ ทำสำเนาหลักฐานที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอนเก็บไว้ ดังนั้น
1. เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ควรถ่ายรูปเก็บไว้ทันที เพื่อป้องกันคดีพลิก
2. หลังจากที่เจ้าหน้าที่บริษัทประกันแจกใบเคลมสำหรับซ่อมแล้ว
a. ถ่ายสำเนาส่วนหัวใบเคลมของคู่กรณีไว้ (หรือใช้กล้องถ่ายรูป) อย่างน้อยต้องมีหมายเลขใบเคลม รวมถึงสถานที่ขณะออกใบเคลมของเจ้าหน้าที่ประกัน
b. ถ่ายสำเนาใบเคลมของเราเก็บไว้ก่อนที่จะส่งให้อู่ซ่อมรถของประกัน
3. ตอนส่งรถเข้าอู่ซ่อม ใบแจ้งซ่อม / รับรถ ต้องระบุวันที่รับรถ (เข้าอู่ซ่อม) ที่ชัดเจน และทำสำเนาเก็บไว้
4. หลังจากที่ซ่อมเสร็จ ให้ขอสำเนาเอกสารจากอู่ซ่อม ได้แก่
a. รายละเอียดรายการซ่อม
b. ใบแจ้งซ่อม / ส่งรถ ต้องระบุวันที่ส่งรถ (ออกจากอู่) ที่ชัดเจน


การรวบรวมค่าใช้จ่ายระหว่างรอรถซ่อม

1. รวบรวมค่าใช้จ่าย / รายละเอียดที่จะขอสินไหมชดเชยช่วงที่ไม่มีรถใช้เพราะรอซ่อม เช่น
a. ค่าเดินทางที่เพิ่มขึ้นเพราะขาดรถ
b. รายได้ที่ขาดหายไปเพราะขาดรถใช้ประกอบอาชีพ (เช่น ขับแท็กซี่ ใช้ในการรับจ้าง)
c. ค่าเสื่อมสภาพที่อาจจะมี (เช่น บริษัทไม่ยอมเปลี่ยนอะไหล่ แต่ใช้วิธีซ่อม)
2. การมีหลักฐานของค่าใช้จ่าย จะช่วยให้การเรียกสินไหมมีน้ำหนักขึ้น ใบเสร็จรับเงินต่าง ๆ


ขั้นตอนเรียกสินไหม

1. แจ้งความจำนงค์ขอยื่นเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อมกับบริษัทประกันคู่กรณี
2. ถ้าบริษัทประกันไม่ปฏิเสธ โดยทั่วไปจะให้ยื่นเอกสาร (โดยทั่วไปจะให้ส่งทาง fax)
3. เอกสารที่ต้องเตรียม ได้แก่
a. หนังสือแจ้งความจำนงค์ (ดูตัวอย่างที่ท้ายบทความนี้) พร้อมสำเนาหลักฐานค่าใช้จ่ายที่เกิด
b. สำเนาใบเคลมหรือรายละเอียดการซ่อม (ของเรา) และเอกสารที่ระบุวันรับรถและส่งคืนรถ
c. สำเนาใบเคลมคู่กรณี
d. สำเนาบัตรบัตรประชาชนพร้อมสำเนาหน้ากรมธรรม์ของเรา (ถ้ามี)
e. สำเนาทะเบียนรถ
4. ควรโทรไปสอบถามบริษัทประกันว่าเอกสารที่ส่งไปครบถ้วน ตัวอักษรชัดเจนหรือไม่ ใครรับเรื่อง หมายรับเรื่องที่เท่าไหร่ (จะได้ติดตามเรื่องสะดวกขึ้น) และจะติดต่อกลับเมื่อไหร่


ขั้นตอนหลังเรียกสินไหม

1. หากพ้นวันที่กำหนดไว้แล้วยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ ให้โทรติดตามเรื่อง (กระทุ้งต่อมความรับผิดชอบ) ก่อนโทร เตรียมหมายเลขรับเรื่องไว้เพื่อความสะดวกรวดเร็ว
2. หลังเรื่องอนุมัติ มักมีการต่อรองราคา อันนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลในการต่อสู้เรียกค่าสินไหมทดแทนให้มากที่สุด (ในขณะที่ฝ่ายบริษัทประกันภัยก็จะจ่ายน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้)
3. การการต่อรองจบสิ้นด้วยดี บริษัทประกันภัยจะส่ง (fax) ใบตกลงรับค่าสินไหมให้เราลงชื่อยอมรับ (ตามที่ตกลงกันไว้ในข้อที่ผ่านมา) และส่ง (fax) กลับคืนเขาไป
4. การรับค่าชดเชย อาจจะเป็นเงินสด เช็ค หรือโอนเงินเข้าบัญชี (แล้วแต่วิธีการของแต่บริษัทไป)


กล่าวโดยสรุปคือ

การเรียกสินไหมทดแทนค่าเสียหายของรถยนต์เป็นสิทธิ์ที่ผู้ถูกละเมิดสามารถกระทำได้ตามกฎหมาย ไม่ว่าผู้ละเมิด (ฝ่ายผิด) จะมีประกันภัยคุ้มครองหรือไม่ก็ตาม ไม่เพียงแต่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ยังรวมถึงค่าความเสียหายอื่นที่เกิดขึ้นเพราะการขาดรถใช้ด้วย

ตัวอย่างหนังสือประกอบการแจ้งความจำนงค์ขอเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม

วันที่ 1 เมษายน 2552
เรื่อง ขอเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม
เรียน แผนกสินไหมทดแทน
เอกสารแนบ (ถ้ามี)1. ....
2. ....
ข้าพเจ้า นางถูกชน ไร้ราชรถ เป็นเจ้าของรถยนต์ โตโยโต้ รุ่น โคล่า หมายเลขทะเบียน พรบ 9999 กทม ถูกรถยนต์ยี่ห้อ ฮอนโด้ หมายทะเบียน คปภ 9999 กทม ชนท้ายที่ปากซอยอ่อนนุช 17 เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งขับโดยคุณ ตาถั่ว ใจถึง
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้รถของข้าพเจ้ามีความเสียหายดังนี้
1. รายการความเสียหาย 1
2. รายการความเสียหาย 2
3. ....บลา ๆ ๆ
ข้าพเจ้าได้จึงได้นำรถยนต์เข้าซ่อมที่ ศูนย์โตโยโต้ สาขาอ่อนนุช ในวันที่ 1 มีนาคม 2552 ซ่อมเสร็จ วันที่ 31 มีนาคม 2552 เป็นเวลา 31 วัน

ข้าพเจ้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหลังการขาย โดยปกติจะต้องใช้รถยนต์สำหรับติดต่อลูกค้าทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑลทุกวัน ประมาณ 60 กม. / วัน ในระหว่างที่นำรถเข้าซ่อมนั้น ข้าพเจ้าต้องใช้บริการรถแท็กซี่ในการเดินทางแทนและมีความไม่สะดวกในการเดินทางอย่างมาก

ดังนั้น จึงขอเรียกสินไหมดังต่อไปนี้
1. ค่าขาดผลประโยชน์จากการใช้รถ 400 บาทต่อวัน เป็นระยะเวลา 31 วัน รวม 12,400 บาท
2. ค่าเสื่อมสภาพรถจากอุบัติเหตุ 10,000 บาท
รวมทั้งสิ้น 22,400 บาท

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

ขอแสดงความนับถือ
ถูกชน ไร้ราชรถ

(นางถูกชน ไร้ราชรถ)



ที่มา:

15 ตุลาคม 2559

ภาพยนตร์สารคดีเทิดพระเกียรติ ชุด "แผ่นดินวัยเยาว์"

ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย กับภาพยนตร์สารคดีเทิดพระเกียรติ ชุด "แผ่นดินวัยเยาว์" แผ่นดินที่เรียนรู้ของยุวกษัตริย์พระองค์น้อย ซึ่งได้สัมภาษณ์บุคคลสำคัญและถ่ายทำในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทั้งหมด จำนวน 9 ตอน



ตอน 1 ปฐมบทสู่โลซาน




ตอน 2 บ้านใหม่ที่โลซาน เลขที่16 ถนนทิสโซต์-วิลล่าวัฒนา




ตอน 3 ปณิธานของพระราชชนนี (การศึกษาและอบรมเลี้ยงดู)




ตอน 4 ค่ายเพื่อพลานามัยในฤดูร้อน




ตอน 5 ฤดูหนาวกับชีวิตบนภูเขา




ตอน 6 งานศิลปะประดิษฐ์สู่การทรงงาน




ตอน 7 ลีซองดร์ เซ. เซไรดารีส บุตรชายพระอาจารย์



 
ตอน 8 ความทรงจำของพระสหาย 


 

ตอน 9 ความสัมพันธ์ไทย-สวิตเซอร์แลนด์




แผ่นดินวัยเยาว์ สารคดีเทิดพระเกียรติ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมด้วย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และสถานีข่าวโทรทัศน์ TNN 24 ผลิตภาพยนตร์สารคดี "แผ่นดินวัยเยาว์" ถ่ายทอดเรื่องราวเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงพำนักอยู่ ณ ประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 แถลงรายละเอียดที่พระที่นั่งเทวราชสภารมย์ พระราชวังพญาไท

ศุภชัย เจียรวนนท์ รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เนื่องในโอกาสอันเป็นมิ่งมหามงคลของประชาชนทั้งแผ่นดินที่อยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารขององค์เอกกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 เครือเจริญโภคภัณฑ์ และทรู คอร์ปอเรชั่น สถานี TNN 24 สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดทำภาพยนตร์สารคดี "แผ่นดินวัยเยาว์" นำเสนอพระราชประวัติเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ร้อยเรียง รวบรวมคำบอกเล่าของบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระองค์อย่างที่ไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน ทั้งด้านการใช้ชีวิต การศึกษา และการเรียนรู้ ขณะประทับ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ภาพยนตร์สารคดีชุดนี้ได้รับความร่วมมือการให้ข้อมูลบันทึกประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย อาทิ ม.ร.ว. จารุวรรณ รังสิต, ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม, ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา, เฉลิมพล ทันจิตต์ อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเบิร์น สวิต เซอร์แลนด์

อีโว ซีเบอร์ เอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่าสถานทูตรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีส่วนร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลนี้กับภาพยนตร์สารคดี "แผ่นดินวัยเยาว์" ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวและความสวยงามของสวิตเซอร์แลนด์ ทุกฉากทุกตอนสะท้อนความผูกพันระหว่างไทยและสมาพันธรัฐสวิส ที่ยาวนานมากว่า 130 ปี

ม.ร.ว.จารุวรรณ รังสิต พระนัดดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร (ต้นสกุลรังสิต) กล่าวว่ามีโอกาสถวายการรับใช้สมเด็จย่าอย่างใกล้ชิดในหลายๆ ครั้งขณะที่ยังเด็กและเรียนหนังสืออยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ จำได้ว่าสมเด็จย่าจะเสด็จมาเยี่ยมหม่อมย่า โดยทรงเก็บดอกไม้ป่าจากภูเขามาเป็นของขวัญอยู่เสมอ เรามีหน้าที่ยกน้ำชาทุกครั้งด้วยความตื่นเต้น มีรับสั่งถึงความห่วงใยเรื่องการศึกษา รวมถึงการทำงานให้ขยัน รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มีส่วนร่วมในสารคดีครั้งนี้

อภิศักดิ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการบริหารช่องรายการ TNN กล่าวว่า ภาพยนตร์สารคดี "แผ่นดินวัยเยาว์" ใช้เวลาการผลิตนานถึง 2 ปีเต็ม ใช้สถานที่ถ่ายทำมากกว่า 30 แห่ง ได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากบุคคลสำคัญกว่า 20 คน อาทิ นักประวัติศาสตร์ไทย ผู้สนองงานใกล้ชิด เจาะลึกเรื่องราวอย่างละเอียดอ่อนและถูกต้องเพื่อให้สมพระเกียรติ ถ่ายทอดเนื้อหาการใช้ชีวิตและการศึกษาครั้งทรงพระเยาว์ได้สมบูรณ์แบบที่สุด ทั้งยังเชื่อมโยงไปถึงพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ ดังเช่นตอนที่ 4 กล่าวถึงการเข้าค่ายฤดูร้อนที่ทำให้พระองค์ทรงสัมผัสและเรียนรู้ธรรมชาติอย่างใกล้ชิด สอดคล้องกับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ครอบคลุมทั้งด้านการเกษตร สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข การพัฒนาแหล่งน้ำ และอื่นๆ

อภิศักดิ์กล่าวด้วยว่าภาพยนตร์สารคดีชุด "แผ่นดินวัยเยาว์" มีทั้งสิ้น 9 ตอน ประกอบด้วย 1.ปฐมบทสู่เมืองโลซานน์ 2.บ้านใหม่ที่โลซานน์ เลขที่ 16 ถนนทิสโซต์-วิลล่าวัฒนา 3.การศึกษาและการอบรมเลี้ยงดู 4.ค่ายเพื่อพลานามัยในฤดูร้อน 5.ฤดูหนาวกับชีวิตบนภูเขา 6.งานศิลปะประดิษฐ์สู่การทรงงาน 7.พระสหาย 8.ความทรงจำจากพระอาจารย์เกลย์อง เซ.เซไรดารีส ผ่านบุตรชาย ลีซองดร์ เซ. เซไรดารีส 9.ความสัมพันธ์ไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เริ่มวันที่ 9 มิ.ย.นี้ เวลา 20.00 น. ทาง TNN 24 (ทรูวิชั่นส์ช่อง 16 และ 777) และออกอากาศซ้ำทาง True4U (ทรูวิชั่นส์ ช่อง 24)

ขอบคุณที่มา วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 26 ฉบับที่ 9308 ข่าวสดรายวัน




ที่มา pantip.com

14 กันยายน 2559

มองอนาคต ร้านสะดวกซื้อ

ร้านสะดวกซื้อจะค่อยๆปรับเปลี่ยนจากสถานที่ขาย สินค้า (Goods) ไปเป็นสถานที่ขาย บริการ (Services)

ถ้าพูดถึงเครือข่ายร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย น่าจะเห็นตรงกันว่า คือร้านเซเว่นอีเลฟเว่น (7-11) ที่พบเห็นได้ทั่วไปริมถนน พื้นที่ชุมชน ปั๊มน้ำมัน หรือแม้กระทั่งสาขาแบบสแตนอโลนตั้งอยู่โดดๆพร้อมที่จอดรถ โดยมีบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้บริหารแฟรนไชส์เซเว่นอีเลฟเว่นในประเทศไทย 

แม้จะมีธุรกิจในส่วนของบริษัทลูกด้วย เช่น ถือหุ้นใหญ่บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO) แต่ 80% ของกำไร(earning before tax)ก็ยังมาจากธุรกิจของ CPALL เดิมเป็นหลัก อันได้แก่ ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น, ร้านขายยา Xta , คัดสรรเบเกอรี่ Cudson, ผู้ผลิตอาหารถาดฟรีซ7 Fresh, และ กำลังเปิดแนวรบใหม่ด้านกาแฟสดในชื่อ ร้านกาแฟมวลชน 

ที่ผ่านมาการเติบโตหลัก (Growth Story) ที่ทำให้ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นขยายสาขาได้เรื่อยๆ ไม่ได้มาจากมูลค่าตลาดค้าปลีกไทยที่เติบโตขึ้น แต่ เป็นพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่กำลังเปลี่ยน "สถานที่" ช้อปปิ้งซึ้อของ โดยย้ายจากโชห่วยดั้งเดิม มาเป็นร้านสะดวกซื้อ ที่สะดวก สว่าง เย็นสบายตั้งราคามาตรฐานทั่วประเทศและมีพัฒนาการเป็นร้านอิ่มสะดวกในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา 

ในระหว่างเส้นทางธุรกิจตลอด 15 ปีที่ผ่านมาเซเว่นอีเลฟเว่นไม่ได้เป็นเครือข่ายรายหลักในตลาดค้าปลีกไทยได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่กิจการได้ฝ่าฟันสารพัดอุปสรรค และคู่แข่งอย่าง AM-PM, จิฟฟี่(Jiffy), แฟมิลี่มาร์ท(Family Mart), 108ลอว์สัน, และอีกสารพัดร้านสะดวกซื้อใน format ใกล้ๆกัน กว่าจะมาถึงวันนี้ วันที่การขยายสาขาครอบคลุม และทิ้งห่างอันดับ 2-3 อย่างมากวันที่ยึดกุมทำเลหัวถนน ปากซอย ตึกแถวหัวมุม เกือบทุกชุมชนทั่วประเทศทั้งหมดที่เราเห็นวันนี้ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่ใช้เวลามากกว่า15ปีในการก่อร่างสร้างอาณาจักร 

จำนวนสาขาที่มีล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 59 มีทั้งสิ้น 9,252 สาขา ซึ่งปกติใช้พนักงาน 3 คนต่อกะ และใช้คน ประจำร้าน ตลอด 24 ชั่วโมง ใช้คนหมุนเวียนต่อวันมากกว่า85,000คน!!! :ซึ่งยังไม่นับรวมคนทำลอจิสติกส์ (Logistics), คนคุมคุณภาพอาหารสดที่วิ่งทุกร้าน ทุกวันทั่วประเทศ , คนเก็บ/เติมเงินสด ฯลฯ รวมกันแล้ว ต้องใช้คนต่อวันเป็นแสนคน ... 

ถึงต้องมี 'สถาบันปัญญาภิวัฒน์' เพื่อเป็นแหล่งสร้างคน ให้ทำงานและสร้างงานต่อ 

เอาหละ นั่นก็เป็นอดีตที่นำพานักลงทุนในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ได้รับกำไรเป็นกอบเป็นกำกันมา ทุกวันนี้ คำถามมากมาย อยากรู้ว่าวันนี้ ธุรกิจนี้ยังคงน่าสนใจหรือไม่ ยังเติบโตได้อีกหรือไม่และมันจะโตต่อไปได้ด้วยอะไร ? เป็นสเกลที่ใหญ่แค่ไหน ? 

ถ้าเราไปดูโอกาสในโครงการใหม่ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่แจ้งแผนให้นักลงทุนทราบ ก็มักจะมีประมาณว่า จะทำอีคอมเมิร์ซ หรือจะเข้าสู่ธุรกิจสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม แต่โดยส่วนตัว ก็ยังอยากเห็นแหล่งรายได้ใหม่ๆที่มากกว่านี้ ชัดเจนกว่านี้อยู่ เลยลองไปดูกรณีศึกษาที่ญี่ปุ่น ที่นั่นจำนวนสาขาของร้านสะดวกซื้อมากกว่าประเทศไทยอยู่มาก สิ่งที่พบก็คือ อนาคต... ร้านสะดวกซื้อจะปรับตัวเข้ากับ "ประชากร" ในประเทศ ... นั่นคือสังคมผู้สูงวัย 

ร้านสะดวกซื้อที่ประเทศญี่ปุ่น ปรับตัวมาขายสินค้าให้พี่ๆสูงวัยมากขึ้น และมากขึ้น เช่น 
->ขายสินค้าพร้อมจัดส่งถึงบ้าน พี่สูงวัยไม่จำเป็นต้องมาถึงร้านเพื่อหิ้วของกลับบ้านทุกวัน 
->ขายชุดข้าวกล่องเบนโตะเพื่อสุขภาพ และอาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆแบบส่งดีลิเวอรี่ถึงบ้าน 
->มีพื้นที่ขายยาให้พี่สูงวัย 
->มีการจัดมุมดูแลให้คำปรึกษาแก่พี่สูงวัย มีเก้าอี้ให้นั่ง และในที่สุดกลายเป็นจุดนัดพบไปเลย บางสาขาที่มีพื้นที่เลยจัดกล่องคาราโอเกะเข้าไปด้วย . 

สิ่งเหล่านี้แม้จะยังมาไม่ถึงประเทศไทยก็จริง แต่หลายโมเดลธุรกิจก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดในไทย เพราะเราเคยได้ยินการขาย 'บริการ' ซักรีด, ส่งของ, จ่ายเงินชำระเงิน ฯลฯ ที่ร้านสะดวกซื้อของไทยบ้างแล้ว 

ร้านสะดวกซื้อจะค่อยๆปรับเปลี่ยนจากสถานที่ขาย "สินค้า(Goods)" ไปเป็นสถานที่ขาย บริการ(Services) ซึ่งถ้าทำได้ นี่คือ ธุรกิจใหม่ ที่เกาะกระแสเทรนด์พร้อมกัน 2 เทรนด์ใหญ่คือ สังคมสูงวัย (Aging Society) และ ความเป็นเมือง (Urbanization) 

หากทำได้จริง ก็จะถือเป็น Growth Story ใหม่ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ


ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/638814


13 กันยายน 2559

อาชีพที่จะหายไปและอาชีพในอนาคต

พัฒนาการทางเทคโนโลยีและกระแสสังคมที่เปลี่ยนไป ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแแปลงในอาชีพ (Jobs) ต่างๆ



หลายอาชีพที่อยู่ในปัจจุบันกำลังจะหมดความสำคัญและสูญหายไป ขณะเดียวกันเราก็จะเริ่มด้เห็นอาชีพใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมา ที่ในอดีตไม่เคยได้ยินหรือนึกฝันมาก่อน ดังนั้นจึงมีคำถามสำคัญว่าการพัฒนาเด็กในปัจจุบัน เราได้เตรียมพร้อมอนาคตของชาติสำหรับสำหรับวิชาชีพใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือยัง?

ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนนะครับว่ากำลังมีอาชีพอะไรบ้างที่กำลังหดตัวและอาจจะสูญหายไปในอนาคต แต่ต้องขอใช้ตัวอย่างจากอเมริกานะครับ เพราะเขามีการเก็บสถิติไว้อย่างเป็นทางการครับ ตัวอย่างของอาชีพที่กำลังหดตัวในอเมริกา ได้แก่ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ (เนื่องจากหนังสือพิมพ์ได้ปิดตัวเองลงไปมากขึ้น) พนักงานคิดเงินในร้านค้าปลีก (เนื่องจากเริ่มเป็นการใช้เครื่อง self-checkout มากขึ้น) เอเย่นต์ท่องเที่ยว (ปัจจุบันมีเว็บมากมายที่ทำหน้าที่ทดแทนได้) นักบิน (ปัจจุบันมีการใช้โหมด auto-pilot กันมากข้ึน และ Artificial Intelligence ก็จะลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของมนุษย์ได้) พนักงาน Tellers ในธนาคาร (เนื่องจากการทำธุรกรรมกับธนาคารเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติหมด) พนักงานบัญชี (เมื่อมีซอฟแวร์บัญชีที่มาทดแทนได้) ฯลฯ

มีการศึกษาโดย Bank of America ที่ระบุว่าภายในปี 2025 หุ่นยนต์จะทำงานร้อยละ 45 ในโรงงาน ซึ่งเทียบกับปัจจุบันที่หุ่นยนต์ทำงานเพียงแค่ร้อยละ 10 และจากรายงานของมหาวิทยาลัย Oxford แจ้งว่าในปี 2025 เกือบครึ่งของงานในอเมริกาจะมีความเสี่ยงที่จะถูกทดแทนด้วยคอมพิวเตอร์

แสดงว่ายิ่งเทคโนโลยีทางด้าน AI ด้าน Machine Learning ด้านหุ่นยนต์พัฒนามากขึ้นเท่าใด พนักงานที่ทำงานประจำในลักษณะของ routine ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรกลหรือหุ่นยนต์มากขึ้น ดังนั้นท่านผู้อ่านลองคิดดูนะครับว่าในงานที่ท่านทำอยู่ในปัจจุบัน ในอนาคตไม่ไกลนั้นหุ่นยนต์จะสามารถทำแทนท่านและทำได้ดีกว่าท่านหรือไม่?

มีรายงานที่เผยแพร่ในการประชุมที่ World Economic Forum ว่า จะมีคนตกงานกว่า 7.1 ล้านคน ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากการเข้ามาทดแทนของเทคโนโลยี ในขณะเดียวกันร้อยละ 65 ของเด็กที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษาในปัจจุบัน เมื่อโตไปจะทำงานในอาชีพที่ยังไม่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ดังนั้นหน้าที่สำคัญของผู้ใหญ่ในปัจจุบันคือการเตรียมพร้อมเด็กรุ่นใหม่ให้มีความรู้และทักษะที่สำคัญและจำเป็นต่ออาชีพใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คงจะยากที่จะพยากรณ์ได้ว่าอาชีพใหม่ๆ ที่จะมีในอนาคต (ที่ยังไม่มีในปัจจุบัน) คืออะไรบ้าง แต่เราสามารถดูได้จากอาชีพที่มีอยู่ในปัจจุบันที่ในอดีตไม่เคยปรากฎมาก่อนมีอะไรบ้าง ก็คงพอจะทำให้เห็นภาพบ้างนะครับ ถ้าเริ่มจากที่เราพอจะคุ้นๆ กันอยู่ก็อาทิเช่น Social media executive หรือ Data Mining expert หรือ Freelancing หรือ Corporate Entrepreneur หรือ Sustainability expert หรือ Cloud computing professional หรือ Inforgraphic designers เป็นต้น แต่ถ้าเป็นกลุ่มที่เน้นเทคโนโลยี และจะเป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต ก็ได้แก่ Cognitive computer engineer หรือ Machine learning specialist หรือ Blockchain engineer หรือ Virtual reality engineer หรือ Internet of things architect เป็นต้น

ดังนั้นเด็กยุคใหม่เมื่อก้าวสู่การทำงานในอนาคต ก็ย่อมต้องการทักษะที่ไม่เหมือนในอดีตนะครับ เรื่องของความรู้ในวิชาชีพนั้นเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญคือเด็กยุคใหม่จะต้องมีความสามารถในการทำงานที่ต้องอาศัยทักษะขั้นสูงที่ไม่ใช่งาน routine ท่ีหุ่นยนต์สามารถทำแทนได้ ซึ่งงานที่ต้องอาศัยทักษะขั้นสูงที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้นั้นก็มักจะหนีไม่พ้นงานที่ต้องอาศัยการคิดเป็นและคิดอย่างมีวิจารณญาณ รวมทั้งทักษะในด้าน Empathy ในการทำความเข้าใจต่อความต้องการและจิตใจของคนมากขึ้น คำถามคือปัจจุบันเราเตรียมตัวเด็กของเราให้พร้อมสำหรับอาชีพใหม่ๆ ในอนาคตหรือยัง?


ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/638904

09 กันยายน 2559

พร้อมเพย์ (PromptPay)




ทางเลือกใหม่ ที่ต่อยอดมากจากบริการโอนเงินเดิมที่มีอยู่

พร้อมเพย์ คือ ทางเลือกใหม่ ที่ต่อยอดมากจากบริการโอนเงินเดิมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการโอนทาง Internet banking,Moblie banking หรือ ATM ที่พร้อมเปลี่ยนให้การรับและโอนเงินของคุณ สะดวก ว่องไว มั่นใจ ในความปลอดภัย และ ใช่เลย กับความประหยัด
ว่องไว
- เพียงลงทะเบียนพร้อมเพย์ ก็พร้อมรับเงินโอนได้ง่ายๆ
- แค่บอกหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ
มั่นใจ
- ปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
- ธนาคารดูแลลูกค้าเป็นปกติตามช่งทางที่เลือกใช้
- แบงค์ชาติตรวจสอบอยู่เสมอ
ใช่เลย
- คนโอนประหยัดค่าธรรม เนียมแบบสุดๆ
- โอนไม่เกิน 5,000 บาท ฟรีไม่มีเงื่อนไข
- โอนได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ช่วงมูลค่า                                  ค่าธรรมเนียม                                      
ไม่เกิน 5,000 บาทต่อรายการ           ฟรีทุกรายการ
5,000 – 30,000  บาท                 ไม่เกิน 2 บาทต่อรายการ                 
30,000 – 100,000 บาท              ไม่เกิน 5 บาทต่อรายการ
มากกว่า 100,000 บาทขึ้นไป           ไม่เกิน 10 บาทต่อรายการ            
ศึกษารายระเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ www.epayment.go.th

Tech Startup ธุรกิจมาแรงของคนอยากรวย

ปัจจุบัน Startup ผุดขึ้นมาให้เห็นในวงการธุรกิจอย่างมากมายส่วนใหญ่เกิดจากการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน

หรือเห็นโอกาสที่ยังไม่มีใครเคยเห็น เหมือนอย่าง Tech Startup ก็ถือเป็นหนึ่งใน Startup ยอดนิยมที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเกิดขึ้นมาเพื่อตอบรับกระแสของโลกโดยส่วนใหญ่เปิดบริษัทจากคนเพียงไม่กี่คน วางแผนมาเพื่อเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยสินค้าที่ทำออกมาคือซอฟท์แวร์หรือ แอพพลิเคชัน ที่มีการลงทุนไม่สูง และหากมีการวางแผนธุรกิจที่ดี มีไอเดีย สามารถสร้างผลงานให้คนใช้ได้ทั่วโลก ก็จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หลายคนคิดอยากก้าวเข้าสู่วงการนี้เพราะการขยายธุรกิจผ่านเทคโนโลยีเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็วทุกที่ทุกเวลา แถมหากพัฒนาแอพพลิเคชันออกมาแล้วได้รับความนิยม รายได้ก็อาจจะเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดดในขณะที่รายจ่ายไม่ได้เพิ่มอะไรมากมาย
อย่าลืมว่าธุรกิจTech Startup เป็นธุรกิจที่ทำได้ไม่ยากนักและที่สำคัญเงินลงทุนไม่สูง ทำให้ความยั่งยืนก็อาจจะน้อยตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จากTech Startup หลายรายเปิดตัวอย่างสวยงาม แต่สักพักต้องปิดตัวไปอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทุกราย เพราะก็มีอีกหลายรายที่ยังคงเติบโตได้ดีอย่างเช่นธุรกิจ FoodStory แอพพลิเคชันจัดการร้านอาหารที่สามารถคว้ารางวัลสุดยอด SME แห่งปี 2016 จากรายการเรียลลิตี้ธุรกิจชื่อดัง SME ตีแตก The Final 2016ที่ยังคงเติบโตอย่างยั่งยืนได้จนถึงปัจจุบัน
FoodStory เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา จากความคิดของสองเพื่อนสนิท ยิม ฐากูร ชาติสุทธิผล และแจ็คชวินศุภวงศ์ด้วยมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่มีมากว่า15 ปีบวกกับความชอบและหลงใหลในการรับประทานอาหารเหมือนกัน และมักจะเกิดความหงุดหงิดเสมอเวลาเจอร้านอาหารที่อร่อยแต่กลับมีระบบบริหารจัดการร้านที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น พนักงานรับออเดอร์รายการอาหารด้วยการจดลงกระดาษความผิดพลาดในการสั่งอาหารของพนักงาน ความล่าช้าของขั้นตอนการเก็บเงิน เป็นต้น
เมื่อเจอปัญหาดังกล่าวว่า ทั้งสองคนคิดตรงกันว่าต้นเหตุปัญหาเกิดจากการที่ร้านอาหารยังใช้ระบบ Offline อยู่ ทั้งๆที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของประเทศก้าวเข้าสู่โลกของ Onlineแล้ว ทั้งคู่จึงคิดว่าต้องหาระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของร้านอาหารเพราะเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีแอพพลิเคชันไหนตอบโจทย์ความต้องการของร้านอาหารและอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าโดยเฉพาะในเรื่องการแสดงความคิดเห็นจากผู้ใช้บริการจริง เพราะแอพพลิเคชันส่วนใหญ่รองรับการให้บริการของโรงแรม รีสอร์ทแต่ในส่วนของร้านอาหารกลับไม่มีแอพพลิเคชันที่ช่วยทำให้เห็นภาพของร้านอาหารและการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้บริการจริง
FoodStoryจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นแอพพลิเคชันที่จะช่วยทำให้ร้านอาหารเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นและลูกค้าเองก็สามารถหาร้านอาหารที่ตรงความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีแนวคิดในการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ความเป็น Tech Startup ที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับใครที่กำลังตัดสินใจก้าวเข้าสู่วงการนี้
1. การผสมผสานอย่างลงตัวยิมเป็นเจ้าของธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับแอพพลิเคชัน ส่วนแจ็ค เป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร การมาเจอกันของทั้งคู่เป็นการนำความถนัดของแต่ละคนมารวมกันบวกกับความชอบและความคิดอยากปฏิวัติวงการร้านอาหารเหมือนกันจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดธุรกิจนี้ขึ้นซึ่งถือเป็นข้อดีเพราะแต่ละคนสามารถเติมเต็มในส่วนที่ขาดของกันและกันได้
2. หาปัญหาให้เจอ Tech Startup ส่วนใหญ่ เกิดขึ้นมาจากการมองเห็นปัญหารอบตัว สำหรับ FoodStoryก็เช่นกันยิมและแจ็คมองเห็นปัญหาของร้านอาหารจากมุมมองของตัวเองในการเป็นลูกค้า และเห็นโอกาสของธุรกิจร้านอาหารที่ยังคงเติบโตได้เมื่อปัญหาและโอกาสมาเจอกันในจังหวะที่เหมาะสม การสร้างแอพพลิเคชันFoodStoryที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโต 

3. ออกแบบแอพพลิเคชันให้เป็นมิตรกับลูกค้า หัวใจสำคัญของธุรกิจ Tech Startup คือ การทำให้ลูกค้าเลือกใช้แอพพลิเคชันของเรา ดังนั้น FoodStory จึงมุ่งมั่นพัฒนาจนมีความพร้อมมากที่สุดแม้ในช่วง 3 ปีแรกจะเป็นช่วงที่มีแต่รายจ่าย รายได้แทบไม่มี แต่เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด FoodStoryก็อดทนรอเพื่อสร้างแอพพลิเคชัน 
ให้ใช้งานง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้มากที่สุด 

4. มองว่าแอพพลิเคชันอื่นไม่ใช่คู่แข่งแต่เป็นส่วนเติมเต็มเพราะไม่ได้เก่งทุกอย่างแต่เลือกโฟกัสบางอย่าง แล้วมองหาเพื่อนที่ดีเพื่อช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตและสามารถตอบสนองธุรกิจร้านอาหารอย่างครบวงจรดังนั้นการจับมือกับแอพพลิเคชันพันธมิตร เช่น แอพพลิเคชันบริการส่งอาหารจึงช่วยอำนวยความสะดวกต่อผู้ประกอบการร้านอาหารที่ไม่ต้องเสียเวลาพูดคุยกับลูกค้าทีละราย เพราะลูกค้าสามารถสั่งอาหารออนไลน์ ซึ่งจะเด้งเข้าระบบของร้านและการคำสั่งนี้จะถูกส่งต่อไปยังระบบบริการส่งสินค้าในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่ารวดเร็วและเป็นประโยชน์สำหรับทุกฝ่ายและแอพพลิเคชัน ช่วยจัดการระบบบัญชี เพื่อรองรับระบบหลังบ้านของร้านอาหาร จึงเป็นการเชื่อมโยงของพันธมิตร ที่นอกจากจะช่วยขยายฐานลูกค้าแล้ว ยังช่วยเติมเต็มตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบครัน
ทำธุรกิจ ต้องถึก ดื้อ แต่ไม่ด้าน ฟังความคิดเห็นของคนรอบข้างแล้วมาปรับใช้”หลักในการทำธุรกิจที่ยิม ฐากูร ฝากไว้สำหรับผู้ที่กำลังเข้าสู่วงการ Tech Startupเพราะการทำธุรกิจในปัจจุบันมีความท้าทายและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งสำคัญที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรมี คือ ความขยันและอดทน ยิ่งเวลาเจอปัญหาหรืออุปสรรค อย่าท้อแท้หรือถอยไปง่ายๆ ต้องดื้อในความคิดและมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คิดและสิ่งที่ทำมันเป็นไปได้ แต่ความดื้อต้องมีขอบเขตที่เหมาะสม อย่าดื้อจนไม่รับฟังความคิดเห็นของคนรอบข้าง ที่อาจมองเห็นจุดอ่อนหรือข้อด้อยของธุรกิจได้ดีกว่าที่เรามองเอง
เพราะธุรกิจ Tech Startupหรือ Startupส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากกระแสของโลกในขณะนั้น ความอดทน รอคอย รักในสิ่งที่ทำของเจ้าของธุรกิจ รวมทั้งมุ่งมั่นตั้งใจสร้างธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ความต้องการและช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนได้แม้จะมีหลายคนเคยกล่าวไว้ว่า Startup ส่วนใหญ่มักจะร่วงก่อนรุ่งก็ตาม
ที่มาของภาพ : นิตยสาร Marketeer

29 กรกฎาคม 2559

บทความดีดี ได้แง่คิด

“ซื่อสัตย์ “ ถูก หนุ่มน้อยนามว่า
“ฉลาด” ทิ้งลงทะเล
ซื่อสัตย์พยายามว่ายน้ำ
จนมาถึงเกาะแห่งหนึ่ง

เมื่อขึ้นฝั่งได้ ซื่อสัตย์ ก็นอนพักอยู่บนหาดทราย และพยายามคิดหาวิธีที่จะกลับฝั่ง และก็หวังจะมีเรือของใคร
ผ่านมาทางนี้บ้าง

ไม่นาน ซื่อสัตย์ก็ได้ยินเสียงเพลงแววมาแต่ไกล จึงรีบลุกขึ้นและมองไปยังต้นเสียง มีเรือลำหนึ่งกำลังมุ่งมายังเกาะนี้ บนเรือลำนั้นมีธงผืนเล็กโบกสะบัดอยู่ บนธงนั้นเขียนคำว่า “ความสุข” ที่แท้เป็นเรือของความสุขนั่นเอง

ซื่อสัตย์จึงตะโกนเรียก...
“ความสุข ความสุข ผมซื่อสัตย์ คุณช่วยพาผมขึ้นฝั่งได้ไหม?”

เมื่อความสุขได้ยิน จึงตอบไปว่า
ไม่ได้ ไม่ได้
หากผมพาคุณขึ้นมาด้วย
ผมจะหมดสุข
คุณดูสิ ผู้คนมากมายในสังคมยุคนี้
ี้ที่พูดความจริงแล้ว
กลับไม่มีความสุข
ขอโทษนะ ซื่อสัตย์
ผมรับคุณขึ้นมาไม่ได้
พูดเสร็จ ความสุขก็จากไป

ผ่านไปสักครู่หนึ่ง “ตำแหน่ง” ก็ผ่านมา
ซื่อสัตย์ตะโกนเรียกเช่นเดิม

ตำแหน่ง ตำแหน่ง ผมซื่อสัตย์ ผมขออาศัยเรือของคุณ
ขึ้นฝั่งได้ไหม?

ตำแหน่ง พอได้ยิน
ก็รีบหันหัวเรือให้ห่างออกไป และก็หันมาพูดกับซื่อสัตย์ว่า
ไม่ได้ ไม่ได้ ซื่อสัตย์คุณจะขึ้นมาอยู่กับผมไม่ได้ คุณรู้ไหมตำแหน่งที่ผมได้มานั้น
มันยากเย็นสักเพียงใด หากผมพาคุณมาอยู่ด้วย
เดี๋ยวผมก็ซวยนะสิ เดี๋ยวผมก็จะสูญเสียตำแหน่ง ยังไงผมไม่ขออยู่ร่วมกับคุณ

ซื่อสัตย์น้ำตาคลอเบ้า
มองตำแหน่งที่รีบออกเรือจากไป
อย่างสิ้นหวัง
รู้สึกสับสนในตนเองเป็นอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ทำได้ ก็เพียงแค่รอ
รอ และก็รอ เท่านั้น

และอยู่ๆก็มีท่วงทำนอง
ที่ไม่ค่อยจะเข้ากันนักแว่วดังมา
เรือลำหนึ่ง บรรทุก“แข่งขัน”เป็นจำนวนมากผ่านมา ซื่อสัตย์จึงตะโกนเรียก

“แข่งขัน แข่งขัน
ผมขอขึ้นเรือของคุณได้ไหม?”

“คุณเป็นใคร คุณมีประโยชน์แค่ไหนกับพวกเรา?” แข่งขันตะโกนถามมา

ซื่อสัตย์ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะเกรงว่าจะพลาดโอกาส
เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ซื่อสัตย์ก็คือซื่อสัตย์

“ผมคือซื่อสัตย์.....”

“ห๊า! คุณคือซื่อสัตย์
หากพวกเรามีคุณอยู่ด้วย เราจะแข่งขันเอาชนะอะไร
กับใครที่ไหนได้ ”
พูดเสร็จ ก็หันหัวเรือจากไปอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ซื่อสัตย์กำลังสิ้นหวัง อยู่ๆก็มีน้ำเสียงอันเมตตาดังขึ้นว่า
“ลูกจ๋า ขึ้นเรือเถิด!”

เมื่อซื่อสัตย์เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นผู้เฒ่าผมขาวโพลน
คนหนึ่งยืนอยู่บนเรือ
“ฉันคือผู้เฒ่าแห่งกาลเวลา”

“ทำไมท่านต้องมาช่วยผมครับ?” ซื่อสัตย์ถามออกไปด้วยความสงสัย
“มีแต่กาลเวลาเท่านั้นที่รู้ว่า
ซื่อสัตย์มีค่ามากเพียงใด”
ผู้เฒ่าแห่งกาลเวลา
พูดออกไปด้วยรอยยิ้ม
บนทางกลับคืนฝั่ง

ผู้เฒ่าแห่งกาลเวลา
ได้พูดกับ ความสุข
ตำแหน่ง และ แข่งขัน ที่ต่างก็เรือล่มอยู่กลางทะเลว่า

“เจ้าทั้งหลายจงจำไว้ หากปราศจากซื่อสัตย์แล้ว ความสุขจะอยู่ได้ไม่นาน
ตำแหน่งที่ได้มาก็เป็น
ตำแหน่งจอมปลอม
การแข่งขันก็มีแต่
จะล้มเหลวไม่เป็นท่า"
 
ฉะนั้นขอให้ท่านรักษา
ความซื่อสัตย์ไว้ให้ดี แล้วความสำเร็จและความสุข
จะเกิดกับท่านตามกาลเวลา
อันเหมาะสม...

แปลจากบทความของนักศึกษาจีน
ที่มา : facebook.com/NusonBooks
(นุสนธิ์บุคส์)

25 กรกฎาคม 2559

วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส

    เว็บไซต์สมาคมจิตวิทยาอเมริกา (APA) มีคำแนะนำเรื่อง "10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส (สู้ + ไม่ยอมแพ้)" หรือ  "10 ways to build resilience (10 วิธีสร้างความสามารถในการพลิกฟื้นหลังวิกฤต)"

   ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังในสไตล์ "ไทยหลายคำ-อังกฤษน้อยคำ" เพื่อให้พวกเรา (ทั้งท่านผู้อ่านและท่านผู้เขียน) ได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกันครับ


(1). Make connections = สร้างความสัมพันธ์

ไม่ว่าชีวิตจะสูงขึ้นหรือต่ำลง...สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การมีญาติสนิทมิตรสหายที่ดี ยุคนี้ดีกว่ายุคไหนๆ ตรงที่ว่า คนเรามีมิตรภาพได้ทั้งออฟไลน์ (off-line = ชีวิตจริงนอกอินเตอร์เน็ต) และออนไลน์ (online = ชีวิตบนอินเตอร์เน็ต)

อาจารย์หมอบุญนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเขียนไว้ในจุลสารสภานักศึกษา มอ. ประมาณปี 2525 ว่า คนที่มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือญาติสนิทมิตรสหายดีเปรียบเสมือนคนที่ที่ "ที่พิงหลัง" พบวิกฤตอะไรก็พอกลับไปลี้ภัยได้ ระบายได้ เปรียบคล้ายกันชน (buffer) ทำให้ชีวิตมีทางออกในยามวิกฤต ทำให้ล้มได้ยาก

การมีญาติสนิทมิตรสหายดีๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักบ่มเพาะมิตรภาพให้งอกงามด้วย เช่น รู้จักแสดงความชื่นชมคนรอบข้างอย่างน้อยวันละครั้ง ไปเยี่ยมเยียนพร้อมของฝากหรือข่าวดีบ้าง ฯลฯ


(2). Avoid seeing crises as unsurmountable problems = หลีกเลี่ยงการมองวิกฤตว่า เป็นทางตัน (ไม่มีทางออก)

ควรฝึกมองโลกในหลายมุมมอง เมื่อมีข่าวดีเข้ามา...ให้ลองมองหาข่าวร้ายที่มักจะแฝงมาด้วย เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา...ให้ลองมองหาข่าวดีที่มักจะแฝงมาด้วยเสมอ

ปัญหา (ชีวิต) มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายอมจำนน กล่าวกันว่า ดาบดีเพราะผ่านร้อนผ่านหนาว

การทำดาบเมื่อก่อนจะเผาไฟ ตีๆๆๆๆ ชุบน้ำ ทำให้เหล็กมันร้อนๆ หนาวๆ อย่างนี้หลายๆ ครั้ง ดาบจึงจะแกร่ง ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคมามาก (และยืนหยัด ไม่ยอมแพ้) มักจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


(3). Accept that change is a part of living = ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ชีวิตมักจะประกอบด้วยส่วนที่เราควบคุมได้ และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้...หน้าที่ของเราคือ ทำส่วนที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด

อย่าไปกังวล หมกมุ่นกับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้มากเกินไป เพราะถึงกังวลก็ทำอะไรกับส่วนนี้ไม่ได้

เมื่อทำส่วนที่เราควบคุมดีที่สุดแล้ว ขอให้มั่นใจว่า เราทำเต็มที่แล้ว ได้เท่าไรก็เท่านั้น เพราะนั่นคือ อะไรที่ดีที่สุด เต็มแรง เต็มกำลังของเราแล้ว...ที่เหลือก็ต้องใช้ยา "ทำใจ" กันบ้างละ


(4). Move towards your goal = ก้าวไปสู่เป้าหมาย

ความสำเร็จใหญ่ๆ มักจะมาจากความพยายามเล็กๆ หลายๆ ครั้ง แน่นอนว่า มักจะต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง

คนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวคือ คนที่ยืนหยัดได้บ่อย ได้นาน และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม


(5). Take decisive actions = ทำจริง ไม่โลเล

คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาข้อมูลรอบด้านมาประกอบการตัดสินใจปัญหา ตัดสินด้วยความมั่นใจ (decisive) และลงมือทำ (actions) ไม่หลีกลี้หนีปัญหา ซื้อเวลา แต่จะตัดสินใจ และลงมือทำ และ "ทำจริง"


(6). Look for opportunities for self-recovery = มองหาโอกาสแห่งการพลิกฟื้นกลับคืนมา

คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่มีวินัยในการควบคุมตัวเองสูง เชื่อมั่นในการลงมือทำอะไรดีๆ

ตัวอย่างเช่น ถ้าป่วยหนักก็เป็นคนไข้ที่ดี ทำตามที่พยาบาลหรือหมอแนะนำ ไม่กล่าวร้ายชะตากรรมว่า เป็นของคนอื่น ฯลฯ เช่น พยายามทำกายภาพบำบัดให้ความแข็งแรงกลับคืนมา จะได้หายไวๆ ฯลฯ

ผู้เขียนสังเกตว่า คนไข้มะเร็ง คนไข้เบาหวานที่อาการแย่ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ ส่วนหนึ่งจะมองโลกในแง่ร้าย เช่น มักจะโทษว่า อาการที่เลวลงเป็นผลจากยา โทษพยาบาล โทษหมอแต่ไม่มองความประพฤติที่ไม่ดีของตัวเอง เช่น เป็นเบาหวาน แต่กินลำไยคราวละ 2-3 กิโลกรัม ฯลฯ


(7). Nurture a positive view of yourself = ทะนุถนอมมุมมองด้านบวก

พัฒนาตัวเองและใส่ใจสุขภาพ เพื่อให้ตัวเรามีศักยภาพสูงพร้อมรับวิกฤตเสมอ เช่น ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ กินอาหารครบทุกหมู่พอประมาณ เรียนรู้เรื่องใหม่อยู่เสมอ ฯลฯ

นอกจากนั้นควรฝึกทำอะไรดีๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกทำ "อะไรๆ" ให้ดีขึ้นคราวละเล็กละน้อย เช่น ถ้าเป็นคนขับรถก็ต้องเรียนรู้วิธีดูแลรักษารถ วิธีซ่อมรถ วิธีขับรถ ฯลฯ ให้ดีขึ้นทุกๆ วัน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ทุกวัน

ไม่ว่าจะทำงานอะไร...ควรถามตัวเองเสมอว่า วันนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ปีนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าปีก่อนๆ หรือเปล่า มีทางใดที่จะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีกหรือไม่ แล้วเราจะเก่งขึ้น มั่นใจในตัวเองขึ้น พร้อมที่ฝ่าฟันวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ


(8). Keep things in perspective = ใช้มุมมองที่มีเหตุผล

มองโลกให้กว้างและไกลออกไป โดยใช้มุมมองที่มีเหตุผล โดยลองเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือว่า ถ้าวิกฤตครั้งนี้หนักที่สุดจะเป็นอย่างไร และตรงกันข้าม..ถ้าเบาที่สุดจะเป็นอย่างไร และหาทางผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา

การฝึกทำงานอาสาสมัครส่วนใหญ่จะช่วยให้คนเรามองโลกกว้างขึ้น และพบเห็นคนอื่นที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะแยะ

ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยไปในเขตพายุนาร์กิสจะพบว่า หมู่บ้านบางแห่งมีคนก่อนพายุ 300 คน หลังพายุเหลือ 30 คน แถมบ้านยังพังเกือบหมด บ่อน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำเค็ม ฯลฯ ยิ่งเห็นโลกมากขึ้นเท่าไร...ภัยพิบัติของเราก็จะดูเล็กลงไปเรื่อยๆ

ตรงกันข้ามถ้าวันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเราคล้ายๆ กับการ "พายเรือในอ่าง"... น้ำในอ่างจะยิ่งใหญ่ (ในความคิดของเรา) ราวกับพายุถล่มโลกทีเดียว

ฝรั่งมีคำกล่าวว่า ในบรรดาการทำให้คน "เสียคน" ไม่มีอะไรจะเกินการตามใจเด็กอย่างไม่มีขอบเขต และเรียกเด็กที่ถูกตามใจคนเคยว่า เป็นพวก 'spoiled child' หรือเด็กที่ถูกทำลาย เนื่องจากเด็กที่ถูกตามใจมากๆ มักจะเสียคน เช่น โตขึ้นมาก็ติดยาเสพติด หรือกลายเป็นคนที่ "ไม่รู้จักพอ" ฯลฯ


(9). Maintain a hopeful outlook = รักษาความหวังไว้

ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรในชีวิต...สิ่งที่ควรรักษาไว้เสมอคือ "ความหวัง (hope)" เพราะคนที่ยังมีความหวังได้ชื่อว่า เป็นคนที่ยังมี "อนาคต"

ประสบการณ์ของคนที่รอดจากภัยพิบัติหนักๆ มาได้ ไม่ตายทั้งๆ ที่น่าจะตายตอบตรงกันว่า อยู่ได้เพราะความหวัง เช่น อยากจะกลับไปอยู่กับลูก อยากจะทำอะไรดีๆ ให้มากกว่านี้ ฯลฯ


(10). Take care of yourself = ใส่ใจสุขภาพด้วย

ไม่ว่าวิกฤตจะใหญ่เท่าฟ้าหรือจะเล็กกว่าเส้นผม...สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ อย่าลืมเอาใจใส่ตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เช่น กินอาหารสุขภาพพอประมาณ ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ ฯลฯ

เรื่องที่ไม่ควรทำคือ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าว การกินมากเกิน หรือการดื่มเหล้า ฯลฯ

ถ้าเครียดจนเกินไป...การปรึกษาหมอใกล้บ้านอาจจะช่วยได้ แต่ขออย่าทำตัวเป็นคนขี้บ่นมากเกิน เช่น คนไข้บางคนบ่นตั้งแต่รั้ว (บ่นกับ รปภ.) บ่นกับห้องบัตร บ่นกับพยาบาล บ่นกับหมอ...บ่นๆๆๆ จนหมอปวดหัว เขียนใบสั่งยาผิดพลาด หรือบ่นจนญาติพี่น้องหนีหายไปหมด (พบบ่อยในคนสูงอายุ) ฯลฯ

   ไม่ว่าวิกฤตจะหนักเพียงไร...วิกฤตนั้นก็มาคู่กับโอกาสเสมอ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า ข่าวดีมักจะมาคู่กับข่าวร้าย และข่าวร้ายมักจะมาคู่กับข่าวดี

เราจะมองโลกในแง่ดีแบบท่านเติ้ง เสี่ยว ผิงก็ได้...ท่านกล่าวว่า "หลังพายุ...ท้องฟ้าจะแจ่มใส" หรือหลังวิกฤตมักจะมีโอกาสตามมา (มองโลกในแง่ดี)

หรือเราจะมองโลกในแง่ร้ายแบบนี้ก็ได้..."หลังพายุ...จะมีพายุลูกอื่นๆ ตามมา (อีกหลายลูก)"

   ทว่า...ตอนนี้เสนอให้มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เพราะมองโลกแบบนี้น่าจะดี

   ถึงตรงนี้...ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ



ที่มา forward mail

21 กรกฎาคม 2559

แจกฟรี e-book มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม ทุกเล่ม ครับ


download link: http://goo.gl/cHu1vH

เงิน 1,000,000 ใครๆก็มีได้

หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า
“เงิน 1 ล้านบาท”
ชีวิตนี้ ไม่รู้จะมีปัญญาได้ถือเงินสดรึป่าว !?

ทรัพย์สินบางอย่างที่มีมูลค่าเป็นล้าน
ก็มาจากการผ่อนเอาทั้งนั้น

คนที่ชอบผ่อนสินค้านู้นนี่นั่น
คงจะคิดว่าใช้เงินเดือนชนเดือนก็จะแย่ล้าว
มาให้เก็บเงิน ตั้งล้านนึง !!


มันเป็นปายม่ายด้ายยยยย

พี่ทุยขอเถียงแบบเสียงย้วยๆยานๆ ว่า ..
มันเป็นปายยด้ายยยย … ย ย ย ย ย

แบงค์สีเทา "แบงค์พัน" มูลค่า 1,000 บาท
เดือนนึงเก็บให้ได้แค่ใบเดียว
เดือนละ 1,000 บาท
ขอแค่เดือนละ 1,000 บาทเอง

เอาจริงๆไม่โกหกกัน พันเดียวเนี่ย
เที่ยว 1 วันก็หมดแล้ว
ร้านอาหารตามห้างเดี๋ยวนี้ใช้ถูกๆซะที่ไหน

อันนี้ยังไม่รวม ค่าเดินทาง กับ ช็อปปิ้งอีกนะ
ลดเที่ยวเดือนละครั้ง ก็พอล้าวววววว

รู้มั้ยว่าถ้าเก็บเงินเดือนละ 1,000 บาท
ครบ 1 ปี ก็จะกลายเป็น 12,000 บาท

ถ้าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
พี่ทุยขอให้เก็บเพิ่มขึ้นปีละ 5%
ตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นละกันนน

ปีที่ 2 ก็จะเป็น 12,600 บาท
ปีที่ 3 ก็จะเป็น 13,230 บาท
ทำไปเรื่อยๆๆ

แล้วนำเงินที่เราเก็บไปเนี่ย 
ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% 

อย่าตกใจ !
ผลตอบแทนปีเฉลี่ยละ 10% นี่สบายมากเลย
ขอบอก ขอบอก

รู้มั้ยว่า ..
ถ้าเราทำแบบนี้ไป 20 ปี

เราจะมีเงินเก็บทั้งสิ้น 1,075,424 บาท
อ่านว่า ล้านกว่าบาท !!
จากเงินทั้งหมด 396,702 บาท

1,000 บาทต่อเดือน มันไม่ได้เยอะเลยเห็นม้อยย
แต่ปัญหาคือ "20 ปี" 
มันค่อนข้างนานอะเนาะ

เอาจริงๆ ถ้าเราลองเก็บไปเรื่อยๆแบบไม่คิดอะไร
เงินแค่พันเดียวที่หายไปในแต่ละเดือน
เราแทบไม่สะท้านอะไรเลย

ออมเล่นๆ ทำไปทำมา มีเงินเป็นล้าน
บร๊ะแล่วววว ง่ายเกิ๊นนนนน

เอาหน่ะ เดือนละ 1,000 บาท มาออมกันเถอะ !!
เงิน 1,000,000 บาทอยู่แค่เอื้อม 



ที่มา http://www.moneychannel.co.th/columnist_blog_detail/132


14 กรกฎาคม 2559

'หุ้นปันผล' จ่ายยีลด์เกิน7%

เปิดการจัดอันดับหุ้นไทยที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุด ตามข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์

การจัดอันดับหุ้นไทยที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุด ตามข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะนำมูลค่าเงินปันผลต่อหุ้นที่จ่ายจริงเมื่อปี 2558 มาคำนวณกับราคาหุ้นปัจจุบัน ณ วันที่ 11 ก.ค. 2559 พบว่าจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) และ โมเดิร์นฟอร์มกรุ๊ป (MODERN) ให้อัตราเงินปันผลสูงสุด 2 อันดับแรก ที่ 42.44% และ 12.90% แต่ทั้งนี้หากคำนวณเฉพาะเงินปันผลจากกำไรจากการดำเนินการปกติ อัตราเงินปันผลของจัสมินอยู่ที่ 7.54% ส่วนโมเดิร์นฟอร์มกรุ๊ปจะอยู่ที่ 6.45%

ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะหุ้นที่ปันผลจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ นำสินประกันภัย (NSI) จะมีอัตราเงินปันผลสูงสุดที่ 10.47% รองลงมาคือ แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) 9.47% และตามมาด้วย ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) 9.20%

สำหรับการจัดอันดับหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงจากกำไรปกติ 20 อันดับแรก พบว่า มีหุ้นในกลุ่มธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ถึง 5 บริษัท ที่ให้ผลตอบแทนเกิน 7.5% ได้แก่ เคจีไอ (KGI) 8.58% ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) 8.57% เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MBKET) 8.06% ซีมิโก้ (ZMICO) 7.76% และโนมูระ พัฒนสิน (CNS) 7.69%

ขณะที่หุ้นในกลุ่มสื่อสารติดโผเข้ามา 3 บริษัท ได้แก่ โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) 8.88% อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) 8.05% และแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส (ADVANC) 7.66% นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างสำหรับงานโมดูลขนาดใหญ่ อย่าง ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) และบีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) มีอัตราเงินปันผล 9.20% และ 7.94% ตามลำดับ

การคำนวณอัตราเงินปันผลตอบแทน ตามการจัดอันดับของตลาดหลักทรัพย์นั้นจะคำนวณจากเงินปันผลที่จ่ายเมื่อปีก่อน เทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาเป็นสำคัญคือแนวโน้มกำไรในปี 2559 นี้ ว่าจะสามารถสร้างการเติบโต หรืออย่างน้อยรักษาผลกำไรให้ไม่น้อยกว่าปีก่อนได้หรือไม่

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ให้ความเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์มีอัตราเงินปันผลสูง เป็นผลจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ค่อนข้างสูงมากเกือบ100% เนื่องจากสินทรัพย์ส่วนมากจะมีสภาพเป็นกระแสเงินสด ขณะเดียวกันราคาหุ้นในกลุ่มนี้ลดต่ำลงมาในช่วงหลายปี

แนวโน้มอัตราเงินปันผลปี 2559 คงต้องพิจารณาที่แนวโน้มกำไรเป็นหลัก เพราะราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปัจจุบันค่อนข้างนิ่ง อย่างไรก็ตาม กำไรอาจจะชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะดัชนีหุ้นไทยยังไม่ได้อยู่ในทิศทางขาขึ้นในภาวะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ดีลการระดมทุนต่างๆ ก็เหมือนจะลดลงบ้าง

ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสารนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลในปีนี้จะลดลงจากปีก่อน หลังจากที่เพิ่งผ่านการประมูลคลื่นความถี่ ส่งผลให้รายจ่ายเพิ่มสูงขึ้น และการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง จึงเชื่อว่ากำไรในปีนี้จะลดลง ขณะเดียวกันอัตราการจ่ายเงินปันผลก็มีแนวโน้มจะลดลงเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ดีแทคก็ได้ประกาศปรับลดอัตราการจ่ายเงินปันผลลงเหลือไม่ต่ำกว่า 50% จากเดิมที่ 80%

สำหรับแนวโน้มหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงในปีนี้ ฝ่ายวิจัย เลือกไว้ 8 บริษัท ได้แก่ ค้าเหล็กไทย (TMT) 9.2% เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) 7.6% อินทัช (INTUCH) 7.1% พฤกษา (PS) 6.8% บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) 6.3% แอดวานซ์ (6.1%) เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) 6.1% และน้ำมันพืชไทย (TVO) 6.1% นอกจากนี้ มองว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนเพื่อรับปันผล โดยคาดหวังอัตราเงินปันผล 6% ขึ้นไป
โดยในปีที่ผ่านมาก็มีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ติดโผปันผลสูง ได้แก่ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ ฮอสพิทอลลิตี้ (QHOP) 8.8% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นิชดาธานี 2 (MNIT2) 8.62%

ที่มา http://bit.ly/29uDusS

04 กรกฎาคม 2559

10 วิธีง่าย ๆ ทำให้ชีวิตมีความสุข / ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา วันนี้ผู้เขียนจึงมานำเสนอเรื่อง 10 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ชีวิตมีความสุข ดังนี้ 
       
       1. ก้าวเท้าเดินยาว ๆ พร้อมแกว่งแขน นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า การเดินหลังตรงและแกว่งแขนไปด้วย จะช่วยให้ความคิดและความรู้สึกเป็นไปในทางบวก ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีความรู้สึกมีความสุขก็ตาม แต่การเดินท่าทางกระฉับกระเฉงพร้อมแกว่งแขน จะทำให้สารเคมีในสมองสั่งให้เกิดสารแห่งความสุขที่จะทำให้เราเริ่มมีความสุขขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
       
       2. ยิ้มกว้าง ถ้าเราอยากจะมีความสุข และอยากสดชื่นแจ่มใส ให้เรายกมุมปากของเราขึ้น เมื่อเรายิ้มมันดูเหมือนว่าเรามีความสุข และสมองจะเปลี่ยนสารเคมีในสมองทำให้เรารู้สึกมีความสุขขึ้นเช่นเดียวกับในข้อที่ 1
       
       3. มีจิตอาสา หาโอกาสช่วยเหลือชุมชนและเพื่อนมนุษย์ ที่ต้องการความช่วยเหลือ และเมื่อเราช่วยคนอื่น ผลตอบกลับมาคือเราจะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น มีความสุขขึ้น เพราะการให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
       
       4. หาเพื่อนใหม่ สิ่งนี้จะทำให้เรามีชีวิตชีวา เมื่อเราเปิดโอกาสสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนที่เราพบเจอในที่ทำงาน ที่สถานออกกำลังกาย หรือที่สวนสาธารณะ เพราะจากการศึกษาพบว่าการมีความสัมพันธ์และการเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น จะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขขึ้น
       
       5. นับสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิต หรือที่เรียกว่านับพระพร เขียนและจดบันทึกทุกอย่างลงไปว่ามีสิ่งดีเกิดขึ้นในชีวิตเราว่ามีอะไรบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้เรามองโลกในแง่ที่ดีและจะช่วยให้เรามีความสุข เป็นการสร้างทัศนคติในทางบวก
       
       6. ทำให้เหงื่อออก เราจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที ในการออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะทำให้มีอารมณ์ดีขึ้น และจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีพลังขึ้น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอจะช่วยให้ความเครียดหมดไปอีกด้วย
       
       7. ให้อภัยและไม่จดจำความผิด หากเรามีรากขมขื่น มีบาดแผลในใจ ไม่สามารถให้อภัยคนอื่นได้ สิ่งเหล่านี้ถ้าฝังอยู่ภายในจิตใจ จะทำให้หน้าตาหมอง เพราะความทุกข์ การปลดปล่อยความคิดทางลบจะทำให้เรามีความสงบภายในใจและจะนั้นจะทำให้เรามีความสุขขึ้น
       
       8. ฝึกทำจิตใจให้สงบ การนั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจ ทำจิตใจให้สงบประมาณ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะเพิ่มความสุข ความสดชื่น และความสบายใจให้กับเรา เป็นการปลดปล่อยสมองของเราให้ผ่อนคลายและเป็นอิสระ
       
       9. เปิดเพลงฟัง ดนตรีเป็นสิ่งที่มีอำนาจพิเศษที่ช่วยทำให้อารมณ์ของเรา แจ่มใส เลือกเพลงที่เราชอบ ฟังเพลงที่เรารู้สึกผ่อนคลายเราจะมีความรู้สึกที่ดีและมีความสุขขึ้น
       
       10. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ใหญ่จำเป็นจะต้องใช้เวลาพักผ่อนนอนหลับประมาณ 7 - 8 ชั่วโมง การพักผ่อนจะช่วยให้เรามีอารมณ์ดีและมีความสุขมากขึ้น ถ้าเรามีการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟินคือสารแห่งความสุขที่ทำให้สมองปลอดโปร่งและทำงานได้ดีขึ้น
       
       หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว หวังว่า ผู้อ่านทุกท่านที่นำทั้ง10ข้อนี้ไปปฏิบัติจะมีความสุขมากขึ้น เพราะความสุขแท้จริงแล้วหาได้ไม่ยากเลย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
       
       ข้อมูลอ้างอิง
       Webmd.com

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)