....งานวิจัยที่นานที่สุดในโลก.....
ผมเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่เพื่อนหลายคน
หวังให้เกิดขึ้นในปีใหม่ปีนี้
คือการมี “ชีวิตที่ดี” กว่าเดิม
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หวังเช่นนั้นเหมือนกัน
แต่คำถามก็คือ ...จริงๆแล้ว....
ชีวิตที่ดีขึ้น คืออะไรกันแน่?
และ อะไรคือส่วนผสมที่ก่อให้เกิด ชีวิตที่ดีได้?
วันนี้ผมเลยขอหยิบเอาเรื่องราวที่คุณ Robert Waldinger
พูดบนเวที TED X BeaconStreet
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
มาแบ่งปันให้ฟังครับ
ผมขอท้าวความนิดนึงครับว่า...
ในวัย 75 ปี คุณโรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์
รับบทบาทหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น
จิตแพทย์ นักจิตวิเคราะห์ หรือ พระนิกายเซน
ทว่า บทบาทที่แกสวมขึ้นมาพูดปาถกฐา/speech บนเวที TEDTalk นั้น
คือ บทบาทผู้อำนวยการ
"โครงการศึกษาการพัฒนาในผู้ใหญ่ แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด" หรือ
Director of Harvard Study of Adult Development
โดยหัวข้อที่แกพูดคือ
“What makes a good life?
Lessons from the longest study on happiness”
หรือ
“ชีวิตที่ดีเกิดจากอะไร บทเรียนจากงานวิจัย
เกี่ยวกับความสุขที่ยาวที่สุดในโลก”
โรเบิร์ตเริ่มต้นสปีช
ด้วยการเล่าถึงผลจากงานวิจัยในช่วงหลังๆ
ที่ เด็ก หรือ คนสมัยนี้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์
บอกว่าเป้าหมายในชีวิตของพวกเขา คือ “ความร่ำรวย”
และอีกกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ บอกว่า “ต้องการมีชื่อเสียง”
นั่นทำให้คนจำนวนมากมายต้องทำงานหนัก
หรือยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่ง
“ความร่ำรวย” และ “ความโด่งดัง”
ซึ่งถือเป็นนิยามของ “ชีวิตที่ดี”
ในมุมมองของคนในยุค Millennial
นั่นเพราะสื่อต่างๆ ชอบนำเสนอแต่เรื่องของคนรวย
คนที่ประสบความสำเร็จ คนดัง จนคนส่วนใหญ่เชื่อว่านั่นคือหนทางเดียวที่จะมีความสุข
แต่คำถามก็คือ
นั่นคือ ชีวิตที่ดีจริงหรือ?
และ “ความร่ำรวย” “ความโด่งดัง”
ใช่คำตอบจริงๆ หรือไม่?
สำหรับ โรเบิร์ต แล้ว
สิ่งที่น่าจะตอบคำถามข้อนี้ได้ดีที่สุด
คือ โครงการวิจัยที่เขาเป็นผู้อำนวยการอยู่
Harvard Study of Adult Development
ที่ถือว่าเป็นโครงการศึกษาวิจัย
ชีวิตของผู้ใหญ่ที่ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
โครงการนี้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1938
โดยผู้ริเริ่มโครงการวิจัยได้ติดตามศึกษา
ชีวิตของวัยรุ่นชายสองกลุ่ม
กลุ่มแรก; เป็นนักศึกษาชายปีที่สอง
ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดจำนวน 268 คน
ซึ่งมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง
กลุ่มที่สอง; เป็นเด็กวัยรุ่นอายุราว 12 – 16 ปี
ที่เติบโตขึ้นมาในตัวเมืองบอสตันจำนวน 456 คน
ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตขึ้นมาในความยากลำบาก
และ ยากจนค่นแค้นแสนสาหัส
ทุกๆ 2 ปี ทีมนักวิจัยจะขอให้ผู้ถูกวิจัยจำนวน 724 คนนี้
ทำแบบสอบถามเกี่ยวกับความพอใจในชีวิตพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในชีวิต
ในชีวิตแต่งงาน ความพอใจในหน้าที่การงาน
หรือ แม้แต่ความพอใจทางสังคม
และ หลายครั้งที่ทีมนักวิจัย
ได้ขอไปสัมภาษณ์พวกเขาถึงที่ห้องรับแขก
เพื่อถือโอกาสพูดคุยกับภรรยา
หรือ ลูกๆ หลานๆ ของพวกเขาด้วย
นอกจากนี้ทุกๆ 5 ปี
จะมีการตรวจสอบสุขภาพของพวกเขาเหล่านี้
ทั้งรายงานทางการแพทย์
ผลการตรวจเลือด ผลการตรวจปัสสาวะ
หรือ แม้แต่ผลการ X-ray หรือ แสกนสมอง
โดยตลอดเวลาที่ทำการติดตามพวกเขาเหล่านี้
ทีมนักวิจัยได้เห็นพวกเขาเติบโตขึ้นไปประกอบอาชีพต่างๆ
บ้างเป็นคนงานในโรงงาน บ้างเป็นทนาย
บ้างเป็นช่างปูน บ้างเป็นหมอ และ
มีหนึ่งคนเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐ
บางคนในจำนวนนั้นกลายเป็นคนติดเหล้า
และสามสี่คนมีอาการทางประสาท
จำนวนไม่น้อยที่สร้างเนื้อสร้างตัว
จนสามารถไต่ระดับทางสังคมขึ้นมาได้
ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่เลือกทางเดินที่ตรงข้าม
....
ซึ่งความมหัศจรรย์ของการศึกษาวิจัยแบบนี้คือ
งานวิจัยระยะยาวแบบนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
ส่วนใหญ่มักจะเลิกไปภายใน 10-20 ปี
เพราะผู้ถูกวิจัยไม่ยอมให้วิจัยต่อบ้าง เงินทุนวิจัยหมดบ้าง คนทำวิจัยหันไปทำเรื่องอื่น หรือ แม้แต่เสียชีวิต
แต่ Harvard Study of Adult Development
กลับดำเนินมากว่า 75 ปีแล้ว
โดยผู้ถูกวิจัยจำนวน 724 คนนั้น
เหลือชีวิตรอดเพียงแค่ 60 กว่าคนเท่านั้น
ซึ่งผู้เหลือรอดเกือบทั้งหมดอยู่ในวัย 90 ปีขึ้นไป
มากกว่า โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ ผู้อำนวยการวิจัยรุ่นที่ 4
(ซึ่งยังไม่เกิดด้วยซ้ำเมื่องานวิจัยชิ้นนี้เริ่มต้น)
......
แล้วอะไรบ้างหล่ะ ที่บรรดานักวิจัยหลายรุ่น
เรียนรู้จากเรื่องราวกว่า 70 ปีของกว่า 700 ชีวิต
ผ่านทางเอกสาร และ ข้อมูลเป็นหมื่นๆหน้า
พวกเขาเรียนรู้ว่า “ความร่ำรวย” “ความโด่งดัง” หรือ “แม้แต่การทำงานอย่างหนักหน่วง”
ไม่ใช่คำตอบของการมีชีวิตที่ดี
หรือ สุขภาพที่ดีแม้แต่นิดเดียว
แต่เป็น “ความสัมพันธ์ที่ดี” ต่างหากที่นำมาซึ่งสิ่งเหล่านั้น
“Good relationships keep us happier and healthier.”
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด (Key Massage)
......
โรเบิร์ต บอกต่อว่าพวกเขาได้เรียนรู้อีก 3 บทเรียนล้ำค่า
ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ (Relationship) นั่นก็คือ
1. Connection is really good for us, loneliness kills
คุณจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง เพื่อน ครอบครัว หรือ สังคมก็ตาม
ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้แหล่ะ
จะทำให้คุณมีความสุขกว่า
แข็งแรงกว่า และ มีอายุที่ยืนยาวกว่า
ในทางกลับกันความเหงา และ
โดดเดี่ยวนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง
เพราะมันจะทำให้คุณมีความสุขน้อยลง ทำให้ร่างกายคุณเริ่มแย่ลงตั้งแต่วัยกลางคน
สมองเสื่อมเร็วขึ้น และ มีชีวิตสั้นกว่า
...
2. Quality Not Quantity
มันไม่สำคัญที่ปริมาณ หรือ รูปแบบของความสัมพันธ์
เช่นต้องแต่งงานเท่านั้น
แต่เป็น “คุณภาพของความสัมพันธ์”
ต่างหากที่จะเป็นตัวบ่งชี้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่าหากว่าคุณอยู่ในความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาที่แย่ มันก็ส่งผลลบกับคุณมากกว่าการหย่าร้างที่เข้าใจกันเสียอีก
...
3. Good relationships don’t just protect our bodies they protect our brains
หากคุณมีความสัมพันธ์อบอุ่น และมั่นคงกับใครซักคนที่คุณสามารถไว้ใจและพึ่งพาได้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณมีสุขภาพกายที่ดีเท่านั้น
แต่ยังดีต่อสมองของคุณด้วย
ความสัมพันธ์จะทำให้ความจำของคุณยังดีอยู่
สมองของคุณยังทำงานได้ดีอยู่
ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีในที่นี้ไม่ได้หมายถึง
ความสัมพันธ์ที่ราบรื่นสุดๆไม่ทะเลาะกันเลย
แต่เป็นความสัมพันธ์ที่คุณรู้ว่า
เมื่อถึงเวลาที่ต้องการจริงๆ คุณจะมีคนที่พึ่งพาได้
......
นั่นคือสิ่งที่ โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์
และทีมงานวิจัยของ ฮาวาร์ด ค้นพบ
ซึ่ง โรเบิร์ต บอกว่าจริงๆแล้ว
ผู้ถูกวิจัยเหล่านี้ในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น หรือ เริ่มเป็นผู้ใหญ่ใหม่ๆนั้น
ก็เชื่อเหมือนกับที่คนในยุคนี้เชื่อว่า เงินทอง และ ชื่อเสียง
จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และ มีชีวิตที่ดี
แต่ความจริงที่พบจากการศึกษากว่า 75 ปี กลับกลายเป็นว่า
คนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์
และคนรอบข้างของพวกเขาต่างหาก
คือ คนที่มีชีวิตที่ดีที่สุด
โรเบิร์ต ชวนคิดว่า...
สิ่งที่ทำให้คนเรามองข้ามความสำคัญของ “ความสัมพันธ์ที่ดี”
แล้วหันไปใส่ใจกับ
ชื่อเสียง เงินทอง หรือ หน้าที่การงานมากกว่า
อาจเพราะจริงๆแล้ว การมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้น
เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ยาก และ ไม่รู้จบ
แถมยังต้องได้รับการใส่ใจตลอดเวลา
จนหลายคนเลือกจะทำงาน หรือ หาเงินมากกว่า
แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว...การใส่ใจ และทำความสัมพันธ์ให้ดีก็อาจไม่ได้ยากขนาดนั้น
แค่เงยหน้าจากจอมือถือ
แล้วสบตาคนรอบตัวคุณมากขึ้น
หาอะไรใหม่ๆทำร่วมกันเพื่อให้ความสัมพันธ์
ที่จืดจางกลับมามีสีสันอีกครั้ง
อะไรง่ายๆ ไม่ต้องเสียเงิน
อย่างชวนคนที่คุณรักไปเดินเล่นตอนกลางคืน หรือ
ติดต่อหาสมาชิกในครอบครัวที่ไม่ได้คุยกันมานานแล้ว
เพราะจริงๆแล้วชีวิตเราก็เหมือนที่ "มาร์ก เทวน" บอกว่า...
มันช่างสั้น และก็สั้นเหลือเกิน
สั้นเกินกว่าที่จะ
โกรธกัน ทะเลาะกัน หรืออิจฉาริษยากัน
ควรจะมีแต่เวลาที่ใช้รักกันเท่านั้น
ซึ่งแค่นั้น...มันก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว
นั่นคือสิ่งที่ โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ พูดในสปีชของเขา
สำหรับผู้ที่ภาษาอังกฤษ แข็งแรง ควรจะเปิดดู clip นี้ อาจจะได้มีประโยชน์ มากกว่านี้
https://www.ted.com/talks/robert_waldinger_what_makes_a_good_life_lessons_from_the_longest_study_on_happiness?language=en