31 พฤษภาคม 2559

IFEC ฮุบ “ดาราเทวี” แก้เกม ประมูลพลังงานสะดุด

แผนหนึ่งขรุขระ ได้เวลาแผนสอง เฉลยลายแทงขุมสมบัติ หลังรัฐเบรกประมูลพลังงานทดแทน ผ่านปาก “สิทธิชัย พรทรัพย์อนันต์” ซีอีโอ “อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ฯ

ความหวังที่เหล่าเอกชนจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ จากธุรกิจ “พลังงานสะอาด” ต้องหยุดชะงัก !! 
หลังหน่วยงานภาครัฐเลื่อนเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดออกไปจากกลางปี 2558 เรื่อยมา ส่วนหนึ่งเกิดจาก “แรงกดดัน” จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกตกต่ำ ทำให้ “แรงจูงใจ” ในการผุดโครงการพลังงานทดแทนที่ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยการผลิตค่อนข้างสูง สะดุดลง 
ขณะที่ ผู้ประกอบการหลายราย “คิดการณ์ใหญ่” โดดสู่สังเวียนพลังงานทดแทน ด้วยหมายมั่นจะหยิบชิ้นปลามัน โหนกระแสนโยบายรัฐ ไม่คิดว่าสุดท้าย “นโยบายรัฐ” บวกกับ “สถานการณ์น้ำมันโลก” จะวนกลับมาเป็น “ความเสี่ยง” ทางธุรกิจ   
หนึ่งในผู้ประกอบการที่ถือคติ“เล็กๆไม่"ต้องยกให้ บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น หรือ IFEC ของ “นายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ (ผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งสัดส่วน 5.29%) หลังกลางปี 2558 เคยออกมายืนยันเป้าหมายใหญ่ในธุรกิจนี้ว่า.. 
พร้อมขึ้นแท่นผู้นำผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนทุกประเภท” 
ทว่า เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ส่งผลให้เส้นทางเดินไปสู่ตัวเลข “กำไรสุทธิ 1,200 ล้านบาทเริ่มขรุขระ คุณหมอนักลงทุน จำต้องปรับกลยุทธ์เติบโตใหม่ ด้วยการแตกหน่อ (Diversify) ไปสู่งานใหม่แบบสุดขั้ว อย่าง ธุรกิจโรงแรม”  โดยการซื้อหุ้นสามัญ 1,660 ล้านบาท และภาระหนี้สิน 860 ล้านบาท จาก “กลุ่มดาราเทวี เชียงใหม่ โรงแรมที่มีปัญหารุงรังอยู่ไม่น้อย (อ่านล้อมกรอบ) 
แผนพลิกวิกฤติในวันนั้น ดูเหมือนจะสร้างความงุนงงให้กับบรรดาผู้ถือหุ้นน้อยใหญ่ โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่อย่าง “นเรศ งามอภิชน” เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน สะท้อนผ่านราคาหุ้น IFEC ที่ขึ้นตัวแดงติดต่อกันหลายวัน และการขอเวลาส่วนตัวกับ “คุณหมอวิชัย” ในวันที่ไม่สามารถทำกำไรจากหุ้น “สุดเลิฟ”  
สิทธิชัย พรทรัพย์อนันต์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น หรือ IFEC  ซีอีโอคนสนิท “หมอวิชัย ถาวรวัฒนยงค์”  แจกแจงให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า ความล่าช้าในการเปิดประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดของหน่วยงานรัฐ ทำให้แผนงานที่ต้องการจะมีกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ 200 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2558 ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยขณะนี้มีกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ในมือเพียง 22 เมกะวัตต์
โชคดีที่บริษัทปรับตัวก่อน เพราะเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณชะลอการเปิดประมูลมาตั้งแต่กลางปี 2558 ทีมงานไม่รอช้าตัดสินใจ“งัดแผนสำรอง” ออกมาประคองฐานะ ด้วยการการแตกไลน์ไปสู่ “ธุรกิจโรงแรม” ควบคู่ไปกับการโยกเงินลงทุนนออกไปในต่างประเทศ 
แน่นอนว่า งานใหม่อย่างโรงแรม ย่อมสร้างความไม่เข้าใจให้กับบรรดาผู้ถือหุ้น เพราะไม่ได้บอกกล่าวกันก่อนหน้านี้ แต่เมื่อได้นั่งอธิบายถึงเหตุผลและผลประโยชน์ที่จะได้รับ หลายคนก็มีสีหน้าพอใจ สบายใจมากขึ้น สะท้อนผ่านราคาหุ้นที่ขยับขึ้นจากช่วงแรกที่ประกาศซื้อหุ้นโรงแรม 
แต่การวางยุทธ์ศาสตร์แค่นี้ คงไม่เพียงพอ เศรษฐกิจขาลงเช่นนี้ “สุทธิชัย” เล่าว่า ตามแผนงานของคุณหมอ ต้องการสร้างพอร์ตรายได้รวมให้เกิดความสมดุล อนาคตโครงสร้างรายได้จะไม่มีเพียงธุรกิจพลังงาน และธุรกิจโรงแรม แต่ต้องมีรายได้จากงานที่เกี่ยวข้องกับการ “วางระบบซอฟต์แวร์ในธุรกิจพลังงาน ซึ่งงานลักษณะนี้ในไทยยังไม่มีใครทำ หากผลการศึกษาออกมาสมบูรณ์ บริษัทจะเป็นคนแรกของเมืองไทยที่ทำ 
“ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” ยังแจกแจงว่า จะใช้เงินลงทุนเฉลี่ย 200-300 ล้านบาท ในการซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องกับ “งานบริหารจ่ายไฟทั้งระบบ” จากบริษัทสตาร์ตอัพแห่งหนึ่งที่ได้รับใบอนุญาตทุกประเภท จาก “กสท โทรคมนาคม” หรือ CAT บริษัทแห่งนี้เปิดดำเนินการมา 2 ปีแล้ว และมีลูกค้าอยู่ในมือ 1 แสนจุด คาดว่าไตรมาส 3 ปี 2559 จะปิดดีล
โดยต้องการเข้าถือหุ้นใหญ่ 70-80% ที่เหลือเป็นการถือหุ้นของเจ้าของเดิม ในฐานะที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญต้องให้บริหารต่อไป งานเสริมชิ้นนี้จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยกว่า 15% หากปิดดีลได้จะรับรู้รายได้ครั้งแรกปลายปี 2559
“หากแผนนี้ราบรื่นจะทำให้โครงสร้างรายได้เปลี่ยนแปลงไป โดยจะมีรายได้จาก “ธุรกิจไฟฟ้า” 60% “ธุรกิจซอร์ฟแวร์” 20% “ธุรกิจโรงแรม” 15% และอื่นๆ 5% สำหรับเรื่องเงินลงทุนไม่ต้องห่วง เรามีกระแสเงินสด 2,200 ล้านบาท แถมยังมีช่องว่างในการกู้เงินอีกมาก”
มือขวาเจ้าของ อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ฯ ยังกล่าวถึงการลงทุนพลังงานทดแทนในต่างประเทศว่า เดือนเม.ยที่ผ่านมา ยังเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ญี่ปุ่น หลังเจรจาต่อรองกันมานานกว่า 6 เดือน ด้วยการซื้อใบอนุญาตก่อสร้างโรงงานไฟฟ้า ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement - PPA ) ต่อจากเจ้าของเก่าที่เป็นคนญี่ปุ่น จำนวน 20 เมกะวัตต์ 10 โครงการ เฉลี่ยโครงการละ 2 เมกะวัตต์ ตามแผนตั้งใจจะใช้เงินลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าเฉลี่ย 1 เมกะวัตต์ต่อ 110-140 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของพื้นที่ของโครงการ 
โปรเจคนี้จะทยอยก่อสร้างเสร็จในช่วงไตรมาส ปี 2559 แต่ทั้งโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2560 งานนี้สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน เฉลี่ย 10-12%” 
ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างเจราซื้อใบอนุญาตก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานทดแทน ในญี่ปุ่น ต่อจากเจ้าของเก่าเดิมที่ดำเนินธุรกิจพลังงานมากว่า 55 ปี อีกประมาณ 61 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปี 2559 ที่ผ่านมามีบริษัทพลังงานญี่ปุ่นหลายแห่งต้องการขายใบอนุญาต เนื่องจากไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ทัน
หากไม่มีอะไรมาขวาง ไม่เกินปี 2560 จะมีกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น 100 เมกะวัตต์ และในไทยอีก 100 เมกะวัตต์ วิธีการให้ได้มาซึ่งกำลังการผลิตใหม่ๆ ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่น คือ “ไล่ซื้อกิจการ” หรือไม่ก็ “รอทางการไทยเปิดประมูล” 
นโยบายสำคัญที่จะนำมาพิจารณาในการซื้อกิจการในไทย คือ ต้องเป็นโรงไฟฟ้าที่มีอัตราส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder)  ที่ 6.5 และ 8 บาทต่อหน่วย หรือจ่ายไฟเข้าระบบแล้วบางส่วน ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทที่ได้ใบอนุญาตพลังงานแสงอาทิตย์ 2 ราย กำลังการผลิตเฉลี่ย 20 เมกะวัตต์ 
ซื้อกิจการในลักษณะนี้จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 14-15% เรื่องนี้น่าจะเคาะภายในไตรมาส 3หรือ ปี 2559”
สิทธิชัย เล่าต่อว่า ในส่วนของการผลิตไฟฟ้าจาก“พลังงานลม” ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทในเครือ “ไอวินด์” เชื่อว่า ภายในปี 2559 ต้องมีกำลังการผลิตใหม่เฉลี่ย 300 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว 100 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างก่อสร้าง 200 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตพลังงานลมเฉลี่ย 10 เมกะวัตต์ 
บริษัทจะเน้นเข้าลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก เช่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และออสเตรเลีย เป็นต้น โมเดลการลงทุนจะคล้ายๆญี่ปุ่น คือ ซื้อใบอนุญาตมาแล้วก่อสร้างโครงการเอง ซึ่งเงินลงทุนจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน 80%
“หากไม่มีอะไรผิดพลาดจะรับรู้รายได้ 100 เมกะวัตต์ ปลายปีนี้ เพราะเป็นโครงการที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว ส่วนอีก 200 เมกะวัตต์ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างจะรับรู้รายได้กลางปี 2561”
กำลังการผลิตใหม่ชุดแรกจะได้ข้อสรุป ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2559 ประมาณ 50 เมกะวัตต์ ส่วนชุดที่สองจะเข้ามาปลายปี 2559 ล่าสุดมีความคืบหน้าในการเจรจาเกิน 50% โดยผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 10-12%
ส่วนการลงทุนพลังงานลมในไทย หากปลายปี 2559 รัฐบาลเปิดประมูลพลังงานลม 2,000 เมกะวัตต์ บริษัทหวังจะได้ชุดแรกมาครอบครอง 300 เมกะวัตต์ และอาจจ่ายไฟเข้าระบบได้ในช่วงปลายปี 2560 วันนี้บริษัทมีความพร้อมในแง่ของที่ตั้งโครงการ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ของไทย ขณะที่บางโครงการได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ และผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้ว
การลงทุนพลังงานลมในไทย จะได้รับผลตอบแทนการลงทุนสูงถึง 15-16% เพราะบางทำเลกำลังลมแรง สะท้อนผ่านตัวเลขรายได้ของบริษัทในไตรมาสแรก ซึ่งมีรายได้จากพลังงานลมเฉลี่ย 16 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ แต่ปี 2559 อาจรับรู้รายได้จากพลังงานลมเฉลี่ย 10-12 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ เพราะคงไม่มีลมมรสุมแล้ว
ส่วนแผนงานพลังงานชีวมวล และพลังงานขยะ “สิทธิชัย” ตอบว่า ปัจจุบันมีกำลังการผลิตชีวมวล 7.5 เมกะวัตต์ จำนวน 1 โครงการ ในจังหวัดลพบุรี คาดว่าจะรับรู้รายได้เฉลี่ยเดือนละ 15 ล้านบาท ตามแผนจะยื่นประมูลโครงการทางภาคใต้เพิ่มเติมอีกเฉลี่ย 20-30 เมกะวัตต์ หากผลประมูลออกมาผิดหวัง  “เราไม่ซีเรียส”
เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการด้านพลังงานทดแทนหลายราย รวมถึงบริษัท ล้วนประสบปัญหาเกี่ยวกับวัตถุดิบที่มีราคาแพง โดยเฉพาะ “ไม้สับ” (Woodchip) หลังมีผู้ประกอบการแห่ลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวนมาก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ราคาไม้สับปรับตัวขึ้น จากตันละ 200 บาท เป็น 1,400 บาทต่อตัน ขณะที่ “ชานอ้อย” ขยับจากราคาไม่กี่ร้อยบาทต่อตันเป็น 1,200 บาทต่อตัน
จะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ? เขากล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำเกษตรพันธสัญญา หรือ  “คอนแทรคฟาร์มมิ่ง” โดยจะให้เกษตรกรปลูกไม้กระถินณรงค์ หรือไม้เบญจพรรณ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตพลังงานชีวมวลมาจำหน่ายให้กับบริษัท แม้ต้องใช้เวลากว่าไม้จะโตพอนำมาใช้ได้ แต่ก็ต้องทำ เนื่องจากโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทไม่สามารถวัตถุดิบชนิดอื่นทดแทนได้ สมมุตินำกะลาปาล์มมาเป็นวัตถุดิบ ก็จะประสบปัญหาการตกค้างของยางจนทำให้เครื่องจักรได้รับความเสียหาย
วัตถุดิบที่มีอยู่ตอนนี้ เพียงพอต่อการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ ฉะนั้นขอเน้นเรื่องการบริหารจัดการวัตถุดิบมากกว่าหากำลังการผลิตเพิ่มเติม เพราะวันนี้ยังสร้างกำไรจากการผลิตชีวมวลได้เพียง ล้านบาทต่อเดือน ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ล้านบาทต่อเดือน
ส่วนแผนงานโรงไฟฟ้า “พลังงานขยะ” กำลังการผลิต 11 เมกะวัตต์ แต่จะขึ้นโรงไฟฟ้าแรกในจังหวัดชลบุรี 5 เมกะวัตต์ ล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรจากจีนและยุโรป คาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปีนี้
"การลงทุนพลังงานขยะใช้เงินสูงมาก และคืนทุนช้าสุดๆ ฉะนั้นให้ทำคนเดียวคงไม่ไหวตามแผนจะใช้เวลาก่อสร้างโรงไฟฟ้าประมาณ ปี ปัจจุบันเราไม่มีปัญหาเรื่องวัตถุดิบ เพราะเราเป็นเจ้าขอบ่อขยะชุมชนหลายแห่ง และยังไม่คิดเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานขยะ และชีวมวล เท่าที่มีอยู่ก็ปวดหัวจะแย่ (หัวเราะ) ขอเน้นพลังงานลมกับแดดไปก่อน สิ้นปี2559 อยากมีกำลังการผลิต 100-150 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นแดด 40 เมกะวัตต์ ที่เหลือเป็นลม
@รุกพลังงานทดแทนกัมพูชา-เวียดนาม
ระหว่างสนทนากับซีอีโออินเตอร์ ฟาร์อิสท์ฯ “หมอวิชัย ถาวรวัฒนยงค์” เดินออกจากห้องประชุม มาเล่าแผนการลงทุนในกัมพูชาว่า เพิ่งปิดดีลลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ ในกัมพูชา มูลค่าลงทุนเฉลี่ย 85 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์ ซึ่งกำลังการผลิตดังกล่าวจะเน้นจำหน่ายในกัมพูชาเป็นหลัก
“เงินที่ใช้ลงทุนในเขมร ถือว่าขยับขึ้น จากตัวเลขเดิมที่ตั้งไว้ 70 ล้านบาทต่อ 1 เมกะวัตต์ หลังราคาที่ดินปรับขึ้น 5 เท่า”
การลงทุนล็อตต่อไปจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 คาดว่า จะได้เพิ่มเติมอีก 10 เมกะวัตต์ IFEC ถือเป็นบริษัทต่างชาติแห่งแรกที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจพลังงานของกัมพูชา แต่สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุด คือ การเข้ามาลงทุนของต่างชาติยังเป็นเรื่องใหม่ของทางการกัมพูชา ฉะนั้นต้องวางแผนให้รอบคอบ
ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ต้องการมีกำลังการผลิตในกัมพูชาเฉลี่ย 200 เมกะวัตต์ สาเหตุที่สนใจลงทุน เนื่องจากค่าไฟมีราคาแพงกว่าเมืองไทยค่อนข้างมาก เพราะใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิง ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้ามีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกัมพูชาเจริญมากเท่าไร ตัวเลขการใช้ไฟฟ้าย่อมมากเท่านั้น ถือเป็นโอกาสในการลงทุน
นอกจากนั้น กำลังศึกษาพลังงานลม ในเวียดนาม แต่ขณะนี้ยังบอกรายละเอียดไม่ได้ เผยได้เพียงว่า ภายในเดือนมิ.ย.นี้ จะบินไปเวียดนาม เพื่อคุยกับพันธมิตรรายที่ 4 หลังจากคุยไปแล้ว 3 ราย แต่ปิดดีลไม่ได้ เพราะติดปัญหาเล็กน้อย ขณะเดียวกันยังสนใจลงทุนพลังงานลมในบังกลาเทศ
แม้บริษัทจะมีโปรเจคมากมาย แต่นักลงทุนไม่ต้องห่วงเรื่องเงินลงทุน เพราะหากสามารถหาผู้ร่วมทุนได้ ทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อถามว่าจะเพิ่มทุนอีกรอบหรือไม่ ? เขาตอบว่า ได้เตรียมดันธุรกิจโรงแรม และพลังงานลม ที่ดำเนินการผ่านบริษัท โรงแรมดาราเทวี และบริษัท ไอวินด์ ตามลำดับ เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่คงต้องรอเคาะเรื่องที่ บริษัทโกลด์วิน ผู้ผลิตกังหันลมชั้นนำของจีน มีแผนจะถือหุ้น10% ใน “ไอวินด์” ให้จบเสียก่อน
รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี แถมยังมีคอนเน็กชั่นที่ดีในแถบอาเซียน จุดเด่นเหล่านั้นทำให้เรามีเส่นห์ และแตกต่างจากคู่แข่ง
-------------------------------
ถอดความสวย ดาราเทวี
ปลายปี 2558 บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น แตกไลน์ไปสู่ “ธุรกิจโรงแรม” ด้วยการส่งบริษัทในเครือ ภายใต้ชื่อ “อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ แคป แมนเนจเม้นท์” หรือ ICAP เข้าซื้อหุ้นสามัญของ “กลุ่มดาราเทวี เชียงใหม่” ประกอบด้วย บริษัท โรงแรมดาราเทวี จำกัด บริษัท เอ.พี.เค.ดีเวลลอปเม้นท์ และบริษัท ดาราเทวี จำกัด รวมถึงซื้อภาระหนี้จากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง มูลค่าทั้งสิ้น 2,520 ล้านบาท
เมื่อสำรวจ จุดเด่น” ของ โรงแรมดาราเทวี เชียงใหม่ จะพบว่า นอกจากตัวโรงแรมที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ 155 ไร จำนวน 123 ห้อง จะถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมการก่อสร้างล้านนาโบราณแล้ว ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของเบเกอรี่ โดยเฉพาะ “มาการอง ดาราเทวี” ปัจจุบันมี 2 สาขาในจังหวัดเชียงใหม่ และ1 สาขา ในกรุงเทพฯ ขณะเดียวกันยังโดดเด่นในเรื่องของ “สปาเพื่อสุขภาพ”
ก่อนโรงแรมอายุ 10 กว่าปีแห่งนี้จะตกเป็นของ “นายทุนคนใหม่” ที่มีอาชีพเป็นหมอรักษาโรคหัวใจ ประจำโรงพยาบาลพระราม9 เคยอยู่ภายใต้การดูแลของ “สุเชฎฐ์ สุวรรณมงคล ในฐานะผู้บุกเบิก บริษัทอีซูซุหาดใหญ่ (ธุรกิจครอบครัว)
ด้วยความหลงใหลงานศิลปะล้านนาของภาคเหนือ บวกกับธุรกิจครอบครัวประสบปัญหาการเงินจากภาวะเศรษฐกิจในปี 2540 นักธุรกิจจากภาคใต้ (หาดใหญ่) ตัดสินใจถอนตัวออกจากกิจการครอบครัว เพื่อขึ้นมาทำธุรกิจโรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่
การเชื้อเชิญผู้เชี่ยวชาญงานศิลปะชื่อดัง จากหลากหลายแขนงมารวมกันปรุงแต่งสถาปัตยกรรมแห่งนี้ บ่งบอกว่า เขาจริงจังกับงานชิ้นใหม่มากแค่ไหน
งานศิลปะที่ถูกผนวกเข้ากับโรงแรมอย่างลงตัวได้สร้างความตื่นตาให้กับเหล่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ สะท้อนผ่านการได้รับโหวตให้เป็นโรงแรมอันดับหนึ่งของไทยประจำปี 2557 โดย TripAdvisor (เว็ปไซด์แนะนำที่ท่องเที่ยวจากประสบการณ์เข้าพักจริงอันดับหนึ่งของโลก) ขณะที่โรงแรมชั้นนำอย่าง แมนดารินโอเรียนเต็ล กรุงเทพ ได้อันดับที่ 13
“สิทธิชัย” เล่าว่า โรงแรมแห่งนี้เข้าสู่กระบวนการแผนฟื้นฟูกิจการตั้งแต่ปี 2554 หลังประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาหนี้สินที่เกิดจากการกู้เงินมาลงทุนก่อสร้างโรงแรม แต่ละปีต้องจ่ายค่าเสื่อมเฉลี่ย 200 ล้านบาท และดอกเบี้ยกว่า 100 ล้านบาท
แต่เมื่อมองลึกเข้าไปในสินทรัพย์ต่างๆ ภายในตัวโรงแรมจะพบว่า ที่ดิน 155 ไร่ หากประเมินราคาวันนี้ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท เพราะอยู่ห่างจากสนามบินเชียงใหม่เพียง 10-15 นาที และยังมีไม้สักแผ่นใหญ่มากถึง 100,000 ตารางเมตร มีต้นไม้สูงกว่า 30-40 เมตร 6,000 ต้น ยังไม่นับรวมงานศิลปะและสิ่งปลูกสร้างที่ประเมินค่าไม่ได้
ในช่วงที่โรงแรมดาราเทวีอยู่ในแผนฟื้นฟูกิจการ บวกกับผู้ถือหุ้นไทยและจีนทะเลาะกัน ทำให้องค์กรหยุดการเติบโตชั่วคราว เมื่อต้องอยู่ในช่วงขาลงนานๆ เจ้าของเดิมคงรู้สึกเหนื่อยจึงนำดีลนี้มานำเสนอต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อขายมาหลายปีแล้ว แต่การขายไม่ประสบความสำเร็จ
สุดท้ายมาจบที่ IFEC โดยซีอีโอองค์กรแห่งนี้มองว่า การซื้อสินทรัพย์ที่มีภาระหนี้สินติดมาด้วยจำเป็นต้องใช้ฝีมืออย่างมาก 
“คิดตามนะซื้อกิจการมาเมื่อเดือนธ.ค.2558 แต่ภายในปีนี้จะนำโรงแรมออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ คุณว่าเร็วไหม ปัจจุบันโรงแรมเหลือภาระหนี้ 950 ล้านบาท จากหนี้ทั้งหมด 5,000 ล้านบาท หลังเจ้าหนี้ยินยอมลดหนี้”
พร้อมแจกแจงว่า “ดีลนี้พวกเราทำอย่างรอบคอบ ก่อนจะพานักลงทุนรายใหญ่ไปทดลองพัก หลายคนประทับใจ ต่างเป็นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งปลูกสร้างอลังการเช่นนี้ในเมืองไทยคงหาไม่ได้อีกแล้ว ที่สำคัญพนักงานได้รับอบรมมาอย่างดี ทั้งๆที่ไม่มีเชนจากต่างประเทศบริหารแล้ว มีเพียงเจ้าของเก่าที่ยังคงนั่งเป็นที่ปรึกษา
“สิทธิชัย” ยังยอมรับว่า มีแผนจะจับมือกับพันธมิตรรายหนึ่งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนด้วยกัน โดยบริษัทจะถือหุ้น 49% ซึ่งพันธมิตรรายนี้มีความคุ้นเคยโรงแรมดาราเทวีเป็นอย่างดี เพราะในอดีตเคยเป็นผู้ออกแบบโรงแรมกับเจ้าของเก่า ที่สำคัญเขาศึกษาเรื่องนี้มานานกว่า 3 ปีแล้ว (ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือว่าจะจับมือกับ “ไรมอน แลนด์” แต่บริษัทได้ออกมาปฏิเสธ)
ตามแผนจะร่วมกันพัฒนาที่ดินเปล่า 40 ไร่ มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จกลางปี 2561 แบ่งเป็น โรงแรมระดับ 6 ดาว 80 ห้อง คอนโดมิเนียม 4 อาคาร 200 ยูนิต และโครงการเรสซิเดนซ์ล้อมรอบสระน้ำขนาดใหญ่ หรือ pool resident 16 ยูนิต
เมื่อส่วนต่อขยายแล้วเสร็จจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 300 ล้านบาท
หลายคนเป็นห่วงเรื่องเงินลงทุน ขอบอกแบบนี้ดีกว่า ก่อนหน้านี้ได้ขายที่ดิน 40 ไร่ มูลค่า 625 ล้านบาท ให้กับบริษัทร่วมทุน ฉะนั้นเราและพันธมิตรจะลงเงินอีกคนละ 300 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลือจะนำมาจากการวางจองซื้อห้องของลูกค้า
“เตรียมผลักดัน โรงแรมดาราเทวี เข้าตลาดหลักทรัพย์ปลายปี 2560 ตอนนี้ตั้งที่ปรึกษาทางการเงินเรียบร้อยแล้ว”
เรื่องเด่นที่จะเกิดขึ้นในปี 2559 คือ โรงแรมดาราเทวี จะทำกำไรมาจาก 3 ส่วน คือ กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ 3,000 ล้านบาท 2.กำไรจากการขายทรัพย์สินในส่วนของวิลล่า 2 แห่ง 760 ล้านบาท 3.กำไรจากการขายที่ดิน 40 ไร่ 625 ล้านบาท และ4.กำไรจากการเข้าพักโรงแรม 100 ล้านบาท เทียบกับปี 2558 ที่มีผลขาดทุนจากการเข้าพักโรงแรม 130 ล้านบาท
ไตรมาสแรก โรงแรมดาราเทวีมีกำไรแล้ว 4 ล้านบาท ถือเป็นกำไรครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลายปีที่ผ่านมาโรงแรมมีผลขาดทุนเฉลี่ยปีละ 300 ล้านบาท แต่หลังบริษัทเข้าบริหาร ได้ยืดระยะเวลาการตัดค่าเสื่อมออกไป จาก 15 ปี เป็น 30 ปี ทำให้มีภาระค่าเสื่อมลดลง จากปีละ 170 ล้านบาท เหลือ 80 ล้านบาท
ในแง่ของรายได้รวม ปีนี้อาจทำได้ที่ระดับ 650 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการเข้าพัก และรายได้จากห้องอาหารและบาร์ 7 ห้อง รวมถึงสปาเพื่อศูนย์สุขภาพเฉลี่ยสัดส่วน 50:50 หลังจากนี้วางเป้าหมายรายได้รวมของโรงแรมไว้ว่า ต้องขยายตัวเฉลี่ยปีละ 15-20% ซึ่งตัวเลขนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อพื้นที่ส่วนต่อขยายใหม่แล้วเสร็จ
“3-5 ปีข้างหน้า IFEC ต้องมีรายได้รวม 3,000-5,000 ล้านบาท

'เทิร์นอะราวด์' เรื่องไม่ลับ INET

ได้เวลาคืนชีพ!! 'มรกต กุลธรรมโยธิน' นายหญิง 'อินเทอร์เน็ตประเทศไทย' ยืนยันเป้าหมายเช่นนั้น จากนี้พร้อมปั้นรายได้เพิ่มปีละ 30%

กวาดตาดูรายชื่อนักลงทุนรายย่อย หุ้น อินเทอร์เน็ตประเทศไทย หรือ INET ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีแบบครบวงจร ไม่ได้พบเพียงนักลงทุนแนว Value Investor (VI) อย่าง 'อนุรักษ์ บุญแสวง' หรือ 'โจ ลูกอีสาน' ในฐานะนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เท่านั้น แต่ยังมี 'เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง' เซียนเทคนิคถือลงทุนด้วย ในสัดส่วน 0.82% และ 0.80% ตามลำดับ แต่ล่าสุด 'เสี่ยป๋อง' ได้ขายหุ้นทำกำไรหมกแล้ว หลังจากถือไม่นาน 
'ซื้อหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ยังไม่มีใครสนใจ หลังตระเวนหาหุ้นที่มีราคาถูกและพื้นฐานดีมานาน' 'โจ ลูกอีสาน' บอกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week'
'จุดเด่น' ของ INET ที่ถือหุ้นใหญ่โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สัดส่วน 17% บริษัท กสท โทรคมนาคม หรือ CAT ถือ 16% และ บริษัท ทีโอที หรือ TOT ถือ 16% นอกจากจะเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีครบวงจรอันดับต้นของประเทศไทยแล้ว ธุรกิจกำลังอยู่ในช่วง 'ฟื้นตัว' หลังมีกิจการใหม่ที่สร้างรายได้ดีเข้ามา
ช่วงแรกซื้อลงทุน 5 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.60 บาท แต่ในช่วงปลายปี 2558 บริษัทประกาศขายหุ้นเพิ่มทุน 250 ล้านหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 3 บาท จึงตัดสินใจทยอยขายออกบางส่วน เพราะหากใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนต้องใช้เงินมากถึง 15 ล้านบาท ถือว่า หนักเกินไป แต่เมื่อขายออกจนเหลืออยู่ในมือ 2.04 ล้านหุ้น ก็จะใช้เงินซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพียง 6 ล้านบาท ค่อยเบาตัวขึ้นมาหน่อย
ยืนยันจะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน ตามสัดส่วนการถือหุ้น เพราะบริษัทจะนำเงินเพิ่มทุนไปขยายศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลไอเน็ต 3 (INET IDC3) เฟส 2 และ 3 รวม 300 ล้านบาท หลังนำเงินจากการขายหุ้นกู้ไปลงทุนในเฟสแรกแล้ว คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเปิดดำเนินการได้ในต้นปี 2560 ขณะเดียวกันยังจะผลักดันบริษัทในเครือ บมจ.เน็ตเบย์ หรือ NETBAY เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai)
เขา บอกว่า ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมอินเตอร์เน็ตเซอร์วิสโพรไวเดอร์ (ไอเอสพี) อยู่ในช่วงขาลง ทำให้องค์กรแห่งนี้ตกอยู่ในช่วงปรับตัว ส่วนตัวเชื่อว่า กำลังจะเข้าสู่ช่วง “เทิร์นอะราวด์” แม้ตลาดผู้ให้บริการ Cloud Solutions ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure, Google จะมีความได้เปรียบด้านขนาด และเทคโนโลยีมากกว่าก็ตาม
'ฝน-มรกต กุลธรรมโยธิน' กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเทอร์เน็ตประเทศไทย ในฐานะผู้ร่วมบุกเบิก เล่าว่า เรากำลังขยายฐานไปสู่ตลาดใหม่ๆ อย่าง ระบบ Cloud Solutions ซึ่งถือว่าเป็น “ธุรกิจดาวรุ่ง” ในยุคนี้
ก่อนจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับแผนธุรกิจใหม่ เธอ บอกว่า บริษัทใช้เวลาในการปรับยุทธศาสตร์นานกว่า 4 ปี นับตั้งแต่ประสบภาวะขาดทุนในปี 2554 จำนวน 85 ล้านบาท หลังดำเนินธุรกิจผิดพลาด 2 เรื่อง นั่นคือ 'ลงทุนในธุรกิจที่ไม่ชำนาญ' และ 'ลงทุนเร็วเกินไป' 
เช่น บริษัทไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรทำธุรกิจโฆษณาโทรทัศน์ตามห้างสรรพสินค้า หรือลงทุนในภาพถ่ายจากดาวเทียม ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับความยนิยมมากในปัจจุบัน แต่ด้วยความที่ลงทุนเร็วเกินไปเมื่อ 10 ปีก่อน เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าพอ
ส่งผลให้ฐานะติดลบ ประกอบกับบริษัทเอาแต่โฟกัสธุรกิจใหม่ ซึ่งธุรกิจเดิมอย่างบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต บริษัทไม่ได้พัฒนาปรับปรุง หรือลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้คู่แข่งแซงหน้าไปมาก
จากผลประกอบการที่ขาดทุนหนัก เรากลับมานั่งทบทวนว่า ทิศทางธุรกิจของ INET จะเดินไปทางไหน เมื่อพิจารณาองค์รวมแล้วพบว่า บริษัทมีความชำนาญเรื่องอินเทอร์เน็ต สะท้อนผ่านจุดแข็งสำคัญอย่าง 'ระบบเน็ตเวิร์ค' และ 'ระบบดาต้าเซ็นเตอร์'
เมื่อความคิดตกผนึก เราเดินหน้ายุทธศาสตร์ใหม่ทันที ด้วยการปรับตัวเองจาก “อินเตอร์เน็ต เซอร์วิส โพรไวเดอร์” (Internet Service Provider) มาเป็น “คลาวด์ เซอร์วิส โพรไวเดอร์” (Cloud Service Provider)
โดยใช้ชื่อบริการว่า 'INET–COLUD' เนื่องจากหากทำธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียวโอกาสที่จะทำรายได้ และสร้างผลกำไรมีข้อจำกัด แต่ถ้าขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจคลาวด์ ในจำนวนฐานลูกค้าเท่าเดิม แต่เราจะมีรายได้เพิ่มขึ้น
ธุรกิจใหม่ ทำให้ฐานะการเงินพลิกกลับมาเป็น 'กำไรสุทธิ' 3 ล้านบาท และในปี 2558 ล้างขาดทุนสะสมหมดเกลี้ยง กลับมาจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ตามเดิม
๐ Cloud Solutions พระเอกคนใหม่
สำหรับแผนธุรกิจ ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า (2559-2563) บริษัทจะเน้นทำธุรกิจบริการ Cloud Solutions เนื่องจากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจมีอัตราการเติบโตแบบ 'ก้าวกระโดด' จนขึ้นมาเป็นธุรกิจหลักในปัจจุบัน จากปี 2556 มีสัดส่วนรายได้เพียง 3% แต่ปัจจุบันสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 40% ถือเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต
โดยสัดส่วนรายได้ของ INET แบ่งเป็น 4 ธุรกิจ คือ 1.บริการร Cloud Solutions สัดส่วน 40% 2. บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet access) 20% 3. บริการ Co-Location 20% และ 4. บริการ EDC Network Pool 20%
เธอ เล่าว่า ธุรกิจบริการ Cloud Solutions ถือเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโต 'เท่าตัว' ทุกปี ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ร่วมกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่ปฏิบัติสอดคล้องกับมาตรฐาน ISO/IEC 27001 และ ISO/IEC 20000 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.Infrastructure as a Service (IaaS) เป็นการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที
2.Platform as Service (PaaS) เป็นบริการที่ให้ผู้ใช้บริการสามารถนำ Application มาทำงานอยู่บนระบบนี้ โดยจะช่วยให้ผู้ใช้บริการ ใช้งานได้โดยไม่ต้องลงทุนทางด้าน Hardware และ Software และ 3. Software as a Service (SaaS) เป็นการให้บริการทางด้าน Application เช่น Email on Cloud, Antivirus เป็นต้น
ส่วน ธุรกิจบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet Access) ตลาดนี้มี 'การแข่งขันรุนแรง' ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา กำไรขั้นต้นปรับลดลงมาเรื่อยๆ ขณะที่ผู้ประกอบการต้องลงทุนสูงขึ้น แต่ราคาเท่าเดิม ถือว่า เป็น 'ตลาดแข่งดุ' (Red Ocean)
แต่ด้วยความที่บริษัทมีจุดเด่นในแง่ของการเป็นผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับธุรกิจด้วยความเร็วที่หลากหลาย เพราะมีพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมทุกจังหวัด ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ทั่วประเทศ
โดยบริการอินเทอร์เน็ตสามารถเชื่อมต่อได้ผ่านทุกช่องทางสื่อสาร เช่น เชื่อมผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ สายวงจรเช่า (Leased Line) โครงข่าย MetroLAN ที่เชื่อมโยงเครือข่าย ภายในสำนักงานบนอาคารชั้นนำใจกลางกรุงเทพมหานคร ด้วยความเร็วตั้งแต่ 10 Mbps บนโครงข่าย Fiber Optic ขนาด 10 Gbps
๐ โชว์แผนโตปีละ 30%
'กรรมการผู้จัดการ' บอกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตปีละ 30% โดยในช่วงที่ผ่านมามีการลงทุนพัฒนาอินฟราสตรักเจอร์,เน็ตเวิร์ค,บริการคลาวด์ และปรับปรุงดาต้าเซ็นเตอร์เดิมให้ทันสมัย
สำหรับปี 2559 บริษัทจะลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ เพื่อรองรับความต้องการบริการคลาวด์เพิ่มขึ้น แม้ปัจจุบันองค์กรเอกชนยังใช้บริการคลาวด์ในสัดส่วนน้อย แต่มองว่าอนาคตจะมีสัดส่วนมากขึ้น
'ธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ตเปรียบเหมือนถนนที่ใช้เชื่อมต่อกันทั่วโลก โดยในช่วงแรกๆ ถนนอาจแคบ การใช้งานก็ถูกจำกัด แต่ในปัจจุบันถนนขยายกว้างขึ้นสามารถทำได้หลากหลาย'
๐ เพิ่มทุนขยายดาต้าแห่งใหม่
'นายหญิง' เล่าว่า หลังจากบริษัทออกหุ้นกู้ เพื่อลงทุนในโครงการศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล ไอเน็ต 3 (INET IDC3) เฟสแรก มูลค่า 700 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะสร้างเสร็จปลายปี 2559 และจะเปิดให้บริการต้นปี 2560
ล่าสุดบริษัทวางแผนว่าจะลงทุนโครงการ INET IDC3 เฟส 2 และ 3 จังหวัดสระบุรีเร็วขึ้นกว่าแผนเดิม เนื่องจากปัจจุบันมีปริมาณการจองการใช้งานระบบคลาวด์เกิน 50% แล้ว ซึ่งการลงทุนเฟสดังกล่าวอาจใช้เงินรวม 1,000 ล้านบาท
แบ่งเป็นงบลงทุนในแผนงานระยะที่ 2 ประมาณ 550 ล้านบาท ประกอบด้วย อาคารศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Data Center) จำนวน 1 อาคาร (Data Center อาคารที่ 2) พื้นที่ประมาณ 1,975 ตารางเมตร สามารถรองรับการให้บริการ Data Center และ Cloud Solution เพิ่มเติมจากแผนงานระยะที่ 1
อาคารระบบสนับสนุน จำนวน 1 อาคาร (Utility อาคารที่ 2) เพื่อรองรับการดำเนินงานของอาคาร Data Center อาคารที่ 2 รวมทั้งอาคารสถานีไฟฟ้าย่อย (Sub Station) จำนวน 1 อาคาร เพื่อเพิ่มกำลังในการจ่ายไฟฟ้าให้กับศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ 3 (INET IDC3) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างไตรมาส 1 ปี 2560 และสามารถดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2561
สำหรับแผนงานระยะที่ 3 วางงบลงทุนประมาณ 450 ล้านบาท ประกอบด้วย อาคารศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Data Center) จำนวน 1 อาคาร (Data Center อาคารที่ 3) พื้นที่ประมาณ 1,975 ตารางเมตร สามารถรองรับการให้บริการ Data Center และ Cloud Solution เพิ่มเติมจากแผนงานระยะที่ 1 และระยะที่ 2
อาคารระบบสนับสนุน จำนวน 1 อาคาร (Utility อาคารที่ 3) เพื่อรองรับการดำเนินงานของอาคาร Data Center อาคารที่ 3 คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2560 และดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2561
ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล 2 แห่ง คือ ศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลไอเน็ต 1 อาคารบางกอกไทยทาวเวอร์ (INET-IDC1) และศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลไอเน็ต 2 (INET-IDC2) อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ในอนาคตการเชื่อมโยงศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลทั้ง 3 แห่งเข้าด้วยกัน จะยิ่งเสริมเสถียรภาพและความปลอดภัยของข้อมูล ตอบสนองความต้องการของตลาด Co-Location และ Cloud Computing ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
รวมทั้งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด และรักษาความเป็นผู้นำในตลาด Cloud Computing ทั้งจากฐานลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ ดันเป้าหมายรายได้ให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนได้เป็นอย่างดี
'เป้าหมายของเรา คือ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยบริการที่มีมาตรฐาน ราคาไม่แพงจนเกินไป ขณะนี้มั่นใจว่า มาถูกทางแล้ว ดังนั้นหากโอกาสเข้ามาก็พร้อมวิ่งเข้าใส่' 
'นายใหญ่' ปิดท้ายบทสนทนาด้วยการฉายที่มาของ 'อินเทอร์เน็ตประเทศไทย' ว่า เริ่มก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2538 ในชื่อของ ศูนย์บริการอินเทอร์เน็ตประเทศไทย (ITSC) ซึ่งได้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ สมัยก่อนประเทศไทยยังไม่รู้จักกับคำว่า 'อินเตอร์เน็ต' 
แต่เมื่อสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทำการวิจัย และต้องการให้ระบบมหาลัยมีการสื่อสารกันด้วยระบบอินเตอร์เน็ตเหมือนในต่างประเทศ จึงเริ่มนำระบบอินเตอร์เน็ตเข้ามาใช้ในวงการมหาวิทยาลัยก่อน
เมื่อ สวทช. ใช้แล้วเกิดประโยชน์ หลังสามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ภาคเอกชนต้องการนำมาใช้ในการติดต่อทางธุรกิจ แต่ก็ใช้ไม่ได้ เนื่องจากธุรกิจโทรคมนาคมในอดีตเป็น 'ธุรกิจผูกขาด' (Monopoly) มีเพียง บริษัท กสท โทรคมนาคม หรือ CAT และ บริษัท ทีโอที หรือ TOT เท่านั้นที่เป็นผู้ให้บริการ
แต่ สวทช. เห็นประโยชน์ของการใช้ 'อินเตอร์เน็ต' จึงเข้าไปคุยกับทาง CAT และ TOT ให้มาร่วมกันลงทุน จุดกำเนิดของบริษัทเกิดขึ้นในช่วงนั้น โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้จัดตั้งบริษัทและจดทะเบียนในปี 2540 ต่อมาในปี 2544 บริษัทได้แปรสภาพเป็นมหาชน โดยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ราย คือ สวทช. ถือหุ้น 17% กสท. 16% และ ทีโอที 16%
'จุดแข็งไอเน็ต' คือ ประสบการณ์ที่สะสมมากกว่า 10 ปี และมีกรณีศึกษาช่วงอุทกภัยปี 2554 โดยได้ตั้งโครงการ ไอเน็ตเตรียมพร้อมรองรับภัยพิบัติตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อปฎิบัติการช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่องกว่า 600 ชั่วโมง รวมถึงให้บริการบิซิเนส เซ็นเตอร์ และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ลูกค้าดำเนินกิจการ และธุรกิจได้ต่อเนื่อง

20 พฤษภาคม 2559

ปรัชญาชีวิต “สอนลูก” 20 ข้อ

อ่านให้จบ (ดีมาก) ข้อ ที่ควรให้ลูกรู้และปฏิบัติ ก่อนอายุ 45 ปี
1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไปใน สายวิชาที่ตนเลือก แต่ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนจำเป็นมากๆ จงให้ใส่ใจ ส่วนวิชาอื่นๆ เอาแค่ดีพอหางานดีๆทำก็พอ เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด
ภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน
สร้างผลงานได้
2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย นั้นสำคัญมากพอๆกับการคร่ำเคร่ง หน้าตำราเรียน
3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้น..
สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือ เปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง
4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญ
ที่ต้องจำไว้ คือ “ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด”
5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอ โดยเร็วที่สุดเพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป
6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด
7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว
8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก
สู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน.อย่าลืมคบกับ ที่ปรึกษาการเงินไว้เป็นเพื่อน
9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลก ใบนี้เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่า วันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้
10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์ เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆต่อให้เก่งแค่ ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้
11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน
เพราะความมั่นคงไม่เคยมี บนโลกใบนี้
12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้ แค่อย่างเดียวเพราะความสามารถ ของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ
13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา
จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์
14. สร้างเนื้อ สร้างตัวให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็น หนุ่มสาวเพราะการฝ่าฟันอุปสรรค ในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก
15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ ยังหนุ่มสาวเพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่า เดิม
16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขาแต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้ มากแค่ไหน
17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ
18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้
19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบก
โลกทั้งใบไว้คนเดียวและอีกอย่าง งานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอมตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป
# หากคิดว่าโพสต์นี้มีประโยชน์ !!
กรุณาเเบ่งปันให้สักคนรับรู้
Cr. บอย วิสูตร

ที่มา https://goo.gl/59Mdt8

03 พฤษภาคม 2559

อัพเดต!!! รถไฟฟ้า 10 สาย ได้ใช้เมื่อไหร่ ?

คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบโครงการ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ตะวันออก( ศูนย์วัฒนธรรม-สุวินทวงศ์) มูลค่าโครงการ 8.2 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ( 29 มีนาคม) ครม.ได้อนุมัติโครงการ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และ ชมพู 5.18 หมื่นล้านบาท และ 5.32 หมื่นล้านบาท ตามลำดับไปแล้ว ทั้ง 3 โครงการ รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้(เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) และ สายสีแดงอ่อน (บางซื่อ-หัวหมาก) รวม 5 โครงการ อยู่ใน “แผนเร่งด่วน” และเปิดให้เอกชนเสนอ ร่วมทุนตามหลัก ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี) โดยหวังว่าการเดินหน้า ลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ พ้นจากภาวะซบเซาที่เผชิญอยู่เวลานี้ได้

สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง หากไม่มีอะไรคาดเคลื่อนอีก 5 ปีต่อจากนี้ (2559-2563) คนกรุงเทพฯ และจังหวัดข้างเคียง จะมีรถไฟฟ้า ใต้ดิน บนดิน และรถไฟชานเมือง เพิ่มขึ้นอีก 8 สาย เริ่มจาก ไฮไลต์ปีนี้คือ สายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) ที่ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยืนยัน สิงหาคม นี้เดินรถแน่ คิวถัดไป คือ สายสีน้ำเงิน ช่วง บางซื่อ-ท่าพระ กับ หัวลำโพง บางแค (ดูตารางประกอบ) ส่วน รถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน – บางซื่อ) แม้สร้างเสร็จแล้ว(กำหนดเดิมเดินรถปี2559) แต่เนื่องจากใช้สถานเดียวกับ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-รังสิต) จึงต้องรอไปถึงปี 2563 โดยประมาณจึงจะเดินรถเต็มรูปแบบได้
ส่วนโครงการที่ครม.เพิ่งอนุมัติและกำลังเข้าสู่ขั้นตอนเปิดให้เอกชนเข้าร่วมประมูล เช่นโครงการรถไฟสายสีชมพู (ปากเกร็ด-หลักสี่-มีนบุรี-สุวินทวงศ์) เหลือง (ลาดพร้าว-บางกะปิ-สำโรง ส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) หรือโครงการที่ อยู่ระหว่างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม รับฟังความคิดเห็น ออกแบบ อาทิ สาย เขียวเข้ม (สมุทรปราการ-บางปู) อย่างเร็วที่สุดที่คนกรุงฯจะได้ใช้บริการโครงการรถไฟฟ้าในกลุ่มนี้เชื่อมโยงกันเป็นโครงข่าย คือ ปี 2572 หรือ 13 ปีนับจากนี้ ไม่นานเลย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,152 วันที่ 28 – 30 เมษายน พ.ศ. 2559

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)