จากสถานการณ์โควิด19 ทำให้มีผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มีโอกาสทบทวนชีวิต ทบทวนอดีต และเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมามากมาย เลยคิดว่าอยากจะนำประสบการณ์มาเขียนเป็นบทความ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อย
*บทความนี้ ผมจะไม่ขอเอ่ยชื่อบุคคลหรือสถานที่นะครับ ผมไม่อยากให้เกิดการวิพากวิจารณ์ในทางไม่ดีครับ
*บทความนี้ผมไม่ได้มีเจตนาจะโอ้อวดตัวเองนะครับ และผมก็ไม่ได้เป็นคนประสบความสำเร็จหรือร่ำรวยอะไรเลย ผมเป็นพนักงานออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือนทั่วไป ที่ต้องการแชร์ประสบการณ์ตัวเองเฉยๆครับ
แนะนำตัวคร่าวๆ
ผมเป็นเด็กบ้านนอกจากภาคอีสาน ที่ไม่ได้เรียนเก่งอะไร จบชั้นมัธยมจากโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์
สมัยนั้นจะเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐ ต้องสอบเอนทรานซ์ให้ได้คะแนนสูงๆ เพื่อแข่งขันกับนักเรียนทั่วประเทศ
ผมจำได้ว่าตอนสอบแต่ละวิชานั้น เดาเกือบหมดทุกวิชา ทำข้อสอบแทบจะไม่ได้เลย แต่บังเอิญโชคดีสอบเอนทรานซ์ติดวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยของรัฐในภาคอีสาน ซึ่งติดในอันดับท้ายๆ ทำให้ได้รับโอกาสที่ดีๆ ต่างๆ มากมาย
ภาษาอังกฤษนั้นสำคัญมาก
ผมเป็นคนที่อ่อนภาษาอังกฤษมาก สอบเอนทรานซ์ก็เดาข้อสอบทั้ง 100 ข้อเลย และได้คะแนน 30 กว่าๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เคยสอบ TOEIC 1 ครั้ง ได้คะแนน 300 กว่าเต็ม 1,000 คะแนน
การเรียนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยนั้น ทางมหาวิทยาลัยจะแบ่งกลุ่มนักศึกษาโดยใช้คะแนนสอบเอนทรานซ์เป็นเกณฑ์ ใครได้คะแนนสูงสุดก็ได้อยู่ห้อง 11 ใครได้คะแนนต่ำสุดก็อยู่ห้อง 21 ส่วนผมได้อยู่ห้อง 20
ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนเรียนมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้เห็นความสำคัญและไม่เห็นประโยชน์ของภาษาอังกฤษเลย ดูทีวีก็ดูแต่ช่องภาษาไทย อ่านหนังสือก็อ่านภาษาไทย หรือหนังสือแปลไทย อินเตอร์เน็ตสมัยนั้นก็ยังไม่มี คนรู้จักที่เป็นชาวต่างชาติก็ไม่มี และไม่เคยได้คุยกับชาวต่างชาติเลย ความรู้ภาษาอังกฤษก็ไม่มี รู้แค่ศัพท์พื้นฐาน ทักษะฟังพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษนั้นแทบจะเป็นศูนย์
ผมได้มีโอกาสเรียนวิชาคณิตศาตร์ กับอาจารย์ท่านนึง ซึ่งอาจารย์ท่านนี้ มักจะพูดกับลูกศิษย์บ่อยๆ เกี่ยวกับความสำคัญของภาษาอังกฤษ
"ความรู้ทั่วทุกมุมโลกไม่ว่าจะอยู่ในหนังสือ หรืออยู่บนอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่นั้นจะเป็นภาษาอังกฤษ"
"ถ้าเรารู้ภาษาอังกฤษ เราจะหาความรู้ได้มากมาย เราจะเก่งได้อีกเยอะ โลกของเราจะกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น"
"ถ้าเราอ่านหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษ เราจะได้ความรู้แบบ first hand เนื่องจากเราได้อ่านสิ่งที่คนแต่งหนังสือนั้นต้องการจะสื่อ แต่ถ้าเราอ่านหนังสือแปล เราจะได้ความรู้แบบ second hand เนื่องจากเราต้องพึ่งพาคนแปล "
ซึ่งผมเห็นด้วยกับที่อาจารย์บอก และเริ่มจะมองเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษ
การเรียนที่มหาวิทยาลัยนั้น ในแต่ละเทอมจะเรียนอยู่ประมาณ 4-5 วิชา ซึ่งอาจารย์จะสอนโดยใช้หนังสือ text book ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เล่มนึงก็น่าจะมีประมาณ 500-1,000 หน้า
การอ่านหนังสือ text book นั้น ทำให้ผมได้มีโอกาสฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ และได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษต่างๆ มากมาย แต่ก็เป็นอุปสรรคที่ค่อนข้างลำบากมาก
การอ่าน text book โดยไม่มีความรู้ grammar และคำศัพท์นั้น ผมจะทำการแปลแต่ละประโยคโดยเปิด dictionary ในทุกคำที่ไม่รู้ แล้วพยายามสรุปเอาว่าคนแต่งหนังสือเขาจะบอกอะไรกับเรา ซึ่งใช้เวลานานมาก กว่าจะทำความเข้าใจได้แต่ละหน้า ถ้าประโยคไหน ผมไม่เข้าใจ ผมก็จะ highlight ไว้ แล้วค่อยไปถามอาจารย์ทีหลัง ซึ่งผมโชคดีมากๆ ที่อาจารย์ท่านเมตตาและใจดี ที่ช่วยแปลประโยคและอธิบายเพิ่มเติมให้
ปัจจุบัน ผมได้ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ได้มีโอกาสทำงานและพูดคุยกับชาวต่างชาติหลายคน ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบ้าง เวลาจะศึกษาหาความรู้หรือค้นหาข้อมูล ข้อมูลทุกอย่างก็จะเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งผมโชคดีมากๆ ที่ได้เห็นความสำคัญและได้เริ่มศึกษาภาษาอังกฤษเมื่อหลายปีก่อน
อ่านตอน 2 ได้ที่ Link