31 ธันวาคม 2565

สรุปการบริจาคเงินปี 2022 ของแอดมิน

 


แอดมินถูกฝึกให้ทำความดีตั้งแต่สมัยยังเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าวัด บริจาคเงิน ทำบุญ ทำทาน ปล่อยนกปล่อยปลา หรือให้อาหารสัตว์

สมัยเริ่มทำงาน ก็ได้ทำกิจกรรม CSR ของบริษัท จิตอาสา บริจาคเลือด และบริจาคเงินและเพิ่งมารู้จักกับ  เทใจดอทคอม ช่วงปี 2020 คิดว่าน่าสนใจและเราสามารถตรวจสอบได้ด้วย ว่าแต่ละโครงการเขาเอาเงินเราไปทำอะไรบ้าง 

หลังจากนั้นแอดมินก็บริจาคเงินกับเทใจดอทคอมทุกเดือนและคิดว่าคงจะทำไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ขัดสนเรื่องเงินๆทองๆ เพราะแอดมินคิดว่าการแบ่งเงินมาบริจาคสม่ำเสมอนั้นก็มีข้อดีมากมายกับผู้อื่น และเป็นการให้ที่ค่อนข้างสะดวกและไม่เดือดร้อนกับตัวเองมากเกินไป นอกจากนี้ การบริจาคเงินยังสามารถลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยจะโฟกัสที่มูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ สิ่งแวดล้อม และคนยากคนจน

ดูสรุปการบริจาคเงินปีอื่นๆได้ที่ Link

ข้อมูลด้านล่างเป็นการสรุปการบริจาคเงินปี 2022 ของแอดมิน





30 ธันวาคม 2565

กองทุน REIT กับการเครดิตภาษีเงินปันผลหุ้น

  สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักกับการเครดิตภาษีเงินปันผลหุ้น แนะนำให้อ่านบทความนี้ เครดิตภาษีเงินปันผล รายได้พิเศษของนักลงทุนในหุ้น

ถ้านักลงทุนที่มีหุ้นและกองทุน REIT ต้องการเครดิตภาษีเงินปันผล จะต้องใส่ข้อมูลของหุ้นและกองทุน REIT ทุกตัว

ดังนั้น เราจะต้องคำนวณก่อนว่าการเครดิตภาษีเงินปันผลนั้นคุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะเงินปันผลจากกองทุน REIT นั้น จะไม่ได้รับเครดิตภาษี ซึ่งถ้าฐานภาษีของนักลงทุนสูง อาจจะไม่คุ้มที่จะทำการเครดิตภาษีเงินปันผล

จากรูปด้านบน เงินปันผลของ GAHREIT ซึ่งเป็นกองทุน REIT นั้น ไม่ได้รับเครดิตภาษี ส่วนเงินปันผลของหุ้น QH นั้น ได้รับเครดิตภาษี 20%




06 ธันวาคม 2565

ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี?

 หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? 

ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ​3 กลุ่มนี้ มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน การมองที่เงินเดือนอย่างเดียวนั้น อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป เราควรจะมองปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย


จากรูปด้านบน ถ้ามองแค่เงินเดือน เราอาจจะคิดว่า งานข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจนั้นไม่ดีเพราะเงินเดือนน้อยกว่างานเอกชน แต่ถ้ามองปัจจัยอื่นๆ งานข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีข้อดีที่เยอะกว่างานเอกชนมากๆ ไม่ว่าจะเป็น ความมั่นคงสูงมาก ไม่มีการเลิกจ้างหรือไล่ออก มีบำนาญตลอดชีวิต มีสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรีตลอดชีวิต ความกดดันในการทำงานไม่สูงมาก และจำนวนวันเวลาทำงานน้อยกว่าพนักงานบริษัทเอกชน เป็นต้น (จากรูป สีเขียวคือดี สีขาวคือไม่ดี)



10 ตุลาคม 2565

MongoDB retry transaction write conflict

 In MongoDB, if you have multiple sessions try to update same document in the same time, you will get TransientTransactionError, that means you found transaction write conflict error.


Solutions

1. Show the error on your website and let the user try again

2. Add your code to retry update your transaction automatically, see example here 

// Runs the txnFunc and retries if TransientTransactionError encountered

function runTransactionWithRetry(txnFunc, session) {
while (true) {
try {
txnFunc(session); // performs transaction
break;
} catch (error) {
// If transient error, retry the whole transaction
if ( error.hasOwnProperty("errorLabels") && error.errorLabels.includes("TransientTransactionError") ) {
print("TransientTransactionError, retrying transaction ...");
continue;
} else {
throw error;
}
}
}
}

// Retries commit if UnknownTransactionCommitResult encountered

function commitWithRetry(session) {
while (true) {
try {
session.commitTransaction(); // Uses write concern set at transaction start.
print("Transaction committed.");
break;
} catch (error) {
// Can retry commit
if (error.hasOwnProperty("errorLabels") && error.errorLabels.includes("UnknownTransactionCommitResult") ) {
print("UnknownTransactionCommitResult, retrying commit operation ...");
continue;
} else {
print("Error during commit ...");
throw error;
}
}
}
}

// Updates two collections in a transactions

function updateEmployeeInfo(session) {
employeesCollection = session.getDatabase("hr").employees;
eventsCollection = session.getDatabase("reporting").events;

session.startTransaction( { readConcern: { level: "snapshot" }, writeConcern: { w: "majority" } } );

try{
employeesCollection.updateOne( { employee: 3 }, { $set: { status: "Inactive" } } );
eventsCollection.insertOne( { employee: 3, status: { new: "Inactive", old: "Active" } } );
} catch (error) {
print("Caught exception during transaction, aborting.");
session.abortTransaction();
throw error;
}

commitWithRetry(session);
}

// Start a session.
session = db.getMongo().startSession( { readPreference: { mode: "primary" } } );

try{
runTransactionWithRetry(updateEmployeeInfo, session);
} catch (error) {
// Do something with error
} finally {
session.endSession();
}

MongoDB SELECT ... FOR UPDATE inside Transactions

 In MongoDB, if you want to lock document in the transaction, you need to update it.

The sample code below is to emulate SELECT FOR UPDATE in MongoDB, we need additional field "myLock" and we will utilize ObjectID function to make sure that it is unique.

var doc = db.foo.findOneAndUpdate(

    { _id: 1 }, 

    { $set: { myLock: { appName: "myApp", pseudoRandom: ObjectId() } } }

)


reference: How To SELECT ... FOR UPDATE inside MongoDB Transactions | MongoDB

08 ตุลาคม 2565

Debug Rust program on vscode (Visual Studio Code)

 Debug Rust program on vscode (Visual Studio Code)

  • Create new rust project by running cargo new hello
  • Open hello folder using vscode
  • Install vscode CodeLLDB extension
  • Make sure your .vscode/launch.json file will be like this (you can copy this JSON file)

{
// Use IntelliSense to learn about possible attributes.
// Hover to view descriptions of existing attributes.
// For more information, visit: https://go.microsoft.com/fwlink/?linkid=830387
"version": "0.2.0",
"configurations": [
{
"type": "lldb",
"request": "launch",
"name": "Debug executable 'hello'",
"cargo": {
"args": [
"build",
"--bin=hello",
"--package=hello"
],
"filter": {
"name": "hello",
"kind": "bin"
}
},
"args": [],
"cwd": "${workspaceFolder}"
},
{
"type": "lldb",
"request": "launch",
"name": "Debug unit tests in executable 'hello'",
"cargo": {
"args": [
"test",
"--no-run",
"--bin=hello",
"--package=hello"
],
"filter": {
"name": "hello",
"kind": "bin"
}
},
"args": [],
"cwd": "${workspaceFolder}"
}
]
}

  • Set breakpoint and click debug Debug executable 'hello'


27 กันยายน 2565

Scale all kubernetes deployments and statefulsets in 1 command

To scale all kubernetes deployments and statefulsets in 1 command, just type


kubectl -n {NAME_SPACE} get statefulset,deployment -o name | xargs -I {} kubectl -n  {NAME_SPACE} scale {} --replicas={TOTAL_REPLICA}

16 กันยายน 2565

Remove all GIT local branches in 1 shell script command

We can use this shell script command to remove all GIT local branches

git branch | xargs -I{} git branch -d {}


After running the command above, your GIT local branches will be removed except the current GIT branch.

05 สิงหาคม 2565

รีวิว ประกันออมทรัพย์ 10/1 IRR สูง ลดหย่อนภาษี ปี 2565

*ดูรีวิว ประกันออมทรัพย์ 10/1 ปีล่าสุดได้ที่ Link


ประกันออมทรัพย์

ประกันออมทรัพย์นั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจาก

1. สามารถลดหย่อนภาษีได้ ยิ่งฐานภาษีสูง ยิ่งได้เงินคืนเยอะ

2. ได้ผลตอบแทนที่สูง เมื่อเทียบกับฝากธนาคาร

3. ความเสี่ยงต่ำ

และประกันออมทรัพย์ 10/1 นั้น ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากจ่ายเบี้ยแค่ครั้งเดียวจบ ทำให้ไม่เป็นภาระผูกพันนานหลายปี ไว้ปีหน้า ถ้าเรามีเงินเหลือก็ค่อยหาประกัน 10/1 ตัวใหม่ แต่ถ้าไม่มีเงินเหลือ ซึ่งอาจจะมีภาระผ่อนบ้าน ผ่อนรถเยอะ ก็งดซื้อประกันปีนั้นๆ ไป



รีวิวประกัน 10/1 


1. D-SUPER-SAVING 10/1

บริษัท: อาคเนย์ประกันชีวิต

URL: Link 

คุ้มครอง: 10 ปี

เงินคืนระหว่างปี: ปีละ 1.8% ทุกปี

เงินคืนเมื่อครบกำหนด: 101.8%


2. BLA 10/1

บริษัท: กรุงเทพประกันชีวิต

URL: Link 

คุ้มครอง: 10 ปี

เงินคืนระหว่างปี: ปีละ 1.75% ทุกปี

เงินคืนเมื่อครบกำหนด: 101.75%


3. MTL 11/1

บริษัท: เมืองไทยประกันชีวิต

URL: Link 

คุ้มครอง: 11 ปี

เงินคืนระหว่างปี: ปีละ 2.00% ทุก 2 ปี

เงินคืนเมื่อครบกำหนด: 102.2%


4. GSB 10/1

บริษัท: ทิพยชีวิต

URL: Link 

คุ้มครอง: 10 ปี

เงินคืนระหว่างปี: ไม่มี

เงินคืนเมื่อครบกำหนด: 110%



*ดูรีวิว ประกันออมทรัพย์ 10/1 ปีล่าสุดได้ที่ Link


01 สิงหาคม 2565

ในเมื่อเวลายังไม่เคยรอใคร เราก็ไม่จำเป็นต้องไปรอมันเช่นกัน

 



ที่มา Fwd email


เป็นอาสาสมัคร ทำกิจกรรม บำเพ็ญประโยชน์ และท่องเที่ยวไปในตัว ได้ง่ายๆ กับ ธนาคารจิตอาสา

 


เป็นอาสาสมัคร  ทำกิจกรรม บำเพ็ญประโยชน์ และท่องเที่ยวไปในตัว ได้ง่ายๆ กับ ธนาคารจิตอาสา (https://www.jitarsabank.com)




นิทานเรื่องโคตรโกง

โจรปล้นธนาคารที่กวงซู โจรตะโกนคำแรกเมื่อชักปืนออกมาว่า 


"ทุกคนอย่าขยับ เงินเป็นของรัฐ แต่ชีวิตเป็นของคุณ"


ทุกคนนอนอย่างสงบบนพื้น ไม่มีใครเสี่ยงชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องเงินของรัฐ


เราเรียกสิ่งนี้ว่า "เทคนิคการเปลี่ยนแนวคิด" บิดเบือนนิดเดียวความคิดเราก็เปลี่ยนไปไกลแล้ว

-------------------------------------------------


ผู้หญิงคนนึงนอนอยู่บนโต๊ะและกำลังจะกรี๊ด ทันใดนั้นโจรตะโกนใส่ผู้หญิงว่า "เรามีวัฒนธรรม ผมมาปล้นแบ๊งค์ ไม่ได้มาข่มขืนคุณ!!"


เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การเป็นมืออาชีพ" ตั้งมั่นในเป้าหมายอย่างเดียวไม่ว่อกแว่ก

-------------------------------------------------


เมื่อโจรกลับถึงฐานลับ โจรวัยรุ่นที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท MBA บอกกับรุ่นพี่โจรว่า "รุ่นพี่ เรามานับเงินกันว่าได้มาเท่าไหร่" แต่รุ่นพี่โจรที่จบเพียงชั้นประถมกล่าวว่า "แกนี่มันโง่มากเลย เงินตั้งเยอะตั้งแนะ จะนับยังไง คืนนี้ทีวีจะบอกเองแหล่ะว่าเราได้มาเท่าไหร่!!"


เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ประสบการณ์" ซึ่งในปัจจุบันประสบการณ์มีค่ามากกว่าใบปริญญามากมายนัก

-------------------------------------------------


เมื่อโจรกลับไปแล้ว ผู้จัดการธนาคารสั่งให้รองผู้จัดการโทรหาตำรวจที่เบอร์ 191 แต่ผู้จัดการธนาคารกลับค้านว่า "เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ โจรเอาเงินไปเท่าไหร่ เรามานับกันก่อน แล้วบอกตำรวจว่าโจรเอาไปมากกว่านั้นอีก 5 ล้าน"


เราเรียกสิ่งนี้่ว่า "ว่ายตามน้ำ" หรือการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส

-------------------------------------------------


ผู้จัดการกล่าวว่า "นั่นสิ จริงๆแล้วถ้ามีโจรมาปล้นธนาคารทุกเดือนก็ดีสินะ"


เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การฆ่าเวลาเล่นๆ" ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าความสุขของเราอีกแล้ว

-------------------------------------------------


วันถัดมา ทีวีทุกช่องออกข่าวกันว่ามีโจรปล้นธนาคาร 100 ล้านบาท แต่ว่าโจรที่ปล้นไปนับแล้วนับอีก ไม่ว่าจะนับกี่รอบ ก็นับได้แค่ 20 ล้านบาทเท่านั้น โจรโกรธมากแล้วพูดว่า "เราเสี่ยงตายและปล้นธนาคารออกมาได้แค่ 20 ล้านบาท แต่เจ้าผู้จัดการธนาคารแค่มันหัวไวนิดเดียว มันทำเงินได้ถึง 80 ล้านบาทเลย การศึกษามีดีอย่างนี้นี่เอง"


เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ความรู้มีค่ามากกว่าทองคำ"

-------------------------------------------------


ผู้จัดการธนาคารยิ้มร่าอย่างแรง เพราะว่าอยู่ดีๆเขาก็มีเงินเพิ่มขึ้นถึง 80 ล้านบาท โดยที่เป็นความผิดของโจรปล้นธนาคาร


เราเรียกสิ่งนี้ว่า "โคตรโกง" เซียนเหนือเซียน แต่ไม่ใช่ในสิ่งดี



ที่มา: Fwd email

12 กรกฎาคม 2565

ถ้าหากแนะนำเด็กรุ่นใหม่ได้ 1 อย่าง สิ่งนั้นคือ...

“เวลา” คือสิ่งเดียวที่ทุกคนได้มาอย่างเท่าเทียมและเป็นสิ่งเดียวที่ได้มาฟรีตั้งแต่เกิด จนบางครั้งหลายคนอาจมองไม่เห็นค่าของมัน ปล่อยให้สิ่งมีค่านี้ไหลไปเรื่อย ๆ อย่างเปล่าประโยชน์จนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีมันก็แทบจะหายไปทั้งชีวิตแล้ว

ถึงจะบอกว่าทุกคนได้เวลามาอย่างเท่าเทียม แต่ “ระยะของเวลา” ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน

Thomas Hobbes นักปรัชญาการเมืองตะวันตกได้นิยามคำว่า “ชีวิต” ไว้ว่า “บัดซบ โหดร้าย แสนสั้น”

บทเรียนและประสบการณ์จะสั่งสมผ่านตามกาลเวลา แต่บางครั้งคำเตือนจากคนที่เคยผ่านกาลเวลามาแล้วก็เป็นอีกบทเรียนที่มีค่ามาสำหรับชีวิต

ต่อไปนี้จะเป็นคำแนะนำจากเด็กรุ่นเก่าที่อยากมอบให้แก่เด็กรุ่นใหม่ไว้เป็นบทเรียนที่จงจำและนำไปใช้



เรียบเรียงโดย 100WEALTH
ผู้เขียน Jirantanin S.













 ที่มา Link

คริปโต Fear & Greed Index

 




เราสามารถดู กราฟคริปโต Fear & Greed Index ล่าสุดและย้อนหลังได้ที่ Link

ที่มา ​Facebook Page Crypto ดีไหม Defi ดีป่ะ


07 กรกฎาคม 2565

พนักงานบริษัทเอกชนต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ก่อนเกษียณ(หรือก่อนตกงาน)

 



พนักงานบริษัทเอกชน หลังเกษียณ หรือเกิดกรณีโดนเลิกจ้าง ตกงาน จะทำให้ไม่มีรายได้เลย ดังนั้นการวางการเงินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ตารางด้านล่างคือเงินเก็บที่เราต้องมีถ้าเราอยากมีรายได้หลังเกษียณ(หรือหลังตกงาน) โดยคำนวณจากสูตร 4% rule ที่มักจะนิยมใช้สำหรับการวางแผนทางการเงิน




จากตารางด้านบน ถ้าเราอยากมีรายได้วันละ 300 บาทหลังเกษียณหรือหลังตกงาน (อยู่ประเภทกุ้งฝอย) เราต้องมีเงินเก็บทั้งหมด 2.7 ล้านบาท

ถ้าอยากมีรายได้วันละ 1,000 บาท (อยู่ประเภทกุ้งขาว) เราต้องมีเงินเก็บ 9.1 ล้านบาท

คำถาม ชีวิตคุณหลังเกษียณหรือหลังตกงาน คุณอยากอยู่ Category กุ้งประเภทไหน?






27 มิถุนายน 2565

รายละเอียดขั้นตอนการซื้อบ้านมือหนึ่ง


 รายละเอียดขั้นตอนการซื้อบ้านมือหนึ่ง

  1. สำรวจทำเลที่เราต้องการจะซื้อ ว่าอยากอยู่โซนประมาณไหน
  2. ค้นหาข้อมูลโครงการต่างๆ ที่น่าสนใจทางอินเตอร์เน็ตหลายๆ โครงการ 
    • คัดเลือกโครงการที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการ
    • เดินทางไปเยี่ยมชมแต่ละโครงการ
    • สอบถามข้อมูลต่างๆ กับเซลล์ให้ครบถ้วน เช่น ราคา โปรโมชั่น ส่วนลด ของแถม ส่วนกลาง เพื่อนำมาเปรียบเทียบ
  3. ประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ
    • ค่าผ่อนบ้าน: ควรพิจารณาค่าผ่อนบ้านกับรายได้ ว่าเป็นภาระหนักเกินไปไหม (ถ้าหนักเกินไป อาจจะชะลอการซื้อบ้านไปก่อนเพื่อเก็บเงินเพิ่ม หรือเลือกโครงการที่ราคาไม่สูงจนเกินไป)
    • ค่าตกแต่งบ้าน ค่าต่อเติมบ้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่าโอน ค่าตรวจบ้าน
  4. หลังจากเลือกโครงการที่เราสนใจได้แล้ว เซลล์โครงการจะให้เราวางเงินมัดจำไว้
  5. เซลล์โครงการจะข่วยยื่นเอกสารกู้เงินกับธนาคารที่ co กับโครงการ ประมาณ 4-5 ธนาคาร
  6. การตรวจรับบ้าน
    • เราจะต้องตรวจบ้านก่อนที่จะเซ็นรับบ้าน ซึ่งการตรวจบ้านนั้น แนะนำให้จ้างวิศวกรมาช่วยตรวจบ้านเนื่องจากเขามีความชำนาญและมีอุปกรณ์ต่างๆครบครัน(เสริชหาข้อมูลได้ทางอินเตอร์เน็ต) 
    • การตรวจบ้านนั้นจะมี 3 รอบ วิศวกรจะมาช่วยตรวจรอบที่ 1 และ 2 ในการตรวจแต่ละครั้ง เจ้าของบ้านก็ควรไปยืน observe ด้วย ซึ่งวิศวกรเขาจะอธิบายและแนะนำรายละเอียดต่างๆ ให้เราฟัง
    • หลังจากตรวจบ้านและแก้ defect จนหมด เราจะต้องเซ็นรับบ้าน และนัดวันโอนบ้าน
  7. การโอนบ้าน
    • วันโอนบ้าน จะเป็นวันจันทร์ถึงศุกร์ ถ้าเราไม่สะดวก เราสามารถเซ็นเอกสารมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ธนาคาร ทำแทนก็ได้ หรือไปเองที่สำนักงานที่ดินก็ได้ 
    • หลังโอนเสร็จ เราจะได้รับสำเนาโฉนด และเอกสารการโอนมาเก็บไว้
    • หลังโอนบ้านเสร็จ เราสามารถนัดช่างตกแต่งบ้านหรือ ต่อเติมบ้านได้
  8. การตกแต่งบ้านหรือ ต่อเติมบ้าน
    • การต่อเติมนอกบ้าน เช่น ต่อเติมโรงจอดรถ ต้องทำการต่อเติมวันธรรมดา (จันทร์ถึงศุกร์)เท่านั้น ไม่สามารถทำวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุดได้ และก่อนต่อเติม ต้องให้ช่างเขียนแบบมาให้นิติบุคคลดูก่อน และวางเงินมัดจำ (ได้เงินมัดจำคืนหลังต่อเติมเสร็จ)
    • การตกแต่งหรือต่อเติมในบ้าน เช่นทำบิ้วอิน สามารถทำวันเสาร์อาทิตย์ได้
  9. การผ่อนบ้าน
    • ดอกเบี้ยผ่อนบ้านสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ปีละไม่เกิน 100,000 บาท
    • การโปะเงินต้นนั้น แนะนำให้ทำวันเดียวกับวันที่หักอัตโนมัติ (หลังจากหักอัตโนมัติ) เช่น หักอัตโนมัติ ทุกวันที่ 10 เวลา 18.00 ถ้าเราอยากโปะเงินต้น ให้โปะวันที่ 10 หลังเวลา 18.00
    • ก่อนผ่อนบ้านงวดสุดท้าย แนะนำให้เหลือยอดหนี้ไว้นิดหน่อย แล้วโทรไปติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อนัดเจอกันที่สำนักงานที่ดิน (เราเตรียมแคชเชียร์เช็คยอดที่เหลือไปจ่าย) ทำให้ประหยัดเวลา ถ้าเราผ่อนบ้านจนยอดเหลือ 0 บาท เราต้องไปติดต่อรับโฉนดที่ดินที่ธนาคารที่เรากู้ แล้วไปที่สำนักงานที่ดิน (เสียเวลาและต้องเดินทางไป 2 ที่)

22 มิถุนายน 2565

[Play to earn] เล่นเกมส์ Crazy Defense Heroes บน iPhone(iOS) และ Android แล้วได้เงินจริง


Crazy Defense Heroes คือเกมส์ Play to earn แนว Tower Defense บน iPhone(iOS) และ Android ที่เล่นได้ฟรี และยังได้รับเหรียญ Tower Token เอาไปขาย ได้รับเงินจริงๆ 

ขั้นตอนการสมัคร

1. สมัคร Metamask กระเป๋า Cryptocurrency เพื่อรับเงิน

2. สมัครบัญชี Crytpcurrency Exchange เพื่อขายเหรียญ และรับเงินสด

3. Download เกมส์ที่ Link หลังจากนั้นให้ connect Metamask

4. ติดตามข่าวกิจกรรมแจกเหรียญได้ที่ Link


ขั้นตอนการ Earn Money

1. Claim เหรียญ Tower ที่ Link 

2. เหรียญ Tower จะเข้า Metamask

3. บน Metamask ให้ Swap เหรียญ Tower เป็น Matic แล้วโอนเข้า Crytpcurrency Exchange เพื่อขายเป็นเงิน



Golang decrypt RC4 sample

 Sample Golang code below is the RC4 decrypt function that accept key and encrypted hex inputs.

Sample Golang Code

import (
"crypto/cipher"
"crypto/rc4"
"encoding/hex"
"strings"
"unicode/utf8"
)

func DecryptRC4(keyHex string, valueHex string) (string, error) {
keyBs, err := hex.DecodeString(keyHex)
if err != nil {
return "", err
}

valueBs, err := hex.DecodeString(valueHex)
if err != nil {
return "", err
}

c, err := rc4.NewCipher(keyBs)
if err != nil {
return "", err
}

c.XORKeyStream(valueBs, valueBs)
if utf8.Valid(valueBs) {
return bsToString(valueBs), nil
}

return "", nil

}

func bsToString(bs []byte) string {
str := string(bs)
str = strings.Replace(str, "\u0000", "", -1)
str = strings.Replace(str, "\x05", "", -1)
return str
}

Try to play and compare result with RC4 encrypt / decrypt online tool Link

Sample Input

got, gotErr := DecryptRC4("6d796b6579", "3b1fa50a0129d01faaa686f42969")
// raw key: "mykey"
// got:"my dummy value"
// gotErr: nil




27 พฤษภาคม 2565

Connect to MongoDB replica set directly


To connect to MongoDB replica set directly, you can simple add ?connect=direct after connection string, e.g., 

mongodb://[username:password@]host1[:port1][,...hostN[:portN]][/[defaultauthdb][?connect=direct

25 เมษายน 2565

[จิตวิทยาการลงทุน] จิตวิทยา Bias ที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ thaivi รุ่น17 อ.พี่เวป

 คัดลอกมาจากเว็บบอร์ด link



เกริ่น
ทฤษฎี Efficient Market Hypothesis หรือทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ มันจริงหรือไม่?
  • ทุกคนสามารถเข้าถึงข่าวสารได้เท่าเทียมกัน
  • แต่ละคนฉลาด ใช้เหตุผลในการตัดสินใจและไม่มีอคติ
  • ราคาหุ้นจะสะท้อน ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างทันที
  • ไม่มีใครสามารถหากำไรจากราคาที่ผิดพลาดได้อย่างต่อเนื่อง

ในความเป็นจริงคือ
  • มีเหตุการณ์ผิดปกติหลายอย่าง ในโลกของการลงทุน
  • เกิดภาวะฟองสบู่และภาวะตลาดตกต่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก
  • คนไม่ได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลตลอดเวลา
  • อคติต่างๆมีลักษณะเป็นรูปแบบที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

แม้แต่เรื่องในชีวิตประจำวัน
  • คนเราไม่ได้ฉลาดและใช้เหตุผลในการตัดสินใจโดยไม่มีอคติ ถ้าคนเราใช้เหตุผล และความเหมาะสมในการตัดสินใจ คนเรา คงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอาหาร ไม่สูบบุหรี่ หักห้ามใจไม่กินของหวานมากเกิน ไม่ซื้อของหรูหราเกินฐานะ กันได้ไม่ยาก ไม่ต้องพูดถึงข่าวต่างๆที่เกิดเพราะความโลภล้วนๆ
  • แต่ละคนตอบสนอง ต่อข่าวสารและโอกาสต่างๆได้ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง ในชีวิตประจำวัน สมมุติคุณต่อแถวรอจ่ายเงิน อยู่ที่ ช่อง ต่อคิว อยู่ๆทันใดนั้นพนักงานเปิดช่องจ่ายเงินเพิ่มอีก 1 ช่อง ก็จะมีคนที่อยู่ใกล้เล็งเห็น เข้าไปได้ก่อน คนที่แม้จะอยู่ใกล้ แต่ยืนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ก็ไม่เห็น ก่อนที่สุดท้ายแต่ละแถวจะกลับมายาวเท่าๆกันเหมือนเดิม



ทฤษฎีของ Daniel Kahneman
  • System1 thinking ลักษณะการคิดแบบไม่ต้องพยายาม สัญชาตญาณ
  • System2 thinking คิดช้าคิดอย่างละเอียด คิดอย่างแยบคาย
ในตลาดหุ้นเราห้ามใช้วิธีคิด แบบที่ 1 เลย แต่ในทางปฏิบัติทำได้ยาก และมันไวมากที่จะเผลอใช้วิธีคิดแบบที่1

ในการลงทุนเราต้องมีแต้มต่อ ไม่ว่าจะเป็น มีข้อมูลที่ดีกว่า วิเคราะห์ได้ดีกว่า และมีอคติน้อยกว่า

เราต้องเรียนรู้ลักษณะกับดักเชิงจิตวิทยาแต่ละอย่างถ้าเรารู้จักพวกมันเราจะตระหนักถึงพวกมันได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากอิทธิพลของพวกมันได้มากขึ้น



อคติอย่างที่ 1 confirmation Bias

ผมขอเอาอคตินี้ขึ้นเป็นอันดับแรกเพราะเห็นพิษภัยของมัน อย่างมาก โดยเฉพาะเวลาเรา ลงทุนหุ้น/ วิเคราะห์ กันเป็นกลุ่มเป็นทีม เกรงใจกันไม่กล้าออกความเห็นแย้งกัน แย้งเพื่อน

หรือแม้แต่เรา หาข้อมูลคนเดียว อ่านบทวิเคราะห์ อ่านข้อมูลหุ้น คนเดียว confirmation bias ก็เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เริ่มแรกที่เราเริ่มต้น Search หาข้อมูลกันเลยทีเดียวโดยที่บางทีก็ไม่รู้ตัว

ประโยคคำพูดที่เราจะใช้ Search ก็ลำเอียงแต่แรกแล้ว ก็จะได้ข้อมูลพวกนั้นออกมา มากกว่าปกติ

คนเรา มักให้น้ำหนักกับข้อมูลหรือความคิดเห็นที่ยืนยันความคิดของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มักจะมองข้าม
ให้น้ำหนักน้อยกับข้อมูลหรือความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับความคิดของตัวเอง (พี่เวป : เรื่องการเมืองก็เช่นกัน คนที่เห็นต่างทางการเมืองอย่างมีอคติข้อนี้ เลยไม่มีทางคุยกันรู้เรื่อง)

ผลที่ตามมา มองข้ามข้อเสียหรือแง่ลบของหุ้นและบริษัท ซื้อหุ้นตัวหนึ่งในสัดส่วนที่เยอะเกินไป ถือหุ้นที่จริงๆไม่ได้ดีอย่างที่คิดนานเกินไป

วิธีช่วยแก้confimation bias คือการคิดตรงกันข้าม

ซื่อสัตย์กับตัวเอง ตั้งคำถามเราสามารถฆ่าหุ้นตัวนี้อย่างไรได้บ้าง คนที่ไม่ชอบพูดตัวนี้เขามีเหตุผลอะไร ถ้ามันดีจริงทำไมราคาถึงยังถูก หาคนมาคิดแย้ง (แต่ส่วนใหญ่เราจะ unfriend เค้าไปหมดแล้ว ฮา)



อคติอย่างที่ 2 Overconfidence Bias

ข้อนี้ ผมคิดว่า ผมก็โดนเต็มๆ ยิ่งศึกษามาก ความมั่นใจมันยิ่งลดลง555

คนเรามักจะมีความสามารถและความฉลาด คิดว่าคาดการณ์อนาคตได้ดี มากเกินความเป็นจริง เชื่อในวิจารณญาณของตัวเองมากเกินไป (ประโยคที่ผมคิดว่าโดนใจ ที่พี่เวปพูด คือ เรามักจะ Overconfidence ว่าเราน่ะ… ไม่ได้ overconfidence )

คนอเมริกัน 94% คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าระดับเฉลี่ย คน 86% คิดว่าตัวเองมี Common Sense ดีกว่าระดับเฉลี่ย และคน 79% คิดว่าตัวเองหน้าตาดีกว่าระดับเฉลี่ย

ทำไมเราถึง overconfident
  • เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมองตัวเองดี มองบวก
  • ได้ผลลัพธ์ดีๆติดต่อกัน (beginner luck)
  • ทำสิ่งที่ตัวเองมีประสบการณ์น้อย (ยังไม่รู้ว่าจริงๆมันยาก มันมีปัจจัย 1234..)
*พี่เวปให้ดูกราฟระดับความมั่นใจที่สวนทางกับระดับฝีมือที่แท้จริง
*พี่เวปให้ดูชนิดของกิจกรรม ว่าใช้ฝีมือหรือใช้โชค = การลงทุนในหุ้นในระยะสั้น ค่อนไปทางการใช้โชคอย่างมากใกล้เคียง กับ Slot Machine [ส่วนหมากรุกนั้นใกล้เคียงกับ การใช้ฝีมือมากที่สุด]

วิธีดูว่ากิจกรรมอะไรใช้โชคหรือใช้ฝีมือให้ลองทำตรงกันข้าม หมายความว่าถ้าเราตั้งใจที่จะแพ้มันต้องแพ้ได้ เช่นซื้อหุ้น 5 ตัวตั้งใจว่าพรุ่งนี้ให้มันลงทุกตัวสามารถควบคุมมันได้ไหม ระยะสั้นยาก บางตัวมันขึ้น แต่ในระยะยาว จะใกล้เคียงไปทางด้านฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ ซื้อหุ้น 5 ตัวตั้งใจให้มันลงทุกตัวในระยะ 10 ปีอาจจะเลือกหุ้นเน่าได้ไม่ยาก

การลด overconfidence bias ถามตัวเองว่า เรามีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ว่าตัวเองเก่ง ถ้าคนที่มีความสามารถอย่างเราพยายามเท่าๆกับเราถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว คนทั้งโลกคงประสบความสำเร็จกันมากมายแล้วหรือเปล่า ประวัติความสำเร็จของเรามีความต่อเนื่องยาวนานมา นานแค่ไหน



อคติอย่างที่ 3 Loss Aversion Bias หลีกเลี่ยงความสูญเสีย (Loss ความสูญเสีย, Aversionเกลียดชัง หลีกเลี่ยง)

คนเราจะพยายามหลีกเลี่ยงการขาดทุนมากกว่าการหากำไร

ความเสียใจที่เกิดจากการขาดทุน รุนแรงเป็น2เท่า ของความดีใจที่เกิดจากการได้กำไร

ผลที่ตามมา
  • ถือหุ้นขาดทุนนานเกินไป ขายไม่ลง ทำใจขายไม่ได้ รับไม่ได้ ถือเงินสดมากเกินไปเพราะกลัวขาดทุน
  • ขายหุ้นที่ได้กำไรเร็วเกินไป

วิธีคิดแก้ไข เช่น ถ้าถือหุ้นแดง(ดอยอยู่) ถามตัวเองว่า ถ้าสมมุติเราไม่ได้มีหุ้น เราถือแต่เงินสด ณ เวลานี้ ราคานี้ คุณภาพบริษัทนี้ เราจะเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ไหม?



อคติอย่างที่ 4 Cognitive dissonance Bias (การรับรู้/ความเข้าใจ ขัดแย้ง)

ในชีวิตประจำวัน เจอเยอะมากๆ คือ เวลาสิ่งที่ควรทำ กับสิ่งที่อยากทำ ไม่เหมือนกัน คนเราจะหาเหตุผลหลอกตัวเองให้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หรือหาเหตุผล(เหตุผลอ่อนๆ เหตุผลเข้าข้างตัวเอง)มาหักล้าง

เวลาสิ่งที่ควรเชื่อกับสิ่งที่อยากเชื่อไม่เหมือนกัน คนเราจะรู้สึกไม่สบายใจ และจะพยายามหาเหตุผลมาหลอกตัวเอง ให้ได้เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ หรือหาเหตุผลหักล้างเพื่อไม่ต้องเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ

บิดเบือนเหตุผล ความจำ หรือเหตุการณ์ในอดีตเพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง

ยกตัวอย่าง คนเงินเดือนไม่มาก อยากมีวินัยการออมเงินแต่ก็อยากขับ bmwรุ่นใหม่ ใส่เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ของมันต้องมี มีแล้วเติมพลังชีวิต มีแรงขับไปหาตังเพิ่มใหม่ได้ บลาๆ



อคติอย่างที่ 5 Representativeness Bias (representative = ตัวแทน ผู้แทน)

คนเรามีแนวโน้มที่จะจัดหมวดหมู่ สิ่งของ และความคิด เช่น หุ้น value หุ้น growth หุ้นปันผล หุ้นอิ่มตัวแล้ว เป็นต้น

คือ คนเราใช้ข้อมูลจำนวน น้อย มาสรุป เพื่อให้เข้าใจง่าย ประหยัดพลังงานสมอง 

อื่นๆ เช่น วิกฤต เกิดทุก10ปี (อย่างรอบนี้ก็12ปี)

ผลที่ตามมา ตัดสินใจลงทุน โดยข้อมูลที่ไม่มากพอ คิดว่าคาดเดาได้มากเกินไป

เราด่วนตัดสินหุ้นบางตัวไปโดยการจัดกลุ่ม ก่อนที่จะได้ศึกษาอย่างละเอียดรึเปล่า



อคติอย่างที่ 6 Familiarity Bias

คนเรา มักจะชอบสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย ยิ่งคุ้นเคยยิ่งชอบ

ตัดตัวเลือกอื่นๆมากมายที่ไม่รู้จัก

ไม่ซื้อหุ้นที่ตัวเองไม่เคยใช้สินค้า/บริการ

ซื้อหุ้นของบริษัทในประเทศเท่านั้น



อคติอย่างที่ 7 Hindsight Bias

พอเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว คนเรามีแนวโน้มที่จะคิดว่า ตัวเองรู้ก่อนแล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น ทำให้คนประเมินความสามารถในการคาดการณ์ของตัวเองสูงเกินไป

คนประเภทหวยออกแล้วค่อยพูด

ผลคือ
  • ขาดโอกาสในการเรียนรู้
  • แยกแยะไม่ได้ว่าความสำเร็จเกิดจากโชคหรือความสามารถ


อคติอย่างที่ 8 Availability Bias

คนเรามักพิจารณาจากข้อมูลที่ตัวเองนึกได้ หรือคุ้นเคย แค่บางส่วน

ความทรงจำของเรา มันมีทั้งที่เลือนลางไป และคงอยู่ฝังใจ

ตาม The sins of Memory 2 ชนิด คือ
  • The Sin of Transience คือ ความทรงจำปกติ จะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
  • The Sin of Persistence คือ ความทรงจำที่กระตุ้นอารมณ์มากๆ ทั้งดีและไม่ดี เราจะจำได้
ผลคือ
  • ตอบสนองต่อเหตุการณ์ล่าสุดมากเกินไป 
  • ตัดสินใจจากเรื่องราวล่าสุด 
  • ให้น้ำหนักเรื่องราวล่าสุดมากเกินไป



อคติอย่างที่ 9 Anchoring Bias

เวลาเราคิดเกี่ยวกับตัวเลข,มูลค่า ตัวเลขบางตัวจะเข้ามามีอิทธิพล ต่อการตัดสินใจของเรา (anchor ตัวเลข)
เวลาเราจะวัดประเมินเรื่องใดเรื่องหนึ่งเรามักจะ อ้างอิงกับเรื่องอื่นๆที่ดูเหมือนจะคล้ายกัน (anchor เหตุการณ์)

[พี่เวปให้ดูคลิป ตอน Steve Jobs เปิดตัว iPad เครื่องแรก ตอนแรกบอกคุณสมบัติเครื่อง และจะขายที่ 999 ดอลลาร์ ห้องเงียบกริบ บอกว่าสมราคา แต่แล้วบอกความจริงว่าจะขายที่ 499 คนดีใจกันใหญ่ anchor ตัวเลขไปแล้ว]

ราคาสูงสุดในอดีตอาจทำให้เราคิดว่าหุ้นตอนนี้ถูก จริงๆอาจจะยังแพงอยู่มาก

ราคาต่ำสุด อาจจะทำให้เราคิดว่าหุ้นขึ้นมาแพงแล้ว หลายครั้งเราไปอิงกับราคาต่ำสุดทำให้เราไม่ได้ซื้อ

ราคาล่าสุดก็มีผลต่อการตัดสินใจเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น บางทีเวลาทยอยซื้อ ซื้อไปไม้นึงแล้วราคาขึ้น เราติดกับดักราคาเดิม ไม้สองเราไม่ยอมซื้อแพงกว่าราคาเดิม บางทีไม่ได้ซื้อเพิ่มอีกเลย

ราคาเป้าที่นักวิเคราะห์บอก เป็นราคาที่ไม่น่าติดเพราะเขาปรับขึ้นปรับลงไปเรื่อยๆ

ราคา ipo ก็ชอบยึดกัน ถูกกว่า ipo แพงกว่า ipoแล้ว

Anchoring เหตุการณ์ก็มี ยกตัวอย่าง วิกฤต

อย่างวิกฤตเราก็ชอบเทียบกับวิกฤตก่อนๆ จริงๆดีเทลแต่ละวิกฤตมันต่างกันมาก เหมือนกันแค่บางส่วน
(พี่เวปถามขำๆใครคิดว่าวิกฤตไหนๆมันก็เหมือนๆกันให้ยกมือ ถามต่อ ใครว่า มันเหมือนๆกันตรงพอร์ตเราก็เละเหมือนๆกัน ฮา)

สรุปว่าตัวเลขที่เราต้องคิดถึงมีแค่ราคาตลาดกับ มูลค่าที่เหมาะสม อย่าให้เลขอื่นๆที่มันไม่เกี่ยวข้องมาทำให้ไขว้เขว



อคติอย่างที่ 10 Status Quo Bias

คนเรามีแนวโน้มที่จะตัดสินใจเลือกทางเลือกอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน Comfort zone สบายใจดี

ถ้าเลือกอะไรใหม่ๆมันมีความไม่แน่นอน มันมีความไม่รู้ มันมีความเสี่ยง เราจะไม่สบายใจ

อย่าลืมว่าการอยู่เฉยๆก็เป็นทางเลือกหนึ่งเหมือนกัน

ความผิดพลาดของคนเรามี 2 อย่างคือ
  • ความผิดพลาดที่เกิดจาก ลงมือทำ
  • ความผิดพลาดที่เกิดจาก ไม่ลงมือทำ
แต่เรามักจะเสียใจถ้าเป็นความผิดพลาดที่เราลงมือทำมากกว่า แบบว่า ไม่น่ารนหาเรื่องเลย

ผลที่ตามมา
  • คือเราทำอะไรเหมือนเดิม
  • เวลาที่ควรซื้อก็อยู่เฉยๆไม่ซื้อ
  • เวลาที่ควรขายก็อยู่เฉยๆไม่ขาย
  • ถ้ารวมกับloss aversion ก็จะทำให้ถือหุ้นขาดทุนไปเรื่อยๆ

วิธีแก้ไข
  • ระลึกไว้ว่าการไม่กล้าเสี่ยงเลยก็คือความเสี่ยง
  • การไม่เปลี่ยนแปลงอะไรก็คือการตัดสินใจที่เราต้องรับผิดชอบเหมือนกัน บางครั้งสถานการณ์เดิมที่เราสบายใจมันอาจจะไม่เหมาะสมแล้ว
  • มองหาทางเลือกอื่นๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้คิดเปรียบเทียบ
  • ถ้า ไม่มีประสบการณ์ หรือทางเลือกอื่นๆ ยิ่งมีแนวโน้มจะไม่ทำอะไรเลย



อคติอย่างที่ 11 Endowment Bias

คืออคติที่บอกว่า เราให้ค่ากับสิ่งที่ตัวเองเป็นเจ้าของมากเกินไป

มองหุ้นบริษัทที่เราถืออยู่ดีเกินจริง

ในบอร์ด Thai vi ใครมาว่าหุ้นเราไม่ดี เรากดไม่พอใจเลย (แต่ก่อนในบอร์ดมีปุ่มกด ไม่พอใจ ได้ด้วย)

ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่าง ใครมีลูก ชอบคิดว่าลูกตัวเองเก่งเกินจริง คนเป็นแม่เอาลูกตัวเองไปชมให้เพื่อนฟัง เพื่อนคิดในใจ ลูกใครก็ทำได้นี่หว่า

หรือในข่าวลูกฉันเป็นคนดี คนเป็นแม่มักจะมองลูกตัวเองดีเกินจริงเสมอ

วิธีแก้ไข
  • คิดย้อน ถ้าเราไม่มีหุ้น เรามีแต่เงินสดเราจะยังซื้ออยู่ไหม
  • เปิดใจกว้างฟังความเห็น จากคนอื่นๆ (แต่ส่วนใหญ่เพื่อนที่ไม่เห็นด้วยเราก็เลิกคบหมดแล้ว ฮา)



อคติอย่างที่ 12 Affinity Bias (ความเกี่ยวดอง,ความสัมพันธ์,ความชื่นชอบ)

คนเรามักเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบ สะท้อนคุณค่า ภาพลักษณ์หรือตัวตนของเรา

บางคนซื้อหุ้นที่ขายสินค้าที่มีภาพลักษณ์ที่เราชอบ แต่จริงๆอาจไม่ใช่บริษัทที่น่าลงทุน

อย่างพี่เวปก็ยกตัวอย่างว่าชอบร้านหนังสือมาก อยากเป็นเจ้าของร้านหนังสือ แต่หุ้นร้านหนังสือในตลาด ราคาไม่น่าลงทุน ก็เลยซื้อไปนิดหน่อยแก้ Bias จะได้จบๆ (ฮา)

บางคนใช้สินค้า Apple เกือบทุกชิ้น iPad iPhone iPod I Watch แต่ไม่ได้หมายความว่าหุ้น Apple ไม่ดี
หมายความว่า ถ้าตัดสินใจซื้อเพราะเหตุผลที่เราชอบสินค้าเฉยๆโดยไม่ดูด้านอื่นเลยน่ะเป็น Bias ข้อนี้



อคติอย่างที่ 13 Mental Accounting Bias

คนเราเวลาคิดเรื่องเงิน หรือสินทรัพย์ มักแยกออกเป็นกลุ่มๆ เป็นบัญชี

ยกตัวอย่างเช่น เงินจากการทำงาน เงินมรดก เงินลาภลอย เงินสำหรับใช้เที่ยว เงินสำหรับใช้จ่าย

ใครถูกลอตเตอรี่ แล้วหมดในปีเดียว มีคนไปสัมภาษณ์เขามองว่าเงินล็อตเตอรี่เป็นเงินลาภลอยมันใช้ง่าย ถ้าเขาคิดว่ามันไม่ต่างกับเงินที่กว่าจะได้มาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายเขาไม่ใช้หมดง่ายขนาดนั้น ทั้งที่จริงๆมันก็เป็นเงินเหมือนกัน

บางคนมีเงิน 100 กำไรหุ้นมาเป็น 200 เราจะกล้าเสี่ยงมากขึ้น เพราะคิดว่ายังไงกำไรมา 100 แล้ว
จริงๆกำไรที่ได้มาหรือเงินต้นมันก็เป็นเงินเหมือนกัน

วิธีแก้
  • มองผลตอบแทนรวม
  • เงิน ทุกบาทกำไรทุกบาทมีค่าเท่ากันหมด



อคติอย่างที่ 14 Self – Attribution Bias

เวลาประสบความสำเร็จแล้วชอบคิดว่าความสามารถเราเองล้วนๆ

เราชอบคิดว่าเราเล่นหุ้นแล้วได้กำไร กำไรคือความฉลาด ของเรา แต่พอล้มเหลวเราชอบโทษปัจจัยภายนอก

ข้อนี้เป็นธรรมชาติอยู่ในยีนส์ เพื่อปกป้อง self ตัวเอง

เวลาเจอเรื่องไม่ดี ชอบบอกว่าเราโชคร้าย อาจจะจริงบางส่วน แต่จริงๆ ตัวเราเองนั่นแหละที่มีส่วนให้เราไปเจอเรื่องนั้นค่อนข้างมาก

วิธีพิสูจน์
  • เวลาจะซื้อหุ้นเราจดเหตุผลเอาไว้ว่า เราซื้อด้วยเหตุผลอะไร
  • แล้วพอเวลาผ่านไปมันขึ้นจริงด้วยเหตุผลนี้จริงๆเราค่อยเคลมได้ว่าเป็นความสามารถเรา



อคติอย่างที่ 15 Outcome Bias

พี่เวปยกตัวอย่างปลาหมึก Paul ที่ทายผลฟุตบอลโลก ถูกต้อง 8 matches ติดกัน ทั้งๆที่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุบังเอิญ

จริงๆถ้าเราไปหาข้อมูลมันมีคน ถ่ายคลิป ไว้เยอะแยะทั้งหนู เต่า ช้าง ทั้งวัว แต่พอมันไม่ถูก มันก็ไม่ดังขึ้นมา ไม่ได้มาออกข่าว

ตรงกับคำที่บอกว่าคนตายไม่ได้พูด Survivorship Bias

ผลที่ตามมา
  • ซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ผ่านมา
  • ขายหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแย่ในช่วงที่ผ่านมา
  • ใช้กลยุทธ์ที่ได้ผลตอบแทนดีในช่วงที่ผ่านมา
  • ตัดสินใจลงทุนโดยดูจากผลลัพธ์ไม่ได้ดูกระบวนการ



อคติอย่างที่ 16 Herding and Social Interaction

คนเรามีแนวโน้มชอบทำตามสิ่งที่คนส่วนใหญ่กำลังทำ

การทำเหมือนๆคนอื่นทำให้รู้สึกสบายใจ

สิ่งที่คนส่วนใหญ่กำลังทำจะมีอิทธิพลทำให้เราอยากทำสิ่งนั้นด้วย

ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน คลุมเครือ แล้วไม่มีความรู้ เรายิ่งมีแนวโน้มที่จะทำตามคนส่วนใหญ่ไปก่อน

เรามักจะคิดว่า เขาอาจจะรู้อะไรที่เราไม่รู้

ผลที่ตามมา
  • ซื้อแพง
  • ขายถูก
  • สุดท้ายโทษคนอื่นไม่โทษตัวเอง
  • ไม่เกิดการเรียนรู้

ในหัวข้อนี้พี่เว็บเปิดวีดีโอ ให้ดู 2 เรื่อง วีดีโอแรก เป็น คนอยู่ในลิฟท์จะหันหน้าเข้าหากำแพงหมดเลย เป็นหน้าม้าอยู่ 4-5 คน พอคนใหม่เข้าไป ก็จะหันหน้าเข้ากำแพงตาม (vdo ทำมาก่อนcovidนะ)

ส่วนอีกวีดีโอหนึ่งอันนี้ผมช็อคมากๆ เป็นหน้าม้าประมาณ 6-7 คนรอเข้าห้องตรวจ พอ มีเสียง ติ๊ด ทุกคนจะยืนตรงขึ้น แล้วก็ฟังชื่อว่าพยาบาลประกาศเรียกใครเข้าไปตรวจ เสร็จแล้วคนนั้นก็จะเดินเข้าห้องตรวจที่เหลือก็นั่งลง เพราะคิวต่อไปก็จะมีเสียงตี๊ด แล้วทุกคนก็จะลุกขึ้นยืน (จริงๆจะลุกทำไม) เป็นอย่างนี้ ทุกครั้ง
จนเหลือคนสุดท้ายคือคนที่มารอตรวจจริงที่โดนหลอก นั่งอยู่คนเดียว พอมีเสียงติ๊ดแล้วก็ยังยืน (หน้าม้าคนอื่นไปหมดแล้ว) แล้วมีคนไข้จริงคนใหม่ เดินมาเพิ่มอีก 1-2 คน กลายเป็นว่าคนสุดท้ายเมื่อกี้ที่โดนหน้าม้าหลอก ไปบอก ให้คนใหม่ยืนด้วยซ้ำ บอกว่าก่อนหน้านี้ใครๆเขาก็ทำอย่างนี้กัน

Benjamin Graham :
“You are neither right nor wrong because the crowd disagrees with you.
You are right because your data and reasoning are right”



อคติอย่างที่ 17 Expert & Authority Bias

คนเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อคำแนะนำของคนที่เราคิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ เช่นนักวิเคราะห์ ผู้บริหาร หรือเซียนหุ้น
ยิ่งถ้าเราไม่มีความรู้เราจะยิ่งเชื่อ

ถ้าเรากำลังกดดันทำอะไรไม่ถูกเราจะยิ่งเชื่อ

ยิ่งวัฒนธรรมบ้านเราจะมีBiasข้อนี้มากกว่า นับถือผู้สูงอายุ หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด

จริงๆที่ควรจะเป็นคือ ใครเหตุผลดีกว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใคร

ผลที่ตามมา
  • คนที่เราเชื่ออาจไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจริง
  • ผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ผู้เชี่ยวชาญอาจคิดผิด
  • ผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถให้คำแนะนำแก่เราได้ตลอดเวลา
  • เราจะลงทุนแบบไม่มีหลักยึด เราจะไม่มีโอกาสเรียนรู้

Anthony bolton : “กูรูหลายคนไม่ใช่ตัวจริง”

(พี่เวปขึ้นรูป sensor กูรูมาท่านหนึ่ง ฮาแตกกันครึ่งห้อง
SET จะไป 1650 จุด ให้เหตุผลแบบจิตสัมผัส
[ส่วนตัว คนนี้ผมสงสัยมานานแล้ว แล้วผมก็ตามอ่านคอมเม้นตามดูยอด Like สูงมากๆ
expert bias กับ herding Bias ขอบคุณพี่เวปที่สอน ผมขอฟันธงละ การจะหลุดจาก bias มันยากจริงๆนะครับ)

อีกตัวอย่าง
ตอนหุ้น Facebook ipo ที่ 38ดอลล์ แล้วไป low ที่ 17ดอลล์
ตอนราคาที่ 22ดอลล์ ขึ้นปกแมกกาซีนใหญ่ ที่อเมริกา บอกว่า FB Overvalue
ไม่ได้บอกว่าเขาถูกหรือผิดแต่สิ่งที่พี่เว็บจะบอกคือเราไม่ใช่ว่าอ่านแล้วเชื่อเขาเลย เชื่อเลยโดยไม่ ทำอะไรต่อ เราควรถามตัวเองเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่เห็นด้วยเราควรทำการบ้านต่อ
แต่คนส่วนมาก พออ่านเจอคำแนะนำแบบนี้มักจะเชื่อเลย เพราะคิดว่าเขาต้องรู้เขาต้องมีข้อมูลมากแล้ว

การแก้ไข
  • ความอยากซื้ออยากขายของเราเกิดขึ้น เพราะได้ฟังได้อ่านคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเช่นนักวิเคราะห์ ผู้บริหาร หรือเซียนหุ้นใช่หรือไม่
  • ที่ผ่านมา คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญคนที่ว่า มีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน
  • ควรหาข้อมูลและวิเคราะห์เพิ่มเติม



อคติอย่างที่ 18 Hot – Seat Bias

เวลาคนเราถูกกระตุ้นหรืออยู่ในสถานการณ์กดดัน เราจะใช้เหตุผลน้อยลง ใช้อารมณ์ตัดสินใจมากขึ้น และลงมือทำผิดจากแผนที่คิดไว้ หรือเลือกทำในสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่เราจะเลือกทำในภาวะปกติ

ในสถานการณ์กดดันผลเสียของการมีความรู้หรือประสบการณ์น้อยจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ผลที่ตามมา
  • ขายหุ้นออกไปเพราะทนดูมันตกติดต่อกันไม่ได้
  • ซื้อหุ้นเพราะทนเห็นคนอื่นได้กำไรกันไม่ได้

การแก้ไข
  • เขียนแผนการลงทุนไว้ล่วงหน้า
  • ก่อนตัดสินใจทำใจให้ว่างหายใจเข้าออกช้าๆ นาทีละ 4-6 ครั้ง
  • ลองทิ้งช่วงให้ใจสงบสักพัก ใช้เวลาตัดสินใจให้มากขึ้นแล้วดูว่าเราตัดสินใจแบบเดิมหรือเปล่า



อคติอย่างที่ 19 The power of story

สมองคนเป็นตัวประมวลเรื่องราวไม่ใช่ตัวประมวลเหตุผล

ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเล่าที่ฟังแล้วมีความสุขเราจะเชื่อง่าย

ผลที่ตามมา
  • ซื้อหุ้น เพราะผู้บริหารเล่าเรื่องโครงการมากมาย
  • ซื้อหุ้นเพราะหลงลมปากผู้บริหาร
  • ไม่ขายหุ้นเพราะผู้บริหารหาเหตุผลมาสนับสนุนผลประกอบการที่แย่
  • ใช้กลยุทธ์การลงทุนที่มีคนทำแล้วได้ผลดี ฟังแล้วเจ๋ง เคลิ้ม แต่จริงๆเป็นกลยุทธ์ที่เสียง

แก้ไข
  • สิ่งที่เราเชื่อมีหลักฐานจำนวนมากพอมายืนยันหรือเปล่า



อคติอย่างที่ 20 Recency Bias & extrapolation

เราชอบคิดว่า อะไรดีมันก็จะดีต่อไป อะไรแย่มันก็จะแย่ต่อไป

หุ้นที่ราคาขึ้นมันก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ

วิธีคิด
  • ตระหนักว่าทุกอย่างในโลกไม่สามารถดำเนินไปทางใดทางหนึ่งได้ตลอด ความรุ่งเรืองจะตามมาด้วยความเสื่อมถอย
  • ความมืดจะตามมาด้วยแสงสว่าง
  • ศึกษาประวัติศาสตร์
  • ศึกษาวัฏจักร

“ถ้ามันอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์มันก็คงจะสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นแล้ว” Bill Miller
“การคาดหวังหรือวาดฝันว่าผลลัพธ์ในอนาคตมันจะเหมือนกับที่เคยเป็นในอดีตเป็นเรื่องอันตราย” Lord Keynes

“การที่ราคาหุ้นขึ้นมา 20 เปอร์เซ็นต์มันหมายความว่าหุ้นตัวนี้มีความน่าสนใจน้อยลงไป 20%”
Francisco Gracia Parames

ประเด็นสำคัญคือปัจจัยบวกหรือลบที่ว่า ถูกสะท้อนอยู่ในราคาแล้วหรือยัง

ตอนทุกอย่างมันดี ให้ถามว่า Too good to be true แล้วรึเปล่า
ตอนทุกอย่างมันแย่ให้ถามว่า Too bad to be true รึเปล่า



อคติอย่างที่ 21 Halo effect Bias

เราชอบใช้ข้อมูลแง่มุมเดียวมาสรุปเรื่องราวหรือเหตุการณ์ทั้งหมด

มักเกิดขึ้นตอนที่เราไม่ได้รู้เรื่องนั้นดีจริงหรือรู้จักคนนั้นดีพอเราก็จะดูจากภายนอกนั่นแหละ

เหมือนการที่เราตัดสินคน จากภายนอก เช่นเสื้อผ้าหรือรถที่ขับ เพราะเราไม่ได้รู้จักเขา

วอร์เรนบัฟเฟตต์บอกว่าตอนผมยังไม่ดังพูดอะไรไปก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ตอนนี้พูดอะไรซี้ซั้วคนยังคิดว่าซ่อนความหมายเป็นนัยอะไรเอาไว้หรือเปล่า

จบ Bias 21 ข้อ



RECOMMENDATION จากพี่เวป
  • อ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาการลงทุนหาความรู้ให้มากๆ
  • ฝึกให้รู้เท่าทันความคิดตัวเอง
  • ฝึกสติสมาธิ
  • นอนให้พอ ตัดเรื่องกังวล ออกกำลังกายกินอาหารมีประโยชน์
  • พยายามอย่าตัดสินใจอะไรตอนนี้ เครียดนอนไม่พอ
  • ASK WHY? 3 times หรือ 5 times ยิ่งดี
  • ถามตัวเอง ว่า ทำไม ลึกลงไปเรื่อยๆ เราจะถึงรากเหง้าของปัญหา คือถามแล้วตอบ แล้วถามจี้ในคำตอบต่อไปเรื่อยๆ
  • จดไดอารี่การลงทุน
  • รู้จุดอ่อนตัวเอง
  • ติดคำคมจุดอ่อนตัวเอง เพื่อ เตือนสติ หรือติดposter บัฟเฟต ไรงี้ (ติดรูปพี่เวปไว้remind เรื่อง Biasได้ไหมครับ 55)
  • วางแผนล่วงหน้า
  • ควบคุมสภาพแวดล้อม เหมือนคนลดน้ำหนักก็อย่าให้ตัวเองไปเห็นของหวานเยอะ
  • เรียนรู้ตลอดเวลา
  • อ่อนน้อมถ่อมตน

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)