REIT คืออะไร
สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพื่อลงทุนระยะยาวแล้วขายทำกำไรส่วนต่างราคา หรือเพื่อปล่อยเช่า สร้าง Passive Income
การลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ตรงๆ นั้นต้องใช้เงินค่อนข้างสูง หลักแสน หลักล้าน หรือสิบล้านบาท ซึ่งคนที่ไม่ได้มีฐานะดีมากนั้น อาจจะลงทุนได้ลำบาก แต่ปัจจุบันเรามีกองทุนที่ชื่อว่า REIT ซึ่งจะเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้มีเงินมากๆ ได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้เหมือนกัน
กองทุน REIT นั้นคือหุ้นประเภทนึงที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการระดมทุนเพื่อไปซื้อหรือเซ้งอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ แล้วนำมาปล่อยเช่าและรับรู้รายได้จากค่าเช่า
การลงทุนในกองทุน REIT ก็เปรียบเสมือนว่าเราลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อรับรายได้จากค่าเช่านั่นเอง และเราสามารถลงทุนในกองทุน REIT เพื่อสร้าง Passive Income ได้โดยใช้เงินลงทุนหลักร้อย หลักพันบาทเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสียของ REIT
ข้อดีของ REIT
- สภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทุกวัน
- ใช้เงินลงทุนน้อย เงินร้อย เงินพัน ก็สามารถซื้อได้ ตัวอย่างเช่น GAHREIT ราคาหุ้นละ 8 บาท เราสามารถเริ่มต้นซื้อได้ด้วยเงิน 800 บาท (8 x 100 หุ้น)
- จ่ายปันผลสม่ำเสมอ เพราะกองทุน REIT มีรายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ และกองทุน REIT หลายๆ กองทุน จ่ายปันผลทุกไตรมาส การลงทุนในกองทุน REIT เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้าง Passive Income
- เงินปันผลค่อนข้างสูง (3-6%) ดีกว่าฝากธนาคาร
- ค่าเช่าสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ตามเงินเฟ้อ ทำให้ผู้ลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต
- มีผู้จัดการกองทุน REIT ที่จะมาบริหารจัดการ หาผู้เช่า โฆษณา และบำรุงรักษาทรัพย์สินให้เรื่อยๆ
- ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายทรัพย์สิน หลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัว ตัวอย่างเช่น สมมติเรามีเงิน 2 ล้านบาท
- ถ้าเราเลือกลงทุนซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า เราก็ซื้อได้แค่ 1 ห้อง ซึ่งถ้าเกิดไม่มีคนเช่า เราก็ไม่มีรายได้
- ถ้าเราเลือกซื้อกองทุน REIT เราสามารถซื้อกองทุน REIT ได้หลายๆ กองทุน เช่น CPNREIT, LPF, IMPACT, DREIT, etc ถ้าบางกองทุนไม่จ่ายเงินปันผล แต่เราก็จะยังได้รับเงินปันผลจากกองอื่นๆ อยู่ ซึ่งทางเลือกที่สองนี้ ค่อนข้างปลอดภัยกว่าทางเลือกแรก
- ผู้ลงทุนไม่สามารถ Leverage หรือกู้เงินมาลงทุนได้ ต้องใช้เงินสดเท่านั้น
- Commerce คือกองทุน REIT ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับค้าปลีก เช่น
- LPF ลงทุนในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า Lotus (บางสาขา) เพื่อปล่อยเช่า
- CPNREIT ลงทุนในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า Central (บางสาขา) เพื่อปล่อยเช่า (CPNREIT ลงทุนทั้ง Commerce และ Office)
- Industrial คือกองทุน REIT ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรม เช่น
- WHART ลงทุนในโรงงานและคลังสินค้าของกลุ่ม WHA เพื่อปล่อยเช่า
- FTREIT ลงทุนในโรงงานและคลังสินค้าของกลุ่ม FPT เพื่อปล่อยเช่า
- Office คือกองทุน REIT ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับออฟฟิศ เช่น
- TPRIME ลงทุนในออฟฟิศ Exchange Tower และ Mercury Tower เพื่อปล่อยเช่า
- CPNCG ลงทุนในออฟฟิศ Central World เพื่อปล่อยเช่า
- Residential คือกองทุน REIT ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับโรงแรม เช่น
- GAHREIT ลงทุนในโรงแรม Sheraton Hua Hin Resort & Spa
- Infrastructure คือกองทุน REIT ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น
- DIF ลงทุนในเสาเครือคร่ายของ True
- Other อื่นๆ เช่น
- IMPACT ลงทุนใน Impact Exhibition
- Freehold คือกองทุนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโครงการ เป็นเจ้าของที่ดิน ทำให้ได้รับ Capital Gain ในอนาคต ถ้าหากราคาที่ดินมีแนวโน้มสูงขึ้น ถ้าเราถือกองทุน REIT แบบ Freehold ก็เปรียบเสมือน เราก็เป็นเจ้าของที่ดินนั้นๆ ด้วย
- Leasehold คือกองทุนลงทุนแบบสิทธิ์การเช่าที่ดิน (เซ้ง) ซึ่งถ้าสัญญาเช่าที่ดินหมดอายุ ราคากองทุนก็จะเป็น 0
- Freehold & Leasehold คือกองทุนอาจจะมีทรัพย์สินบางส่วนเป็น Freehold และทรัพย์สินอีกบางส่วนเป็น Leasehold
- LPF
- สัดส่วน freehold ค่อนข้างสูง ประมาณ 70%
- ให้เช่าพื้นที่ในห้างโลตัส 20 กว่าสาขา ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ
- ปันผลปัจจุบันประมาณปีละ 4%-5%
- FTREIT
- สัดส่วน freehold ค่อนข้างสูง ประมาณ 70%
- คลังสินค้าและโรงงานอุตสาหกรรม
- ปันผลปัจจุบันประมาณปีละ 5%
- IMPACT
- สัดส่วน freehold 100%
- ให้เช่าพื้นที่อาคารแสดงสินค้า impact เมืองทองธานี
- ปันผลปัจจุบันประมาณปีละ 5%
- GAHREIT
- สัดส่วน freehold 100%
- โรงแรม Sheraton Hua-Hin Resort & Spa
- ปันผลปัจจุบันประมาณปีละ 5%-6%
- ไม่ควรลงทุนหุ้นหรือกองทุน REIT แค่ 1-2 ตัว เพราะมีความเสี่ยง ควรลงทุนอย่างน้อย 6 ตัว และกระจายหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ออฟฟิศ
- เงินปันผลในอดีต ไม่การันตีว่าอนาคตจะได้เงินปันผลเท่าเดิม เราในฐานะนักลงทุนต้องวิเคราะห์ ติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น