การคิด (Thinking)
การคิด (Thinking) นั้นแบ่งออกได้เป็น 2 แบบคือ
1. Critical Thinking คือ การคิดเพื่อการตัดสินใจ
2. Creative Thinking คือ การคิดเพื่อสร้างสิ่งใหม่
Elements of Critical Thinking
หลังจากได้รับโจทย์
1.ให้เราทำความเข้าใจโดยแตกองค์ประกอบให้เยอะๆ
2. เชื่อมโยงอย่างมีตรรกะ
3. อนุมาน ลำดับความสำคัญและสรุปใจความอย่างมีหลักการ
หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจ
เช่น A กับ B เล่นทายชื่อสัตว์กัน
- A นึกสัตว์ 1 ชื่อไว้ในใจ
- B ถาม A เพื่อหาข้อมูล เช่น บินได้ใช่ไหม ก่อเชื้อโรคใช่ไหม มีพิษใช่ไหม กินได้ใช่ไหม ขนาดเท่ากำปั้นใช่ไหม ส่วน A ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่
- B นำข้อมูลมา Link หาจุดเชื่อมโยง เช่น บินได้ ก่อเชื้อโรค ขนาดเล็กกว่าเล็บมือ กินไม่ได้
- B อนุมาน เช่น น่าจะเป็น ยุง แมลงวัน
- B ตัดสินใจ บอก A ว่า ตอบว่าแมลงวัน
ถ้าเราถามเพื่อนว่า ให้ทายชื่อสัตว์ ที่มีพิษมา คนส่วนใหญ่จะบอกว่าเป็นงู เพราะเจอบ่อย และ venom ในหนัง ในละคร มักจะเป็นงู แต่ความเป็นจริง สัตว์ที่มีพิษ เป็นตะขาบ มด ก็ได้
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะคนส่วนใหญ่ชอบใช้ Fast Thinking
Fast Thinking
- อัตโนมัติ
- สมองชอบ
- มีเหตุผลน้อย
- อาศัยประสบการณ์
Slow Thinking
- ไม่อัตโนมัติ
- ฝืนใจสมองตอนแรก เพราะต้องใช้พลังงานมาก
- มีเหตุ มีผล
1. Start with Slow Thinking
Stop Fast Thinking
2. Breakdown the thoughts
สมมติ เราเป็นผู้ว่า กทม แล้วจะมี Disney Land มาเปิด เราก็จะต้อง break down องค์ประกอบ เช่น
- infra
- เดินทาง
- ในจังหวัด
- BTS
- MRT
- Taxi
- Car
- Motorcycle
- รถเมล์
- ระหว่างจังหวัด
- Train
- Bus
- เครื่องบิน
- ระหว่างประเทศ
- เครื่องบิน
- internet
- น้ำไฟ
- อาหาร
- มลพิษ
- เสียง
- จราจร
- ฝุ่น
- แรงงาน
- ทักษะบริการ
- ทักษาภาษา
- ท่องเที่ยว
- มีห้างอื่นๆ เช่น พารากอน
- ที่เที่ยวธรรมชาติจังหวัดใกล้เคียง
3. Hypothesis are necessary
จากข้างบน ให้ใส่ว่าแต่ละอันดีหรือไม่ดี และใส่สมมติฐานประกอบ เช่น
- มลพิษ (ไม่ดี รถน่าจะติด คนเยอะ)
- แรงงาน
- ทักษะบริการ (ดี กทม มีคนมีทักษะเยอะ)
- ทักษาภาษา (ดี กทม มีคนมีทักษะเยอะ)
- infra
- เดินทาง
- ในจังหวัด
- BTS (ไม่ดี รถไฟฟ้าไม่เพียงพอ)
- MRT (ไม่ดี รถไฟฟ้าไม่เพียงพอ)
- Taxi & Grab (ดี)
4. Data is a must
เอาข้อมูล Fact ต่างๆ มาสนับสนุน เช่น สถิติย้อนหลัง
Problem Solving
1. Problem
- situation appraisal: prioritize by impact & urgent คือการประเมินสถานการณ์ มีสิ่งใดเกิดขึ้นและต้องได้รับการแก้ไขบ้าง และจัดการกับสถานการ์นี้อย่างไร ให้เราทำการ priority (very high[VH], high[H], medium[M], low[L])
- define problem: ปัญหาที่เราจะแก้คืออะไร
- identify root cause: สาเหตุของปัญหาคืออะไร
2. Solution
- implement solution: มั่นใจว่า solution นี้สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ (correction & corrective action)
- preventive action: จะป้องกันการเกิดปัญหาอื่นๆ ที่คล้ายกันได้อย่างไร (preventive action)
ตัวอย่าง เคส COVID19
problems
- เรียนออนไลน์ไม่มีปรระสิทธิภาพ
- หน้ากากไม่พอ
- ข่าวปลอม
- วัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ
- วัคซีนไม่ทั่วถึง
- เสียชีวิตสูงขึ้น
- เตียงไม่พอ
- etc
prioritize by impact & urgent
วัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ (urgent:H, impact:VH) => เสียชีวิตสูงขึ้น (urgent:VH, impact:VH) => เตียงไม่พอ (urgent:VH, impact:VH)
วัคซีนไม่ทั่วถึง (urgent:H, impact:VH) => เสียชีวิตสูงขึ้น (urgent:VH, impact:VH) => เตียงไม่พอ (urgent:VH, impact:VH)
define problem
wh-questions- what
- who
- where
- when
- why: ทำไมต้องแก้นะ
- goal (quantity): วัดผลได้ไหม ตัวเลขเป็นไง
- goal (quality): แก้แล้วเป็นไง
problem การเสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น
- what: การเสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น
- who: ผู้ป่วย 20-35
- where: เสียชีวิตที่บ้าน(หาเตียงไม่ได้)
- when: ตั้งแต่ประกาศทำ home isolation
- why: ต้องการลดจำนวนผู้เสียชีวิต
- goal (quality): ให้กลับไปเป็นค่าปกติ
- goal (quantity): ลดจาก 35% to 20%
identify root cause
ถาม ทำไม ไปเรื่อยๆ แล้วเลือกสาเหตุจริงๆ หลังจากนั้นลอง proof เช่น ลองแก้กับกลุ่มเล็กๆ ก่อน
คนไม่เข้าใจ home isolation ไม่รู้ว่า ต้องอาการแบบไหน ถึงค่อยมา รพ และไม่รู้จะหาเตียงว่างได้ยังไง
การแก้ปัญหา
1. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (correction)
- จะมีผลกระทบตามมา
2. แก้ที่สาเหตุ (corrective action)
- ย้อนมาต้นเหตุ ก่อนเกิดปัญหา
3. ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา (preventive action)
- ปัญหา อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ก็ได้
เคส covid แก้โดยการให้ความรู้ และประชาสัมพันธ์ เรื่อง home isolation
how to curiosity การเอ๊ะ
forced curiosity
- เอ๊ะ จากการถามโต้งๆ,
- e.g., why blue?
- ตั้งเพื่อเก็บข้อมูล
spot the odd
- เอ๊ะ จากสิ่งผิดปกติ ต้องสังเกตุ เปรียบเทียบ,
- e.g., why blue, not red?
- เป็นการตั้งคำถามที่ดี เพื่อพิสูจน์
is / is-not tool
is / is-not ต้องเป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ห้ามเป็นการคาดเดา
is คือสิ่งที่เป็นปัญหา
is-not คือสิ่งที่ไม่เป็นปัญหา
- Bandwagon: อ้างคนหมู่มากในการสร้างความชอบธรรม
- Confirmation Bias: อ้างเฉพาะหลักฐานที่ตนสนใจแล้วตัดสินใจจากสิ่งที่ตนคิดว่าใช่โดยเพิกเฉยต่อหลักฐานอื่นๆ
- Composition: อ้างว่าสิ่งหนึ่งเป็นแบบนั้น สิ่งๆ อื่นก็จะเป็นแบบนั้นหมด
- Fallacy of The Single Cause: อ้างว่าเหตุการณ์หรือปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนเกิดจาก "สาเหตุ" หนึ่งข้อเท่านั้น
- Slippery Slope: อ้างเหตุผลที่ไม่เกี่ยวกันแล้วนำมาสรุปแบบผิดๆ
- Straw Man: อุปโลกน์จุดยืนของอีกฝ่ายทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวถึง
- Sunk Cost Fallacy: การตัดสินใจของเราขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตมากกว่าการตัดสินใจที่มีเหตุผลในปัจจุบัน
- ช่างสงสัย ถามให้เยอะ (เน้นปลายเปิด) เข้าใจให้มากขึ้น
- แยกองค์ประกอบได้เยอะ จะให้วิเคราะห์ได้รอบด้าน
- หาหลักฐานสนับสนุนการอนุมาน
- หลักเลี่ยงตรรกะวิบัติ (Fallacy) เนื้อหาสรุป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น