20 กุมภาพันธ์ 2567

7 บทเรียนสำคัญจากเรียนหลักสูตร MBA ที่ University of Florida

คุณ Sean Kernan ได้ใช้เวลา 2 ปีและเงินมากกว่า 2 ล้านบาท ในการเรียนหลักสูตร MBA ของ University of Florida โดยเขาได้นำ 7 แนวคิดจากหลักสูตรมาย่อยให้ คนทั่วไปอย่างๆ เราสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

หลักสูตร MBA (Master of Business Administration) เป็นหลักสูตรบริหารธุรกิจที่ไม่เพียงเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนอันตรายในแวดวงธุรกิจเท่านั้น แต่ยังพัฒนาความสามารถในการตัดสินใจ (Decision-making) และยังทำให้เรากลายเป็นคนมูลค่าสูงในโลกธุรกิจอีกด้วย



1. วิธีเดินเข้าสู่ “การเจรจา”

ก่อนเข้าสู่กระบวนการเจรจาต่อรอง ให้เขียนรายการสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่าย โดยให้เรียงลำดับตามความยินดีที่คุณยอมมอบให้ฝ่ายตรงข้าม โดยพยายามทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอของคุณ เช่น “ฉันไม่สามารถเสนอเงินเดือนมากขนาดนั้นได้ แต่ฉันยินดีให้คุณทำงานจากที่บ้านได้ (Work From Home) หากคุณต้องการ”

ในตัวอย่างนี้ การอนุญาตให้ฝ่ายตรงข้ามทำงานจากที่บ้าน อาจเป็นสิ่งที่คุณยินดีมอบให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่คุณสามารถนำมันมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเจรจาต่อรองเพื่อแลกกับบางสิ่งที่คุณต้องการจากอีกฝ่าย เราทำแบบนี้เพื่อให้เกิดความรู้สึกได้สิ่งที่ต้องการกันทั้ง 2 ฝ่าย (Win - Win)

คุณควรแสดงความห่วงใยและใส่ใจในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการ

ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คือ ทั้งคุณและเขาเดินจากไป และรู้สึกเหมือนได้ข้อตกลงที่ดีที่สุดในรอ 10 ปี ความรู้สึกนี้อาจฟังดูเหมือนเว่อเกินไป แต่หากคุณบริหารการเจรจาได้ดี สิ่งนี้สามารถทำได้



2. บางครั้งสัญญา (Contract) ก็ไม่สำคัญเสมอไป

ในปี 2011 คุณ Joe Pesci ได้เพิ่มน้ำหนักตัวเองมากกว่า 10 กิโลกรัม เพื่อรับบทบาทในภาพยนต์เรื่อง Gotti แต่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเริ่มการแสดง ผู้กำกับเปลี่ยนใจและบอกกับเขาว่าจะจ้างคนอื่นมาเล่นแทน

ถึงแม้การตกลงระหว่าง Joe และผู้กำกับไม่ได้มีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ Joe ก็ยังเป็นผู้ชนะในการฟ้องร้อง แนวคิดสำคัญของการทำสัญญาคือ ถ้ามีคนสัญญากับคุณด้วยเงื่อนไขที่ชัดเจน (Clear Terms) แล้วไม่ยอมทำตามนั้น พวกเขาก็ยังคงต้องรับผิดชอบ (โปรดิวเซอร์เสนอบทนี้ให้เขาแล้ว) พวกเขาไม่สามารถแทรงทำตัวเป็นเกิดภาวะสมองเสื่อมกระทันหันได้

เคล็ดลับก็คือ พยายามทำให้การสื่อสารในขั้นตอนเจรจาต่อรองออกมาชัดเจนที่สุด ถ้าเป็นไปได้ควรมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรจะดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ทุกคำพูด “เมื่อออกมาจากปาก” ย่อมมีผลกระทบตามมาเสมอ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ให้หรือผู้รับ จงระวังคำพูดที่ออกจากปากของตัวเองให้ดี



3. กลยุทธ์ลับในการโน้มน้าวใจ

การโต้แย้งและโน้มน้าวใจให้คนอื่นทำในสิ่งที่คุณต้องการ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการอยู่รอดในโลกธุรกิจ โดยเทคนิคการโน้มน้าวใจสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วน

ส่วนที่ 1: ใช้ตรรกะและเหตุผล
ยกตัวอย่างเช่น “เราไม่สามารถอนุมัติใบขับขี่สำหรับเด็กอายุ 6 ขวบได้ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นแม้แต่พวงมาลัย”

ส่วนที่ 2: ใช้ความน่าเชื่อถือ
ยกตัวอย่างเช่น “ในฐานะศาสตราจารย์ด้านโรคติดเชื้อ ผมขอแนะนำอย่างยิ่งให้คุณฉีดวัคซีน คุณสามารถเลือกได้ว่าฟังผมหรือฟังลุงของคุณ”

ส่วนที่ 3: ใช้อารมณ์ (รัก, โลภ, โกรธ​, หลง, กลัว)
ยกตัวอย่างเช่น “คุณควรอนุมัติโครงการความปลอดภัยนี้โดยเร็วที่สุด ตอนนี้พาดหัวข่าวทุกสำนักกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่กลุ่มตอลิบานกำลังยึดครองอัฟกานิสถาน ถ้าคุณช้ากว่านี้พวกเราได้หายนะแน่”

ก่อนการเจรจาต่อรอง คุณควรพอเดาออกว่าฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นคนแบบไหน พวกเขาเป็นคนตัดสินใจด้วยเหตุผล หรือมักตัดสินใจด้วยอารมณ์

อย่างไรก็ตาม การโน้มน้าวผู้คนโดยใช้ตรรกะเหตุผล และ ความน่าเชื่อถือ มักส่งผลดีในระยะยาวมากกว่าการใช้อารมณ์ แต่ถึงอย่างนั้นหากคุณสามารถผสมผสามทั้ง 3 ส่วนได้ คุณจะกลายเป็นนักโน้มน้าวใจที่น่ากลัวสุดๆ



4. ราคา Big Mac (แฮมเบอร์เกอร์ของ McDonald) สามารถใช้วัดมูลค่าของสกุลเงินได้

Big Mac Index เป็นวิธีการวัดว่าดอลลาร์ทำได้ดีเพียงใดเมื่อถูกใช้ในประเทศต่างๆ (ความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) มันอาจไม่ใช่วิธีวัดที่สมบูรณ์แบบ แต่มันช่วยให้คุณอ้างอิงอำนาจซื้อของตัวเองได้ง่ายยิ่งขึ้น

- ประเทศที่มี Big Mac Index สูง: สวิตเซอร์แลนด์ ฿262, นอร์เวย์ ฿256, อุรุกวัย ฿247, อาร์เจนตินา ฿221, เขตยูโรป ฿215, สวีเดน ฿212 และสหรัฐอเมริกา ฿206

- ประเทศที่มี Big Mac Index ปานกลาง: บราซิล ฿178, ชิลี ฿172, อิสราเอล ฿171, แคนาดา ฿169 และคูเวต ฿168

- ประเทศที่มี Big Mac Index ต่ำ: อียิปต์ ฿97 อินเดีย ฿94 อินโดนีเซีย ฿93 และไต้หวัน ฿88
สำหรับประเทศไทย ราคา Big Mac อยู่ที่ราว 123 บาท

กำลังซื้อที่สูงมักมาพร้อมกับข้อแลกเปลี่ยน ถ้าอยากทำธุรกิจในประเทศที่คุณมีอำนาจซื้อสูงกว่า คุณย่อมต้องละทิ้งสิ่งต่างๆ อย่าง โครงสร้างพื้นฐาน เสถียรภาพทางการเมือง และสินค้าฟุ่มเฟือยอื่นๆ



5. การมีทางเลือกอื่น (option) อาจเป็นสิ่งที่ไม่ดี

(ในที่นี้หมายถึง การมีสินค้าให้ลูกค้าเลือกมากเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องที่ดี)
การมีตัวเลือกมากเกินไป อาจทำให้ลูกค้าไม่เลือกเลย ที่แย่กว่านั้นคือมันอาจนำไปสู่ความวิตกกังวล เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะซื้อชิ้นไหนดี ทุกอย่างดูดีไปหมด กลัวว่าถ้าซื้ออันนี้ แล้วจะมีอันอื่นที่ดีกว่า

บริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย มักใช้วิธี “บิดเบือนตัวเลือก” โดยเสนอสินค้าให้คุณเพียงไม่กี่รายการ โดยจะมี
ผลิตภัณฑ์หนึ่งตัวเป็นตัวล่อ ซึ่งพวกเขาไม่เคยคาดหวังให้คุณซื้อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

คนที่ใช้กลยุทธ์นี้ได้ดีที่สุด คือ Apple

ในการขาย iPhone. Apple จะวางขายรุ่นที่ราคาสูงเกินไป ถัดจากผลิตภัณฑ์รุ่นหลัก โดยทำให้มันดูดีขึ้น ซึ่งมันได้ผล การทำแบบนี้ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาซื้อ IPhone จบด้วยการจ่ายเงินซื้อรุ่นที่แพงกว่าที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ในตอนแรก



6. “จำนวนเวลาที่อยู่ในตลาด” เอาชนะจังหวะของตลาดได้เสมอ

ในชั้นเรียน MBA ที่ University of Florida นักเรียนจะได้ทบทวนงานวิจัยต่างๆ และวิเคราะห์ตลาดด้วยข้อมูลเชิงลึกที่ดีที่สุด ทุกครั้งที่ทำการวิเคราะห์ ผลลัพธ์จะออกมาเหมือนเดิมเสมอ คือ

นักลงทุนที่ซื้อและถือไว้นาน จะทำกำไรได้ดีกว่านักลงทุนที่ซื้อขายบ่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญ

ศาสตราจารย์ในชั้นเรียน ได้อ้างถึงคำพูดของ Warren Buffett ว่ามันยังถูกต้องเสมอ

“การลงทุนเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนเงินจากคนที่ใจร้อนไปหาคนใจเย็น”

มันอาจดูไม่เซ็กซี่ เพราะคุณจะไม่มีทางทำกำไรได้ปีละ +4000% แต่คุณมีแนวโน้มที่จะทำได้ดีกว่านักลงทุนส่วนใหญ่ของโลกเพียงแค่การซื้อและถือครอง



7. เปรียบตัวเองเป็นบริษัท

การทำธุรกิจคือการ Optimize (เพิ่มประสิทธิภาพ - ลดต้นทุน) คุณควรทำแบบเดียวกันกับตัวเอง โดยเฉพาะในโลกการทำงาน งานบางต่ำแหน่งถูกสร้างมาเพียงเพื่อทรมานคุณเท่านั้น

เพื่อต้องเลือกงาน อย่าลืมที่จะพิจารณา pain-to-payoff ratio (อัตราส่วนความเจ็บปวด ต่อ ผลตอบแทน)
หากคุณต้องรับความกดดันและจำนวนงานที่มาก คุณควรได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น

ไม่มีธุรกิจไหนในโลกที่อยู่ได้ด้วยการมีต้นทุนสูง ผลตอบแทนต่ำ - ตัวคุณก็เช่นกัน

ดังนั้น จงเปรียบตัวเองเป็นบริษัท เลือกทำธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูง ในขณะที่มีต้นทุนต่ำ




ที่มา Link

15 กุมภาพันธ์ 2567

คนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่เป็นโรคมะเร็งร้ายหรือหัวใจวาย ตายเร็วกว่าคนที่ไม่ดูแลสุขภาพ

เราอาจเคยได้ยินเรื่องของคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี กินแต่อาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับเต็มอิ่ม ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า แต่เป็นโรคมะเร็งร้ายหรือหัวใจวาย ตายเร็วกว่าคนที่ไม่ดูแลสุขภาพ

เรามักตั้งคำถามว่าทำไม แต่ในมุมของ Stoicism นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

หนึ่งในปราชญ์ที่มีชื่อเสียงสายปรัชญา Stoicism คือ เอพิคทีตัส (Epictetus) เป็นทาสมาก่อน

Epictetus ไม่ใช่ชื่อคน คำนี้แปลว่าการซื้อ เพราะเขาเป็นทาสที่ถูกซื้อมา เขาเกิดที่ Hierapolis, Phrygia (ปัจจุบันคือตุรกี) เป็นคนฉลาด เมื่อได้รับอิสรภาพ เขาก็ไปอาศัยที่กรีก สอนหลักการ Stoicism แก่สานุศิษย์ เขียนหนังสือหลายเล่ม

อาจเพราะผ่านชีวิตทาสมาก่อน เอพิคทีตัสเห็นว่าปัจจัยภายนอกเป็นเรื่องที่เราคุมไม่ได้ ดังนั้นเราควรยอมรับมัน รับมือกับมันอย่างมีสติและเยือกเย็น

เอพิคทีตัสสอนหลักสโตอิกอย่างมีอารมณ์ขันว่า “ถ้าข้าฯต้องตายเดี๋ยวนี้ ข้าฯก็จะตายเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเป็นภายหลัง ข้าฯก็ขอกินอาหารเที่ยงก่อน”

ความหมายคือเขาคุมได้เฉพาะเรื่องอาหารเที่ยง ส่วนเรื่องความตาย เขาคุมไม่ได้

ในเมื่อคุมไม่ได้ ไยต้องปวดหัวกับมัน

ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องคุมไม่ได้ ก็ป่วยการเปลืองแรงไปกลุ้มใจ

ชีวิตมีสองด้าน ด้านที่คุมได้ กับที่คุมไม่ได้

คุมไม่ได้ก็ไม่ต้องเสียเวลากับมัน เราเรียกหลักนี้ว่า Dichotomy of Control

หลักนี้บอกว่าบางอย่างเราคุมได้ บางอย่างเราคุมไม่ได้

Stoicism มักยกตัวอย่างการยิงธนูมาอธิบายเรื่องนี้ สมมุติว่าเราเป็นพลธนูกรีกกำลังเข้าสู่สมรภูมิ เราอาจผ่านการฝึกฝนการยิงธนูมาอย่างหนัก เราเลือกธนูที่ดีที่สุด ลูกศรที่ดีที่สุด ตอนที่เราเล็งธนูไปที่ข้าศึก เราเล็งอย่างประณีตที่สุด แต่หลังจากเราปล่อยลูกธนูออกไปแล้ว เราคุมอะไรไม่ได้อีก

เราไม่เกี่ยวอะไรกับลูกธนูอีกต่อไป มันจะเข้าเป้าหรือไม่เข้าเป้าไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลหรือกลุ้มใจ เพราะเราคุมมันไม่ได้อีกแล้ว ลมอาจตีมาทำให้ลูกศรไม่เข้าเป้า ทหารข้าศึกอาจเคลื่อนตัวทันใด ทำให้เรายิงไม่ถูก ดังนั้นเราไม่ควรผูกตัวเองกับผลลัพธ์ แต่ผูกได้กับความพยายามของเรา

โลกเรามีสองเรื่องเท่านั้นคือสิ่งที่เราคุมได้กับสิ่งที่เราคุมไม่ได้ สิ่งที่เราคุมได้คือความคิดของเรา ความต้องการของเรา สิ่งที่เราคุมไม่ได้คือร่างกาย ทรัพย์สิน ชื่อเสียง

เราอาจพยายามคุมร่างกาย ชื่อเสียง แต่มันไม่แน่นอน เราทำได้เพียงแค่พยายามได้เต็มที่ ส่วนผลลัพธ์อาจคุมไม่ได้

ในเรื่องสุขภาพ เราสามารถพยายามดูแลตัวเอง แต่มันมีปัจจัยอีกมากมายที่อาจทำให้สุขภาพเราเสื่อมลงและอายุสั้น เช่น เชื้อโรค สารเคมีที่เราได้รับมาจากโรงงานใกล้บ้าน ควันบุหรี่ที่เราได้รับจากคนรอบตัว ฯลฯ

เรื่องการสมัครงานก็เช่นกัน เราพยายามได้ เตรียม resume อย่างดี แต่ที่เหลือเราคุมไม่ได้ เราอาจไม่ได้งานเพราะผู้สัมภาษณ์หงุดหงิดในวันนั้น เนื่องจากเช้านั้นคนสัมภาษณ์ทะเลาะกับเมีย หรือโดนคนขับรถปาดหน้า ฯลฯ

การหาคนรักก็เช่นกัน เราคุมให้ใครมารักเราไมไ่ด้ แต่เราทำตัวเองให้น่ารักได้
ดังนั้นเราไม่ด่าใครโทษใครในเรื่องที่เราคุมไม่ได้
 
เอพิคทีตัสจึงกล่าวว่า “ทางเดียวของความสุขคือยุติความกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ซึ่งอยู่เหนืออำนาจและเจตจำนงของเรา”



ที่มา Link

10 กุมภาพันธ์ 2567

ปัจฉิมโอวาท พิธีรับปริญญาของ ม.ปักกิ่ง ในปี ค.ศ. 2015

ในพิธีรับปริญญาของ ม.ปักกิ่ง ในปี ค.ศ. 2015 ศ.เหราอี้ คณะชีววิทยา เป็นตัวแทนคณาจารย์กล่าวปัจฉิมโอวาท โดยใช้เวลาเพียง 4 นาที แต่เป็นคำกล่าวที่ได้รับการส่งต่ออย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดียของจีน
" ผมขออภัยด้วยที่ไม่อาจอวยพรให้บัณฑิตทุกคนประสบความสำเร็จ ไม่อาจอวยพรให้ทุกคนมีความสุข"

เพราะประวัติศาสตร์บอกเราว่า สำหรับบางคน เพื่อ "ความสำเร็จ" เขายอมทิ้งสำนึกผิดชอบชั่วดี เพื่อ "ความสุข" เขาไม่สนใจแม้จะอยู่บนกองทุกข์ของผู้อื่น
 
ในทางฟิสิกส์ อะตอมต้องฝืนกฎข้อที่ 2 ของเทอร์โมไดนามิกส์ กว่าจะประกอบกันขึ้นเป็น "สิ่งมีชีวิต" จึงนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์

ในทางชีววิทยา กว่าจะเกิดเป็น "มนุษย์" ตามขั้นตอนของวิวัฒนาการ ก็ต้องนับเป็นเรื่องมหัศจรรย์เช่นกัน
บัณฑิตทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ ท่านเองจึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากมุมมองของวิทยาศาสตร์
บัณฑิตทุกคน ซึ่งเป็นผลจากกฎวิวัฒนาการที่ทำให้มนุษย์สูงกว่าสัตว์ จึงควรเคารพตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นที่ผ่านมา วันนี้ หรือในอนาคต มีเพียงตัวเราเองเท่านั้น ที่รู้ชัดถึงความคิดและการกระทำของตัวเอง

อารยธรรมของโลกทั้งหลายล้วนใช้ความเชื่อทางศาสนามาเป็นเครื่องควบคุมความคิดและการกระทำของบุคคล

แต่สำหรับคนจีน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า อารยธรรมของจีนเชื่อว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องควบคุมตน ดังนั้น จึงให้ความสำคัญกับ "การเคารพตนเอง" เป็นอันดับแรก

เมื่อพวกคุณเข้าสู่สังคม พบเห็นอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น เริ่มเผชิญจุดอ่อนและปมด้อยของตัวเอง ภายหลังจากที่คุณผ่านร้อนผ่านหนาว ท่ามกลางสิ่งเย้ายวนและล่อลวงใจ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ง่ายที่จะชนะใจตัวเอง คงความรู้สึกนับถือศรัทธาตัวเองได้... ไม่ใช่เรื่องง่ายก็จริง แต่เป็นเรื่องควรค่าอย่างยิ่งที่จะพยายาม

พยายามอย่าได้:หลงตัว, ลืมตัว, ลดตัว, เหลิงตัว, หลอกตัว, หลบตัว, ลอยตัว, เล่นตัว
แต่จงพยายาม:มั่นใจในตน, ภูมิใจในตน, ประมาณตน, รู้จักตน, ทบทวนตน, แก้ไขตน, ให้กำลังใจตน, พัฒนาตน

เพราะการเคารพตนเอง เป็นพื้นฐานของจิตใจที่เสรี การงานที่เป็นตัวของตัวเอง และชีวิตที่เป็นอิสระ
เพราะฉะนั้น ผมจึงขออวยพรให้พวกคุณ

ในวันที่เกษียณ ขอให้คุณรู้สึกว่า ในการทำงานที่ผ่านมา คุณนับถือศรัทธาตัวเองได้

ในวัยชรา ขอให้คุณรู้สึกว่า ชีวิตที่ผ่านมา สร้างประโยชน์ สร้างคุณค่า คู่ควรให้ตัวเองนับถือ

อย่าถามผมว่าทำได้อย่างไร, 50 ปี ต่อจากนี้ เมื่อคุณกลับมาที่นี่ มาเล่าให้น้องๆ ฟังว่าตัวคุณทำได้อย่างไร
และในวันสุดท้ายที่อะตอมในร่างกายคุณกลับคืนสู่ธรรมชาติตามกฎข้อที่ 2 ของเทอร์โมไดนามิกส์ ขออวยพรให้ชีวิตของคุณที่ผ่านมานั้น

มิใช่เป็นเพียงสิ่งมหัศจรรย์จากมุมมองของวิทยาศาสตร์

แต่ยังเคยฉายความน่ารักอย่างมนุษย์ที่สมบูรณ์

ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร์ ผู้ถอดความ



ที่มา Link

05 กุมภาพันธ์ 2567

กว่าจะรู้สึกตัวก็เกษียณเสียแล้ว..

สำนักข่าว Daily Mail อังกฤษ ออกสัมภาษณ์คนอายุเกิน 60 ปีว่า ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา รู้สึกเสียใจ เสียดาย อะไรมากที่สุด และหากย้อนเวลากลับได้จะ ทำตัวใหม่ให้ต่างจากเดิม

คำตอบมากที่สุดมี 7 คำตอบ เรียงตามลำดับคำตอบที่มีคน ตอบมากที่สุดดังนี้

1. ถ้าย้อนเวลากลับได้ จะเชื่อฟังพ่อแม่มากกว่านี้ เพราะพ่อแม่รู้จักเราดีและ หวังดีต่อเรา แม้เมื่อเราโตแล้ว สิ่งที่พ่อแม่พูดก็มีค่าควรฟัง

2. จะทำสิ่งที่อยากทำ เพราะเสียดายเวลาและโอกาสมากที่ตอนมีกำลังวังชากลับ ไม่กล้าทำ เพราะกลัวล้มเหลว พออายุ 60 แล้วถึงตระหนักว่า ความล้มเหลวหนักที่สุดของมนุษย์คือการไม่ทำ

3. การเดินทาง คนอายุเกิน 60 ทั้งหมดพูดเหมือนกันว่า ตอนที่ไปไหนได้คล่อง ดันไม่ไป ไม่มีเวลาบ้าง ไม่มีเงินบ้าง แล้วแต่จะอ้างกัน มาวันนี้มีเงิน มีเวลา แต่จะไปไหนๆก็ไม่สะดวก เหมือนก่อน
แล้วยิ่งแก่ยิ่งไปยาก ใครที่ยังไหวจึงควรไปเที่ยวเสีย คนที่ยังหนุ่มสาวก็ควรไป เพราะจะคล่องตัวและทำกิจกรรมต่างๆได้ดีกว่าตอนแก่เยอะเลย

4. จะพูดคำว่ารักให้มากขึ้น ไม่ว่าจะบอกรักคนรัก พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ป้าน้าอาลุง หลานเหลน โดยเฉพาะลูก และสามี ภรรยา บางทีเรานึกเองว่าเราทำอะไรให้ตั้งเยอะ น่าจะรู้แล้วว่ารัก แต่ที่จริงถ้าเราไม่เอ่ยคำว่ารักก็เหมือนกับหัวใจไม่ยอมเปิด และคนรอบข้างเขาจะขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะลูกที่พ่อแม่ไม่เคยบอกว่ารักจะขาดความมั่นใจมาก ๆ

5.จะเป็นตัวของตัวเองมากกว่าที่เคยเป็นตอนหนุ่มสาว และตอนทำงาน บางทีต้องทำเป็นชอบอะไรตามสมัยให้เหมือนคนอื่น บางทีไม่กล้าแปลกแยก พอแก่แล้วถึงเข้าใจได้ว่า คนเราไม่สามารถเหมือนคนอื่น และเหมือนตัวเองได้พร้อมกัน และเมื่อมองย้อนอดีต จะเห็นชัดเจนว่า คนเงินเดือนสูง และประสบความสำเร็จรวมทั้งด้านการค้าการลงทุนนั้นมักจะเป็นคนที่ไม่พยายามทำตัวให้เหมือนคนอื่น (แบบที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดประโยคทองว่า จงกลัวในเวลาที่คนอื่นๆทั้งหมดโลภ,จงกล้าในเวลาที่คนทั้งตลาดหวาดกลัว)

6.เปลี่ยนงานหากงานที่ทำมันบั่นทอนจิตใจ มันหนักไป ถูกเอาเปรียบมากไป หรือมีปัญหาอื่น หรือแม้แต่เลิกงานลูกจ้าง มาเป็นนายจ้างตัวเอง หรือลงทุนหาPassive income ไปซะเลย คนวัยเกิน60บอกว่า นึกไม่ออกว่าทำไมไม่หางานใหม่ ไปทนทำอยู่ทำไม

7. ถ้าย้อนเวลากลับได้ คนวัยเกษียณบอกว่าจะกังวล กับเรื่องต่างๆให้น้อยลง เพราะที่ผ่านมามัวไปกังวล เรื่องบ้าบอคอแตกมากมาย โดยไม่เกิดผลอะไรเลย กังวลแล้วทุกเรื่องก็จบลงได้ โดยที่ความกังวลไม่ได้ทำให้จบลงดีหรือเลวกว่าเดิม เพิ่มเติมมาคือความเครียดที่อาจนำไปสู่โรคร้ายทำลายตัวเองอีก

โชคดีใช่ไหมหละ ที่คุณยังไม่ 60 แล้วได้อ่านรายงานเรื่องนี้ แต่ถึงจะ60 ก็เถอะ อย่ารอถึง70 แล้วมาบอกว่า”รู้งี้”อีกหละ


ที่มา Link

01 กุมภาพันธ์ 2567

ฟรี! 10 คอร์สเรียนออนไลน์ ที่ผู้เชี่ยวชาญ Amazon และ Meta แนะนำ หากคุณอยากทำงานในแวดวง AI

ในยุคปัจจุบัน AI ถือว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างมากในทุกอุตสาหกรรม ทำให้องค์กรต่างต้องการผู้เชี่ยวชาญด้าน AI มากขึ้น เพื่อตอบรับการเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงาน หากคุณกำลังสนใจคอร์สพัฒนาตัวเอง ConNEXT จะมาแนะนำ 10 คอร์ส AI ออนไลน์ฟรี แถมยังได้ใบ Certification มาประดับ Resume อีกด้วย



1. What is the Metaverse โดย: Meta

ระยะเวลา: 10 ชั่วโมง

รายละเอียด: คอร์สนี้จะครอบคลุมเนื้อหาเกี่ยวกับอาชีพและธุรกิจที่มาพร้อมกับ Metaverse รวมถึง VR (Virtual Reality), AR (Augmented Reality), NFTs, Blockchain และ Cryptocurrency

เรียนได้ที่: https://bit.ly/42rbGyT



2. New Technologies for Business Leaders โดย: Rutgers University

ระยะเวลา: 19 ชั่วโมง

รายละเอียด: คอร์สนี้สอนโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย Rutgers มีเนื้อหาจะเกี่ยวกับ Blockchain, AI และเทคโนโลยี VR เพื่อให้ผู้นำธุรกิจเข้าใจเทคโนโลยีมากขึ้นและสามารถนำไปปรับใช้ในธุรกิจได้

เรียนได้ที่: https://bit.ly/43IS1M2



3. The Economics of AI โดย: The University of Virginia

ระยะเวลา: 28 ชั่วโมง

รายละเอียด: คอร์สนี้จะเรียนเกี่ยวกับพื้นฐานของ AI ทั้งหมด รวมถึงทฤษฎีสารสนเทศ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในทางเศรษฐกิจและอิทธิพลของ AI ที่มีผลต่อพนักงาน รวมถึงการใช้ AI ในตลาดแรงงาน

เรียนได้ที่: https://bit.ly/3NirUq3



4. Artificial Intelligence: Ethics & Societal Challenges โดย: Lund Univerity

ระยะเวลา: 4 สัปดาห์

รายละเอียด: คอร์สนี้เกี่ยวกับจริยธรรมและผลกระทบของ AI ต่อสังคม โดยจะแบ่งเป็น 4 พาร์ท มีเนื้อหาเกี่ยวกับความไม่เป็นกลางของอัลกอริธึม (Algorithmic Bias) โดยเป้าหมายของหลักสูตรนี้คือการสร้างความตระหนักด้านจริยธรรมของ AI

เรียนได้ที่: https://bit.ly/43rVJKm



5. Introduction to Machine Learning on AWS โดย: Amazon Web Services

ระยะเวลา: 7 ชั่วโมง

รายละเอียด: คอร์สนี้พูดเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง AI, Machine Learning และ Deep Learning รวมถึงวิธีสร้าง ฝึกฝน และวิธีการใช้ Machine Learning

เรียนได้ที่: https://bit.ly/42oSYbf



6. Trustworthy AI for Healthcare Management โดย: The Polytechnic University of Milan

ระยะเวลา: 3 ชั่วโมง

รายละเอียด: คอร์สนี้จะเน้นไปที่ AI ในงานด้านบริการทางการแพทย์ โดยจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการทำงานของ AI และปัญหาที่พบได้บ่อยของ AI ในงานบริการสุขภาพ โดยมีเป้าหมายหลักเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และผู้ปฏิบัติงานด้าน AI

เรียนได้ที่: https://bit.ly/42rdIPI



7. AI, Empathy & Ethics โดย: The University of California

ระยะเวลา: 4 ชั่วโมง

รายละเอียด: คอร์สนี้เกี่ยวกับพื้นฐานของ AI เช่น ความหมาย ความก้าวหน้า อนาคต และวิธีการใช้ AI

เรียนได้ที่: https://bit.ly/42xYMz7



8. Introduction to Embedded Machine Learning โดย: บริษัท Edge Impulse

ระยะเวลา: 17 ชั่วโมง

รายละเอียด: คอร์สนี้จะให้เห็นภาพรวมของ Machine Learning ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของ AI ที่ใช่ข้อมูลและอัลกอริธึมเพื่อแก้ปัญหาและเลียนแบบวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์

เรียนได้ที่: https://bit.ly/43Lre1z



9. AI, Business & the Future of Work โดย: Lund University

ระยะเวลา: 11 ชั่วโมง

รายละเอียด: คอร์สนี้มีไว้เพื่อคนที่ต้องการใช้ AI ในองค์กรไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ซึ่งสอนโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมกว่า 12 คน โดยเนื้อหาจะครอบคลุมถึงประวัติของ AI รวมถึงความเสี่ยงของ AI

เรียนได้ที่: https://bit.ly/3MMz1FC



10. Artificial Intelligence (AI) Education for Teachers โดย: Macquarie University and IBM Australia

ระยะเวลา: 16 ชั่วโมง

รายละเอียด: ด้วยการเพิ่มขึ้นของการสนทนาเกี่ยวกับ AI ในห้องเรียน ทำให้ครูในยุคนี้ต้องก้าวทันเทรนด์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ AI

เรียนได้ที่: https://bit.ly/3MVRYpf



ในปัจจุบันที่มีความต้องการพนักงานในสาย AI มากขึ้น การที่คุณมีใบ Certification อยู่ใน Resume อาจเป็นสิ่งที่ทำให้คุณโดดเด่นมากกว่าคนอื่น การศึกษานั้นไม่มีที่สิ้นสุด อยากให้ทุกคนเรียนรู้ไปเรื่อยๆ นะ


ที่มา Link

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)