ดัชนี S&P500 นั้นเป็นดัชนีหุ้นดัชนีนึงของประเทศอเมริกาที่ประกอบไปด้วยบริษัทสัญชาติอเมริกาขนาดใหญ่ 500 บริษัทแรกและมีการปรับหุ้นเข้าออกสม่ำเสมอเพื่อให้ดัชนีมีประสิทธิภาพ
ดัชนี S&P500 ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ.1928 แต่ตอนแรกนั้นมีหุ้นอยู่ 50 ตัว และเริ่มมีหุ้น 500 ตัวในปี ค.ศ.1957 ทำให้เราสามารถดูสถิติย้อนหลังต่างๆ ได้มาก [1]
ผลตอบแทนของดัชนี S&P500 ต่อปีนั้นค่อนข้างน่าประทับใจ ถ้าวัดจากปี 1957 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ปี 2023 แล้ว ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยคือ 10.26% ต่อปี [2] ☆☆☆
สมมติว่าเรามีเงิน 10,000 บาท แล้วลงทุนได้ผลตอบแทนปีละ 10.26% ถ้าเราลงทุนไป 66 ปี จากเงิน 10,000 บาท จะกลายเป็นเงิน 6,303,579.25 บาท 👍
นอกจากดัชนี S&P500 แล้วประเทศอเมริกายังมีดัชนีหุ้นอื่นๆ อีกเช่น ดัชนี Nasdaq, ดัชนี Dow Jone
เราสามารถลงทุนในดัชนี S&P500 ได้ 2 ช่องทาง
- ซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรง
- ซื้อผ่านทาง Broker เช่น SCB InnovestX, KKP Dime
- ในอเมริกามีกองทุนรวม ETF ที่ลงทุนในดัชนี S&P500 ให้เลือกมากมาย ซึ่งเราสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้น เช่น
- ถ้าขายมีกำไรเราจะต้องแจ้งสรรพากรให้ทราบและเสียภาษี
- ถ้าได้รับเงินปันผล ต้องรายงานสรรพากร
- ซื้อผ่านกองทุนรวม ซึ่งค่อนข้างง่ายและสะดวก
- ปัจจุบันมีหลาย บลจ ที่ขายกองทุนรวมที่ลงทุนในดัชนี S&P500 เช่น บลจ กสิกรไทย, บลจ ไทยพาณิชย์, บลจ กรุงศรี
- กองทุนรวมที่ลงทุนในดัชนี S&P500 ที่ค่าธรรมเนียมถูกที่สุดในปัจจุบันคือ
- กองทุนรวม SCBS&P500E (E-Class) ของ บลจ ไทยพาณิชย์ ไม่มีค่าธรรมเนียม
- กองทุนรวม K-US500X ของ บลจ กสิกรไทย ค่าธรรมเนียม 0.62% ต่อปี
- ดูรายชื่อกองทุนรวม บลจ และค่าธรรมเนียม ทั้งหมดได้ที่ Reference [3]
- เราสามารถซื้อขายได้ง่ายๆ ผ่านสาขาธนาคาร หรือ Mobile App ของแต่ละธนาคารได้เลย
- กำไรจากการขายกองทุนรวมและเงินปันผลไม่ต้องยื่นภาษีและไม่ต้องแจ้งสรรพากร ✌
- โดนหักค่าธรรมเนียมจาก บลจ เพิ่มนิดหน่อย
หุ้นในดัชนี S&P500 ของประเทศอเมริกาในชีวิตประจำวัน
บางคนอาจจะบอกว่า หุ้นอเมริกานั้นไกลตัว ไม่รู้จัก ความจริงแล้วหุ้นหลายๆตัวในอเมริกานั้นอยู่ใกล้ตัวเรามาก บางทีเราอาจจะเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เรามาดูกันว่าหุ้นในดัชนี S&P500 ของประเทศอเมริกาในชีวิตประจำวัน มีหุ้นตัวไหนกันบ้าง
1. Microsoft Corp (MSFT): หุ้นตัวแรกคือบริษัท Microsoft เจ้าของระบบปฏิบัติการ Windows หรือ Microsoft Office (Word, Excel, Power Point, Outlook, One Note) ที่หลายๆ คนใช้ในการทำงาน พิมพิ์งาน อ่านและเขียนอีเมล์
2. Apple Inc (AAPL): หุ้นตัวต่อมาคือบริษัท Apple บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังที่หลายๆคนก็เป็นลูกค้าของบริษัทนี้ สินค้าต่างๆ ของบริษัท Apple นั้นค่อนข้างเป็นที่นิยมและเป็นสินค้าที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Airpod, Apple Watch
3. Amazon.com Inc (AMZN): บริษัท e-Commerce ชื่อดังที่ขายของทุกอย่างผ่านเว็บไซต์ www.amazon.com แต่ที่คุ้นเคยกับคนไทยหลายๆ คนน่าจะเป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ Amazon Kindle ที่มีหนังสือภาษาอังกฤษแทบจะทุกเล่มให้เราเลือกซื้อในราคาที่ไม่แพง และซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้เลย นอกจากนั้นคนไทยหลายคนก็เป็นลูกค้า Amazon Prime แพล็ตฟอร์มดูหนังออนไลน์ที่เป็นคู่แข่งกับ Disney Plus หรือ Netflix
4. Meta Platforms Inc (META): บริษัท Social Media ชื่อดังเจ้าของผลิตภัณฑ์ยอดนิยมได้แก่ Facebook และ Instragram ที่คนไทยหลายคนชื่นชอบและใช้เวลาเกือบทุกวันไปกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้
5. Alphabet Inc (GOOG): บริษัท Search Engine ยักษ์ใหญ่ คนไทยหลายๆ คนน่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท Alphabet เกือบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลผ่าน Google Search, ดูแผนที่ผ่าน Google Map, ดูหนังฟังเพลงผ่าน Youtube หรือบริการ email ผ่าน Gmail
6. Tesla Inc (TSLA): บริษัทเทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าชื่อดัง เจ้าของแบรนด์ Tesla คนไทยน่าจะคุ้นกับรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ Tesla แต่จริงๆ แล้ว Tesla นั้นมีผลิตภัณฑ์อื่นๆอีก เช่น รถบรรทุกไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า
7. Visa Inc (V): หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการระบบชำระเงินผ่านบัตรรายใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต คนไทยหลายคนน่าจะรู้จักและเป็นลูกค้า
8. Procter & Gamble Company (PG): บริษัทสินค้าอุปโภค บริโภคชื่อดัง มีสินค้าหลายๆ ตัวที่พบเจอได้ตามห้างสรรพสินค้า ไม่ว่าจะเป็น แชมพูและครีมนวดผม Pantene และ Head and Shoulder, มีดโกนหนวด Gillette, แปรงสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก Oral B, ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่ม Downey, ครีมบำรุงผิว OLAY, ผ้าอ้อมเด็ก Pampers
9. Mastercard Incorporated (MA): หนึ่งในบริษัทผู้ให้บริการระบบชำระเงินผ่านบัตรรายใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต คนไทยหลายคนน่าจะรู้จักและเป็นลูกค้า
10. Johnson & Johnson (JNJ): บริษัทยาและสินค้าอุปโภคบริโภคชื่อดัง มีสินค้าหลายตัวที่เป็นที่นิยม เช่น แป้งเด็กและสบู่เด็ก Johnson, น้ำยาบ้วนปาก Listerine
11. Netflix Inc (NFLX): บริษัท Online Streaming ชื่อหนัง และเป็นผู้นำในตลาดนี้ คนไทยเกือบทุกบ้านน่าจะเป็นลูกค้าของ Netflix และใช้เวลาเกือบทุกวันกับการดูหนัง และซีรีย์บน Netflix
12. Pepsico, Inc (PEP): บริษัทเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวชื่อดัง เจ้าของน้ำอัดลมยี่ห้อ Pepsi ที่หลายคนชอบดื่ม นอกจากนั้น Pepsico ยังมีผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวยี่ห้อดังๆ อีกด้วย เช่น มันฝรั่งเลย์, ชีโตส, โดริโทส
13. Coca-Cola Company (KO): บริษัทเครื่องดื่มชื่อดัง เจ้าของน้ำอัดลมยี่ห้อ Coke ที่มีส่วนแบ่งตลาดน้ำอัดลมอันดับ 1 ของโลก เป็นคู่แข่งกับ Pepsico
14. Mcdonald's Corporation(MCD): ร้านอาหาร Fast Food Mc Donald ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศไทย และทั่วโลก มีอาหารที่เป็นที่นิยมได้แก่เบอเกอร์และมันฝรั่งเฟรนฟราย คนไทยน่าจะคุ้นเคยและเคยลองใช้บริษัทร้านอาหารยี่ห้อนี้ดี ที่มีหุ่นตัวตลกเป็นมาสคอร์ตอยู่แต่ละสาขา
15. The Walt Disney Company (DIS): บริษัท Media ชื่อดัง เจ้าของลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนที่หลายๆ คนชื่นชอบ เช่น มิคกี้เมาส์, Super Hero ต่างๆ ในเครือ Marvel ไม่ว่าจะเป็น Spider Man, Iron Man, Hulk, Captain America หรือตัวละครใน Series Star War นอกจากนั้นบริษัท The Walt Disney Company ยังมี Platform Streaming ชื่อ Disney Plus เพื่อมาแข่งกับ Netflix อีกด้วย
16 - 18. บริษัทยา: บริษัทในดัชนี S&P500 นั้นมีบริษัทระดับโลกหลายบริษัท เช่น Eli Lilly & Co. (LLY), Merck & Co Inc (MRK), Johnson & Johnson (JNJ), Pfizer Inc (PFE) ซึ่งโรงพยาบาลหรือร้านขายยาที่เราไปใช้บริการก็อาจจะเป็นลูกค้าของบริษัทเหล่านี้
ขอจบ EP.1 ไว้เท่านี้ก่อน ถ้ามีเวลาจะเขียน EP.2 ต่อแล้วแปะลิ้งค์ที่นี่ Link
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/S%26P_500
[2] https://www.investopedia.com/ask/answers/042415/what-average-annual-return-sp-500.asp
[3] https://www.piggyman007.com/2021/10/s-500.html
[4] https://www.ishares.com/us/products/239726/ishares-core-sp-500-etf
[5] https://investor.vanguard.com/investment-products/etfs/profile/voo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น