05 มิถุนายน 2567

เศรษฐีสอนลงทุนหุ้น


นิยายการลงทุนเรื่องแรกของผม เขียนขึ้นจากแห่งบันดาลใจจากหนังสือหลายๆเล่มที่เคยอ่าน อาทิ

The Richest Man in Babylon / Wink and Grow Rich / Good Luck / The Buffettology / One up on Wall Street / Fishing with Warrant Buffet (โครงเรื่องเริ่มต้น: ชายผู้ผิดหวังจากตลาดหุ้น พบอาจารย์ผู้เปลี่ยนชีวิต) etc.

ติดตามอ่านกันทุกวันที่นี้นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนเริ่มต้นศึกษาเรื่องการลงทุนในหุ้นกันบ้างไม่มากก็น้อย

ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มต้นได้เลยครับ



ตอนที่ 1: แมงเม่า

ชายหนุ่มเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลสีคราม ทอดสายตาไปไกลถึงเส้นขอบฟ้า ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสในวันนี้ ทำให้เขาหวนนึกถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นนักลงทุนของตัวเอง

มันเป็นการสัมมนา 2 วันที่เขาไม่มีวันลืม …


วิทยากรหนุ่มหน้าตาดี บุคลิกดูภูมิฐาน ยืนบรรยายเคล็ดลับการสร้างความมั่งคั่งภายในระยะเวลาอันสั้น “เพียงแค่คุณทำตามระบบของเรา คุณก็จะรวยได้สบายๆ เมื่อไหร่ที่ระบบของเราบอกให้คุณ ‘ซื้อ’ คุณก็ …”

“ซื้อออออ” เม่าเห็นภาพตัวเองตะโกนตอบ

“และเมื่อใดระบบของเราบอกให้คุณ ‘ขาย’ คุณก็ …”

“ขายยยยยยย” เสียงคนทั้งห้องตอบพร้อมกัน

“แค่นี้เราก็จะรวย รวย แล้วก็รวย เอ้า …​ปรบมือ” ภาพวิทยากรและบรรยายกาศการเรียนเทรดหุ้นในวันนั้นยังติดตาเม่าจนถึงทุกวันนี้

หลังจบคอร์สสัมมนา เม่าเปิดบัญชีเทรดหุ้นทันที เพื่อลองวิชา

เงินเก็บหนึ่งหนึ่งล้านบาท ที่เขาอุตสาหะและอดออมมาตลอด 10 ปี แปรเปลี่ยนเป็นเงินลงทุนเริ่มต้น ถ้ามันเป็นจริงตามที่วิทยากรบอก เงินก้อนนี้ก็กำลังจะเปลี่ยนเป็นสิบล้านและร้อยล้านในไม่ช้า และเมื่อถึงวันนั้น ตัวเขาก็จะมีอิสรภาพทางการเงินได้เสียที
มีใครบางคนกล่าวไว้ว่า ตลาดหุ้นนั้นไม่ต่างอะไรกับบ่อนการพนัน ที่มือใหม่หัดลงทุนมักได้รับกำไรในการซื้อขายครั้งแรกๆ เหมือนล่อลวงให้ติดใจ เชื่อว่าทำได้ ทำให้มีภาพจำของการทำอะไรง่ายๆ แล้วได้เงิน ก่อนที่สุดท้ายจะมอบบทเรียนอันแสนเจ็บปวดให้อย่างสาสม

วินาทีนี้ … เม่าเข้าใจบทเรียนดังกล่าวแบบเต็มๆ

เดือนแรกที่เริ่มเทรด เขาทำกำไรสบายๆ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่เลวเลยสำหรับมือใหม่ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างกลับตาลปัตร การซื้อขายมีแต่เสียกับเสีย ไม่รู้ว่าคอร์สที่เรียนไปดีจริงหรือเปล่า เขารู้เพียงแต่ว่า มีหลายครั้งที่คำแนะนำ “ซื้อ” และ​ “ขาย” นั้นขัดกับความรู้สึกของเขา และกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาเลือกทำในสิ่งตรงกันข้าม

ผ่านไปแค่ 4 เดือน เม่าสูญเงินออมไปร่วม 3 แสนบาท แบบไม่ต้องออกแรงมาก อย่างที่คอร์สโฆษณาไว้จริงๆ

ไม่เพียงแค่เสียเงิน ช่วงที่ลงทุนแล้วขาดทุน เม่ารู้ตัวเลยว่า เขาเองมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป อารมณ์แปรปรวนง่าย โกรธและโมโหคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา ยิ่งผลการลงทุนเบี่ยงเบนไปจากที่คาดหวังมากเท่าไหร่ เขาก็ย่ิงโมโหร้ายมากขึ้นเท่านั้น

หรือที่เขาว่ากันว่า ‘การลงทุนมีความเสี่ยง’ มันคืออย่างนี้นี่เอง

——————————————————————————————————————

“เฮ้ … หวังว่าคงไม่โดดลงไปนะ” เสียงใครคนหนึ่ง ปลุกเม่าให้ตื่นขึ้นจากภวังค์

เม่าหันกลับไปหาต้นเสียง พบชายสูงวัยคนหนึ่ง หน้าตาผิวพรรณละม้ายคล้ายชาวภารตะ กำลังสาละวนอยู่กับอุปกรณ์กล้องส่องทางไกล

“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะครับ” เม่าเอ่ยปากถาม

“ก็เห็นทำหน้าเศร้า มองทะเลอยู่นานสองนาน คิดว่าจะฆ่าตัวตาย” ชายชราพูดพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัย

“ทำไมผมถึงต้องฆ่าตัวตาย” เม่าขึ้นเสียงแสดงอาการไม่พอใจ

“ใครจะไปรู้หละ … เห็นหน้าอมทุกข์เหมือนคนขาดทุนหุ้นออกอย่างนั้น”

เม่านิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา “คุณรู้ได้ไงว่า ว่าผมเจ๊งหุ้นมา”

“อ้าว … ทายถูกซะงั้น”​ ชายชราพึมพำกับตัวเอง แล้วก้มหน้าเดินจากไป

“เดี๋ยวสิ คุณยังไม่ตอบผมเลย ว่าคุณรู้ได้ยังไง ว่าผมเล่นหุ้นขาดทุน” เม่าเดินตามอย่างไม่ลดละ

ชายชราก้มหน้าเดินต่อไป โดยไม่ปริปาก และดูเหมือนเขาจะตั้งใจเร่งฝีเท้าหนีเม่าเสียด้วยซ้ำ แต่เม่าก็เร่งฝีเท้าตามเขาไปติดๆ

ชายชราก้มหน้าเดินต่อไป โดยไม่ปริปาก ดูเหมือนเขาจะตั้งใจเร่งฝีเท้าหนีเม่าเสียด้วยซ้ำ แต่เม่าก็เร่งฝีเท้าตามเขาไปติดๆ

“คุณชอบตกปลามั๊ย”

เม่าไม่ตอบ แต่พยักหน้ารับคำแบบงงๆ กว่าจะรู้สึกตัว เขาก็เดินตามชายชรามาจนถึงเรือลำใหญ่ที่จอดนิ่งอยู่ที่ท่าเรือ



ตอนที่ 2: เล่นหุ้น

“ขึ้นมาสิ เรือผมเอง” ชายชราเอ่ยปากชวนเม่าขึ้นเรือลำใหญ่สีขาวที่จอดเทียบท่าอยู่

เม่าก้าวเท้าขึ้นเรือ เขามองไปรอบตัวเรือ พร้อมกับแอบคิดในใจว่า ถ้าชายชราคนนี้เป็นเจ้าของเรือจริง เขาก็คงจะรวยน่าดู

“คุณยังไม่ตอบผมเลยว่า คุณรู้ได้ยังไงว่าผมขาดทุนหุ้น” เม่ายังสงสัยไม่เลิก

“ใครว่าผมรู้กันหละ ผมไม่รู้หรอก คุณเองนั่นแหละที่บอกผม” ชายชรายิ้มอย่างมีเลศนัยอีกครั้ง

ด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง เม่ารู้สึกได้ว่า ชายชราที่กำลังนั่งคุยกับเขาอยู่ในขณะนี้ ไม่น่าจะใช่คนธรรมดา เขาหันไปมองรอบๆตัวเรือโดยละเอียด พลันสายตาไปสบกับชายชราอีกครั้ง

“ที่จริงแค่คุณบอกว่า คุณ ‘เล่น’ หุ้น ผมก็รู้แล้วว่าคุณไม่มีทางรวย เพราะถ้าแค่​ ‘เล่น’ ยังไงคุณก็ต้องขาดทุนอยู่วันยันค่ำ”

“คุณพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ”​ เม่าตีสีหน้างง

บรรยากาศบนเรือเงียบไปชั่วขณะ ชายชราจ้องหน้าเม่า เหมือนรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดต่อ แต่สุดท้ายกลับเป็นชายชราเองที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง

“คุณชอบตกปลามั้ย”

เม่าสายศรีษะแทนคำตอบ

“ผมเองก็ตกปลาไม่เป็นเหมือนกัน แต่ผมชอบดูคนอื่นตกปลานะ ยิ่งตกปลาแข่งกันยิ่งชอบดู เพราะผมว่าเกมตกปลาเป็นเกมแห่งความอดทน” ชายชราเล่าในสิ่งที่เม่าไม่ได้สนใจอยากจะฟัง

“คุณเห็นเรือสองลำที่จอดตกปลาอยู่นั่นไหม คุณคิดว่าระหว่างเรือลำสีแดงกับสีน้ำเงิน ลำไหนน่าจะตกปลาเก่งกว่ากัน” ชายชราตั้งคำถาม

เม่าหันไปดูเรือทั้งสองลำ พินิจพิเคราะห์อยู่สักพัก ก่อนเลือกคำตอบ

“ลำสีแดง”

“ทำไมคิดอย่างนั้นหละ” ชายชราถามต่อทันทีที่ได้ยินคำตอบ

“ไม่รู้สิ … ท่าทางของพวกเขาดูทะมัดทะแมงกว่า การวางคันเบ็ดก็ดูเหมือนเป็นระบบ ผมว่าเขามีแบบแผนนะ ไม่เหมือนลำสีน้ำเงินที่วางกันสะเปะสะปะ แล้วดูสิมีเล่นหยอกล้อกันด้วย ในขณะที่เรือลำสีแดงนั่งเสียบหูฟังเพลงแล้วเงียบกันหมด”

“เหรอ … มีอะไรอีกมั้ยที่ทำให้เธอเชื่ออย่างนั้น” ดูเหมือนชายชราจะยังไม่ยอมรับในคำตอบของเขา

“อุปกรณ์ … ใช่ คุณดูอุปกรณ์ของเรือสองลำสิ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ลำสีแดงดูเป็นมืออาชีพมากกว่าเยอะเลย”

“งั้นเราไปพิสูจน์กัน” ชายชราค่อยๆแล่นเรือเข้าไปใกล้เรือท้ังสองลำที่จอดตกปลาอยู่ เม่าส่งเสียงทักทายคนที่อยู่ในเรือ แล้วค่อยๆเลียบเคียงถามถึงจำนวนปลาที่แต่ละลำตกได้

“เป็นไงผมตอบถูกใช่มั้ย” เม่ายิ้มสีหน้าภูมิใจ ชายชรานิ่งไม่โต้ตอบอะไร เม่าได้ทีเลยพูดต่อ “มืออาชีพต่างกันเสียขนาดน้ัน เรือลำสีน้ำเงินตกเป็นชั่วโมงยังได้ปลาไม่ถึง 3 ตัวเลย”

“ทำอะไรเล่นๆ ก็แบบนี้แหละ จะไปหวังผลลัพธ์เท่าคนที่เขาตั้งใจได้ยังไงจริงมั้ย” เสียงของชายชราดูเรียบและธรรมดา แต่เม่ารู้สึกได้ทันทีว่า ชายชราไม่ได้พูดถึงเรื่องตกปลา

“คุณกำลังจะบอกว่า ที่ผมขาดทุน เพราะผม ‘เล่น’ หุ้น ใช่ไหม” เม่าสรุปความ

“ไม่ธรรมดา!” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงน่าหมั่นไส้

“แล้วมันต่างกันยังไง” เม่าถาม

“คิดสิ” ชายชราสวนกลับทันควัน

“ถ้าคิดออกผมคงไม่ขาดทุนหรอก”

“ยอมแพ้ง่ายแบบนี้ เป็นนักลงทุนยากนะ” ชายชราพูดตอบโดยไม่มอง เพราะกำลังสาละวนอยู่กับการจอดเรือเทียบท่า

เม่าพยายามคิดหาคำตอบ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก หันไปมองชายชราที่กำลังทยอยเก็บอุปกรณ์ลงในกระเป๋าสัมภาระ

“ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับปลาเลย แล้วจะตกปลาได้ยังไง”

“คุณกำลังจะบอกว่า ที่ผมขาดทุน เพราะผมไม่รู้เรื่องหุ้นเลยใช่ไหม”

“อ่ะ! … ฉลาดครั้งที่สอง”

“คุณรู้อะไรหรือเปล่า ผมเสียเงินเรียนคอร์สหุ้นตั้งสองสามแสน เรียนตั้งห้าวัน ทำไมผมจะไม่รู้เรื่องหุ้น” เม่าสวนชายชรากลับไปอย่างมีอารมณ์

“คุณว่าเรียนกับรู้มันต่างกันไหมหละ” ชายชราตั้งคำถาม

เม่าน่ิงไปชั่วขณะ สิ่งที่ชายชราพูด คือ สิ่งที่เขาไม่เคยคิด เขาเดินสายเรียนคอร์สสัมมนาหุ้นตั้งหลายคอร์ส แต่สุดท้ายพอซื้อหุ้นก็ขาดทุน หรือทั้งหมดที่เขาทำไปนั้นแค่ได้เรียน แต่ยังไม่เคยรู้

“แค่มีเงินซื้อหุ้น เธอก็ได้แค่หุ้น แต่นั่นอาจไม่ใช่การลงทุนก็ได้นะ เพราะถ้าการลงทุนมันง่ายเสียขนาดนั้น ทุกคนในโลกที่มีเงินก็เป็นนักลงทุนกันหมดแล้วสิ”

เม่ารู้สึกเหมือนถูกฟาดศรีษะอย่างแรง หลังจากคอร์สสัมมนา เขาคิดเสมอว่าการลงทุนและการสร้างความร่ำรวยเป็นเรื่องง่าย ซึ่งก็จริงอย่างที่ชายชราพูด ถ้าการลงทุนมันง่ายแค่ใช้เงินซื้อ ป่านนี้ทุกคนก็คงจะรวยเพราะการลงทุนไปหมดแล้ว

“ที่ผ่านมาคุณยังไม่ได้ลงทุนอะไรเลย การลงทุนเป็นกิจกรรมที่อาศัยความรู้ความเข้าใจ มีกระบวนการที่ชัดเจน และมีแผนการลงทุนที่เป็นรูปธรรม แต่คุณไม่มีอะไรเลย คุณมันก็แค่คนเล่นหุ้น คุณมันก็แค่นักลงทุนระดับมั่ว ที่ใช้แค่ปากกับหู มีปากไว้คอยถามว่าลงทุนอะไรดี มีหูไว้คอยเชื่อแล้วก็ทำตาม ไม่ได้คิด ไม่ได้ทำอะไรเพื่อพัฒนาตัวเองให้เป็นนักลงทุนที่ดีเลย สุดท้ายคุณก็ได้แค่ร่วมสนุก แต่ไม่มีทางร่ำรวยจากหุ้นได้”

เม่านิ่งไม่พูดอะไร เขาค่อยๆ คิดและซึมซับสิ่งที่ชายชราพูดอย่างช้าๆ จริงของชายชรา เขาไ่ม่รู้อะไรเกี่ยวกับหุ้นที่เขาซื้อเลยจริงๆ เขาแค่ซื้อ แล้วก็ภาวนาว่ามันจะขึ้น เมื่อขึ้นแล้วก็ขาย ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆ

วินาทีนั้น ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในสมอง

“คุณช่วยสอนผมลงทุนหน่อยได้ไหม” เม่ารวบรวมความกล้าเอ่ยปากขอร้อง

กว่าที่เขาจะรู้ตัว ชายชราก็หายไปจากเรือลำนั้นแล้ว

เหลือทิ้งไว้แค่กระดาษแผ่นหนึ่งใจความว่า “พรุ่งนี้ 10 โมง ไปพบฉันที่ร้านกาแฟ … ในห้างริชชี”



ตอนที่ 3: กฎข้อที่ 1

เช้าวันถัดมา เม่าเดินทางไปพบกับชายชราตามเวลานัดหมาย ร้านกาแฟร้านดังที่ใครก็รู้จัก ไม่ใช่อะไรที่หายากเย็นนัก ยิ่งในห้างใหญ่แบบนี้ รับประกันได้เลยว่าต้องมีร้านกาแฟยี่ห้อนี่อย่างแน่นอน

ผู้เป็นว่าที่อาจารย์มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เม่ากวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่เห็นเขาเตรียมอะไรติดตัวมาเลย ด้านซ้ายมือของเขาดูเหมือนจะเป็นโกโก้ร้อน เพราะดูได้จากสีสันที่เข้มกว่ากาแฟใส่นมทั่วไป

“สั่งอะไรดื่มก่อนดีมั๊ยแล้วค่อยคุยกัน” ชายชราเอ่ยปากถาม

ผ่านไปไม่ถึงห้านาที เม่านั่งลงที่โต๊ะพร้อมเครื่องดื่ม เขาวางสมุดโน๊ต ปากกา และแท็บเล็ตไว้ด้านขวามือของตัวเอง

“เราเริ่มเรียนกันเลยมั๊ยครับ” เม่าเริ่มการสนทนา

“ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลยนะ” ชายชราถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร

“ผมชื่อเม่าครับ เป็นนักลงทุน”

เม่านิ่งไปสักพัก รู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดๆกับคำตอบตัวเอง คำแนะนำตัวข้างต้น เป็นคำแนะนำที่ติดปากเขาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เวลาใครถามว่าทำงานอะไร เขาก็จะตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจเสมอว่า เขาเป็นนักลงทุน

“แล้วคุณละครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”

“เรียกฉันว่า ‘อังเคิลริช’ ก็แล้วกัน” ชายชราตอบพร้อมรอยยิ้ม

“อังเคิลริชครับ วันนี้เราจะเรียนอะไรกันดีครับ” เม่าถามด้วยความกระหายใคร่รู้

“ใจเย็นพ่อหนุ่ม ก่อนจะเร่ิมสอน ฉันอยากฟังเรื่องราวการลงทุนของเธอ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั๊ย”

แม้จะเป็นเรื่องที่เขาอยากจะลืม แต่เพื่อแลกกับความรู้ที่ถูกต้อง เม่าค่อยๆอธิบายที่มาความเป็นไปของการลงทุนอย่างละเอียดโดยไม่ปิดบัง ต้องยอมรับว่า การเล่าความผิดพลาดให้คนอื่นฟังนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เพราะโลกนี้ไม่มีใครอยากถูกมองว่าเป็นคนโง่ แต่ก็น่าแปลกที่เม่ารู้สึกว่าชายชราคนนี้ เป็นคนที่เขาสามารถเล่าเรื่องความผิดพลาดให้ฟังได้ โดยไม่รู้สึกอายหรือเป็นกังวล

“เงินหายไป 300,000 บาท ภายในเวลาแค่ 4 เดือน เธอได้เรียนรู้อะไรบ้างหละ” อังเคิลริชตั้งคำถาม

เป็นครั้งแรกที่มีคนถามคำถามนี้กับเขา เม่าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน สิ่งที่เขาจำได้มีอยู่อย่างเดียว นั่นคือ เขาสูญเสียเงินไปมากกับการลงทุนครั้งนี้ และไม่อยากจะเป็นอย่างนั้นอีก เขาครุ่นคิดเงียบๆอยู่พักหนึ่ง ก่อนเรียบเรียงเป็นบทสรุปที่น่าสนใจ

“การลงทุนที่ขาดความรู้ความเข้าใจที่ดีพอ จะทำให้เราสูญเสีย ทั้งจากความโลภ และความกลัว”

บรรยากาศเงียบไปสักครู่ใหญ่ จนเม่าเริ่มสังสัยว่าบทเรียนที่เขาสรุปไปเมื่อครู่อาจยังไม่ดีพอ

“เธอขาดทุน … เพราะเธอละเมิดกฎการลงทุนข้อที่ 1” ชายชราแสดงความเห็นโดยไม่เงยหน้า

“อะไรนะครับ” เม่าแสดงความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาในทันใด

“การลงทุนมีกฎที่สำคัญอยู่ 2 ข้อ ถ้าเธอยึดมั่นอยู่กับกฎทั้งสองนี้ เธอก็จะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย แต่ถ้าเธอละเมิด เธอก็จะต้องเจ็บตัวจากการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”


“ปกป้องเงินต้นอย่าให้สูญหาย … นี่นะเหรอกฎการลงทุน” เม่าทวนคำสอนพร้อมกับส่ายหัว

“คนส่วนใหญ่เดินเข้าตลาดหุ้น โดยหวังว่าจะทำเงินเป็นกอบเป็นกำจากตลาดด้วยกันทั้งนั้น พวกเขามองแต่ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ โดยลืมมองอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับเงินลงทุนของตัวเอง ดังนั้น การจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เธอต้องรู้จักวิธีที่จะปกป้องเงินลงทุนของตัวเองไม่ให้สูญหายก่อนเป็นอันดับแรก” อังเคิลริชอธิบาย

“การลงทุนโดยหวังแค่ไม่ให้เงินต้นหาย มันจะทำให้เรารวยได้เหรอครับ” เม่าถาม

“เอาอย่างนี้ งั้นฉันถามเธอในฐานะนักลงทุนหน่อยสิว่า ถ้าเธอลงทุนในหุ้น แล้วขาดทุนไป 50 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนครั้งต่อไปของเธอจะต้องให้ผลตอบแทนเท่าไหร่ เธอจึงจะได้เงินของเธอกลับคืนมาเต็มจำนวน” ชายชราตั้งคำถาม

“ก็ 50 เปอร์เซ็นต์ไง” เม่าตอบทันควัน

“คิดให้ดีสิ ใช้สมองตอบ อย่าใช้ปากตอบ” ชายชราทำเสียงดุ

เม่านิ่งครุ่นคิดอยู่สักครู่ “เฮ้ย …​ 100 เปอร์เซ็นต์นี่หน่า ถ้าเงินหายไปครึ่งหนึ่ง เราต้องสร้างผลตอบแทนใหม่เป็นเท่าตัวของเงินที่เหลือ เพื่อให้เงินที่ลงทุนไปทั้งหมดกลับคืนมาเท่าทุนเหมือนเดิม” เม่าเริ่มตาสว่าง


“ตอนที่เงินของเธอหายไป 30 เปอร์เซ็นต์ เธอรู้สึกยังไง”

“รู้สึกตกใจ ที่ความรู้ของผมไม่สามารถทำเงินให้ผมได้ แถมยังทำให้ต้องเสียเงินอีก แล้วก็รู้สึกเสียดาย ที่เงินซึ่งอุตสาห์เก็บหอมรอมริบมา ต้องหายไปในเวลาอันรวดเร็ว” เม่าตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เคยรู้สึกอยากได้เงินคืนไหม”

“แน่นอนครับ อยากได้คืนให้เร็วที่สุดด้วย”

“ถ้าเธออยากได้เงินที่หายไป 30 เปอร์เซ็นต์คืนกลับมา เธอต้องลงทุนเงินที่เหลือให้ได้ผลตอบแทนเท่าไหร่”

“42.8 เปอร์เซ็นต์”

คำตอบของตัวเอง ทำให้เขาได้คิด เม่าตระหนักดีว่า การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนระดับ 42.8 เปอร์เซ็นต์นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย

“เห็นหรือยังว่า การสูญเสียเงินต้นสร้างผลเสียต่อการลงทุนของเราอย่างไร” อังเคิลริชตั้งคำถามแบบไม่ต้องการคำตอบ

เม่าหยิบสมุดโน๊ตเล็กๆ ของเขาขึ้นมา บันทึกกฎการลงทุนสำคัญลงในหน้าแรกของสมุด

“กฎการลงทุน #1: ปกป้องเงินต้นอย่าให้สูญหาย”



ตอนที่ 4: กฎข้อที่สอง

ความเงียบทำให้เม่าได้ซึมซับกฎการลงทุนที่เพิ่งได้เรียนรู้ไป มันเป็นความรู้ใหม่ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน การที่คนเรานึกถึงความสูญเสียก่อนที่จะลงมือทำอะไร มันทำให้เกิดสติขึ้นมาอย่างประหลาด สี่เดือนที่ผ่านมา เขาแทบไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้

“คุณบอกว่าการลงทุนมีกฎอยู่สองข้อ แล้วกฎข้อที่ 2 ละครับ” เม่าถามต่อโดยไม่รอช้า

“เธอเข้าใจกฎข้อแรกดีแล้วใช่ไหม” อังเคิลริชเอ่ยปากถาม

เม่าเงียบสักครู่ ก่อนตอบ “คิดว่าเข้าใจแล้วนะครับ”

“ดี ถ้าเข้าใจกฎข้อแรกแล้ว กฎข้อที่ 2 ก็ไม่มีอะไรยาก” ชายชราตอบด้วยแววตามีเลศนัย


“รู้สึกเหมือนจะมีกฎอยู่ข้อเดียวเลยนะครับ แสดงว่าเรื่องการคุ้มครองเงินต้นสำหรับการลงทุนนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ” เม่าสรุป

“ถูกต้อง … เงินต้นสำคัญที่สุด ดังนั้นทุกขั้นตอนที่คิดและลงมือทำ ต้องเป็นไปเพื่อลดความเสี่ยง ให้เหลือน้อยที่สุด” อังเคิลริชอธิบาย

เม่าหยิบสมุดขึ้นมาจดกฎข้อที่ 2

“แล้วเราจะต้องทำยังไง ให้การลงทุนของเรามีความเสี่ยงน้อยที่สุดครับ เพราะถ้าเราลดความเสี่ยงได้ โอกาสที่เงินต้นจะหายก็จะลดลงไป”

“ก่อนจะไปถึงเรื่องลดความเสี่ยง เรามารู้จักความเสี่ยงกันหน่อยดีไหม … เม่า เธอคิดว่า ‘ความเสี่ยง’ นี่มันคืออะไรกัน” อังเคิลริชเปลี่ยนบทบาทเป็นคนถามบ้าง

เม่านิ่งไปครู่หนึ่ง นึกถึงความรู้ความเข้าใจเก่าๆที่เคยร่ำเรียนมา

“ความเสี่ยง (Risk) สำหรับการลงทุน คือ โอกาสที่ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง” เม่างัดตำราตอบ

“ยกตัวอย่างหน่อยสิ” อังเคิลริชทำหน้าสงสัย

“อย่างเช่นการเล่น … ไม่ใช่สิ อย่างเช่นการ ‘ลงทุน’ ในหุ้นไงครับ เราเลือกลงทุนกับหุ้นที่เราศึกษามาเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะขาดทุน หรือได้ผลตอบแทนมากกว่าที่คาดได้ด้วยปัจจัยอีกหลายอย่าง” เม่าตอบด้วยสีหน้ามั่นใจ

“อืม … ก็เป็นคำอธิบายที่ไม่เลวนะ วิชาการดีจัง แต่สำหรับฉัน ความเสี่ยง มันเป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายกว่านั้น” ชายชรายิ้มตาเป็นประกาย

“ยังไงครับ” เม่าแสดงความสนใจ

“โดยส่วนตัวฉันชอบนิยามความเสี่ยงของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนอันดับ 1 ของโลกนะ บัฟเฟต์อธิบายไว้ว่า …”


“ยังไงครับ ผมไม่เข้าใจ” เม่าตอบตามจริง

“เธอเรียนจบอะไรมาหละ” อังเคิลริชพยายามหาทางอธิบาย

“วิศวะโยธาครับ” เม่าตอบ

“ฉันสงสัยจังว่าในตลาดหลักทรัพย์มีคนอาชีพอื่นบ้างมั้ย” ชายชราพูดปนหัวเราะ

“ถ้าตอนเรียนปี 1 มีคนติดต่อให้เธอช่วยออกแบบอาคารสูงรูปทรงประหลาดที่ไม่เคยมีใครออกแบบมาก่อนในโลก โดยสัญญาว่าจะให้ค่าจ้างเธอ 10 ล้านบาททันทีที่แบบแล้วเสร็จ เธอจะรับทำงานให้มั้ย”

“ไม่ครับ” เม่าตอบทันที

“ทำไมหละ” ชายชราก็ยิ่งคำถามกลับทันควันเช่นกัน

“มันเสี่ยงมากนะครับ ที่เอาคนไม่รู้เรื่อง มาทำงานที่ต้องรับผิดชอบชีวิตผู้คนจำนวนมาก” เมาตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

ชายชรานิ่งเงียบไปสักครู่ เม่าหันไปสบตาผู้เป็นอาจารย์ ความเงียบของการสนทนา ทำให้เม่าเร่ิมคิดว่าสิ่งที่เขาตอบไปนั้นถูกหรือผิดอย่างไร

“อืม … แล้ววันนี้หละ ถ้ามีคนมาจ้างเธอ 10 ล้าน เพื่อออกแบบอาคารสูงหลังนั้น เธอจะว่ายังไง” อังเคิลริชยิงคำถาม

“ถ้ามีทีมงานเก่งๆร่วมงานด้วย ก็น่าลองรับงานดูครับ” เม่าตอบโดยไม่ต้องคิด

“อ้าว … ทำไมคราวนี้กล้ารับหละ”

“ผมเรียนมาตั้ง 4 ปี แถมยังผ่านงานอาคารสูงๆมาตั้งหลายสิบแห่ง แม้จะเป็นตึกที่ไม่เคยมีใครออกแบบมาก่อน แต่ด้วยประสบการณ์และทีมงานที่ดี ผมว่าแม้จะยาก แต่ก็น่าจะทำได้นะครับ”

“น่าเสี่ยงดูสักตั้งใช่มั๊ย” อังเคิลริชทำสีหน้าชี้ชวน

“ครับ น่าเสี่ยง” เม่าตอบ

การสนทนาเงียบลงไปชั่วขณะ จนบางสิ่งบางอย่างเริ่มตกผลึก … จริงสินะ อะไรที่เราไม่รู้ มันก็เสี่ยง แต่พอเราศึกษามัน เรียนรู้มัน เข้าใจมันมากขึ้น จากเรื่องที่เคยเสี่ยงก็ดูน่าเสี่ยงขึ้นมาทันที

“ดังนั้น ถ้าเราต้องการลดความเสี่ยงในการลงทุน เพื่อรักษาเงินต้นของเราไม่ให้ตกหล่นสูญหาย เราก็ต้องทำความรู้จัก และเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการลงทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” เม่าทบทวนความคิดแล้วสรุป

“ถูกต้อง … สำคัญคือ เราต้องรู้ว่า อะไรบ้างที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อให้การลงทุนของเราปลอดภัย จะได้นอนหลับสบาย”

“เกี่ยวอะไรกับนอนหลับสบายครับ” เม่างงในคำพูดวลีสุดท้าย

“เอาไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง วันนี้พอแค่นี้ ฉันมีธุระต้องไปทำสักหน่อย” ชายชราลุกขึ้นทันทีที่พูดจบ

เม่านั่งทบทวนกฎการลงทุนทั้งสองข้ออีกครั้ง ที่ผ่านมาการลงทุนของเขาไม่เคยคิดถึงการปกป้องเงินต้น ไม่เคยคิดถึงเรื่องความเสี่ยง และที่แย่ที่สุดก็คือ เขาไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่เขากำลังจ่ายเงินให้กับมันอยู่นั้นมันคืออะไร

แม้จะเป็นเพียงบทเรียนเล็กๆ แต่สำหรับเม่าแล้ว มันเป็นการเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกดีมาก



ตอนที่ 5: รวยด้วยทบต้น

วันนี้เม่ามารอชายชราแต่เช้า เขาสั่งโกโก้ร้อนแบบที่อังเคิลริชดื่มเมื่อวานเตรียมไว้ให้ด้วยหนึ่งแก้ว และไม่ลืมที่จะหยิบบทเรียนที่ได้เรียนไปวันก่อนมาทบทวน

“มาแต่เช้าเลยนะ โอ้ … สั่งโกโก้ร้อนไว้ให้ซะด้วย ขอบคุณมากๆ” ผู้เป็นอาจารย์ทักทายอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นเครื่องดื่มถ้วยโปรดตั้งวางไว้พร้อม

“วันนี้เราจะเรียนอะไรกันดีครับ” เม่าทักด้วยสีหน้ากระตือรือร้น

“วันนี้ฉันไม่ค่อยอยากสอน แต่อยากชวนเธอเล่นเกมสักเกมหนึ่ง ลองดูมั๊ย” อังเคิลริชย้ิมตาเป็นประกาย

“ได้เลยครับ เกมอะไรครับ”

ชายชราล้วงกระเป๋าเสื้อ หยิบลูกเต๋าขึ้นมาหนึ่งลูก พร้อมอธิบายกติกา

“ฉันกับเธอผลัดกันทอยลูกเต๋าคนละตา ใครได้มากกว่าในตานั้นเป็นผู้ชนะ และจะได้รับเงิน 1 บาทจากผู้แพ้” ชายชราอธิบาย

เม่านั่งฟังกติกาแบบผ่านๆ คิดไกลเลยไปจากสิ่งที่อังเคิลริชเล่า เพราะเขายังไม่รู้เลยว่า การทอยลูกเต๋าวันนี้จะให้บทเรียนอะไรดีดีกับเขาได้

“เราจะเล่นกัน 30 ตา โดยในแต่ละตา เงินรางวัลจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวไปเรื่อยๆ”

“ไม่น่ายาก ผมตกลงเล่นกับคุณ”​ เม่าสรุปความโดยไม่คิด

“เธอไหวจริงเหรอ” ชายชราทำหน้ามีเลศนัย

เม่านิ่งไปสักครู่ ทุกครั้งที่อังเคิลริชทำหน้าแบบนี้ มักเป็นช่วงเวลาที่เขาอยากให้เม่าคิด และไตร่ตรองอะไรสักอย่าง แต่ก็นั่นแหละ คราวนี้ไม่เห็นมีอะไรซับซ้อนซ่อนเร้น เม่าจึงตกปากรับคำ

“มาดูกัน สมมติว่าผมชนะเกมที่ 1 ผมได้เงินรางวัล 1 บาท ถูกต้องมั๊ย” อังเคิลริชทบทวนกติกา

“ถูกต้องครับ”

“แล้วถ้าคุณชนะเกมที่สองหละ ผมจะต้องจ่ายให้กับคุณเป็นเงินเท่าไหร่”

“ก็สองบาท” เม่านึกปรามาสในใจว่าคำถามง่ายๆแบบนี้เด็ก ป.1 ก็ตอบได้

อังเคิลริชวาดตารางอันหนึ่งลงในสมุดโน๊ตของเขา


เม่าพยักหน้าเห็นด้วย เพราะมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าคณิตศาสตร์ธรรมดาๆ

“ยังยืนยันที่จะสู้กับฉันในเกมที่ 30 หรือเปล่า” อังเคิลริชถามย้ำ

“แน่นอนครับ ไม่มีปัญหา”


“เฮ้ย … 524,288 บาทเลยเหรอ” เม่าอุทานด้วยความตกใจ

“นี่แค่รอบที่ 20 นะ ยังยืนยันจะแข่งกับฉันในเกมที่ 30 อยู่มั๊ย” ชายชราท้าทาย

เม่านิ่งไม่ตอบ เพราะเร่ิมจะเดาอะไรบางอย่างออกแล้ว ถึงตรงนี้อังเคิลริชหยุด แล้วส่งสมุดโน๊ตให้เม่าคำนวณต่อเอง


“พระเจ้า 5 ร้อยล้านเลยเหรอ อะไรมันจะขนาดนั้น” เม่าแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขามองตารางทั้งหมดอีกครั้งโดยละเอียด แต่ก็ไม่พบบรรทัดใดที่คำนวณผิด

“ผลลัพธ์ที่เธอเห็น คือ พลังของผลตอบแทนแบบทบต้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ใช่อะไรที่มหัศจรรย์” อังเคิลริชอธิบาย

“ไม่มหัศจรรย์ได้ยังไงครับ จากเงินบาทในเกมแรก กลายเป็น 500 ล้าน”

“ที่ยกตัวอย่างนี่เป็นอัตราผลตอบแทนแบบสุดโต่งไปสักนิด แต่ก็เพื่อให้เห็นภาพว่า พลังของผลตอบแทนทบต้นสามารถพาเธอไปสู่ความมั่งคั่งได้อย่างไร” ชายชราหยุดนิดหนึ่ง เหมือนตั้งใจรอคำถามจากเขา

“ในชีวิตจริงมีหรือเปล่าครับ” เม่าถามด้วยความสนใจ

“มีสิ มีการลงทุนตั้งหลายอย่างที่ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นได้” ชายชรายิ้ม

“ตลาดหุ้นทำได้อย่างนี้หรือเปล่าครับ”

“ได้สิ ถ้าเธอลงทุนเป็น อัตราผลตอบแทนทบต้น 10-15 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องที่สบายมาก ลองคิดดูสิว่าถ้าเธอลงทุนเงิน 1 ล้านในตลาดหุ้น ที่อัตราผลตอบแทนแบบทบต้น 10 เปอร์เซ็นต์ ผ่านไป 20 ปี เงินลงทุนของโตจะเติบโตขึ้นไปเป็นเท่าไหร่” ชายชราตั้งคำถาม

“ผมคำนวณไม่เป็นครับ”

ชายชราทำการดาวน์โหลด เปิดโปรแกรมคำนวณในแท็บเล็ต และสอนวิธีใช้งานให้กับเม่า

“6,727,500 บาท ไม่เลวเลยนะครับ” เม่าแอบยิ้ม

“แล้วถ้าผลตอบแทน 12 เปอร์เซ็นต์หละ” ชายชราตั้งโจทย์ใหม่ให้เม่า

“9,646,293 บาท” เม่าคำนวณอย่างคล่องแคล่วมากขึ้น

“14 ปีหลังมานี่ ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเกินปีละ 14 เปอร์เซ็นต์เสียด้วยสิ” อังเคิลริชเริ่มสนุกด้วย

“13,743,489 บาท”

เม่ามองตัวเลขบนแท็บเล็ตแล้วนิ่งเงียบไปสักครู่ คิดทบทวนไปมา ด้วยอัตราผลตอบแทนแบบทบต้น มันทำให้เขาเริ่มเห็นหนทางที่จะร่ำรวยได้จริง ความร่ำรวยที่เขาเคยฝันไว้ มันทำได้จริงๆ

“เธอรวยได้ และรวยแน่ ถ้าเธอทำตามในสิ่งที่ฉันสอน” อังเคิลริชเอ่ยขึ้นมาเหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“อัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกันเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผลลัพธ์แตกต่างกันขนาดนี้เลยเหรอครับ”​ เม่าถาม

“เธอก็เห็นอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นต้องให้ฉันตอบเลย” ชายชราพูดพลางจิบโกโก้ที่เริ่มเย็น

“ดูแล้วไม่ยากเลยนะครับ” เม่ายิ้ม

“ใช่ … มันเรียบง่าย แต่มันไม่ง่ายอย่างที่เห็นหรอก”

สิ่งที่ชายชราพูดกระตุกต่อมความฝันของเขาและทำให้สติกลับมาอยู่ในร้านกาแฟอีกครั้ง

“ทำไมละครับ”

“ก็อย่างที่ฉันบอก มันเรียบง่าย แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำกันได้ ถ้าหากไร้ซึ่งความรู้ วินัย และนิสัยของการเป็นคนรวย”

อังเคิลริชหยิบสมุดโน๊ตของเม่าไป พร้อมกับตั้งใจวาดภาพๆหนึ่งอยู่นานสองนาน ภาพดังกล่าวเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนหัวตั้งดังรูป

“การลงทุนในหุ้น เธอจำเป็นจะต้องมีเงินลงทุนจำนวนหนึ่งจริงมั๊ย คำถามคือ เธอจะเงินนั้นมาจากไหน” ชายชราตั้งคำถามอีกครั้ง

“เก็บออมไงครับ” เม่าตอบไปตามสิ่งที่เขาทำ

“นั่นคือข้อดีของเธอ คนจะรวยจะรู้จักเก็บออมเงินที่หามาได้ และเอาเงินออมที่สะสมได้นั้นไปลงทุนในทรัพย์สินเพื่อสร้างรายได้ แล้วค่อยเอารายได้ที่ว่านี้ไปจับจ่ายใช้สอยทีหลัง” อังเคิลริชพูดพลางชี้ไปยังครึ่งบนของสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน

“แล้วคนจนละครับ” เม่าถามด้วยอดใจรอไม่ไหว

“คนจนนั้นตรงกันข้าม พวกเขาหมดเงินที่หามาได้ไปกับการบริโภค จ่ายโน่น จ่ายนี้ เต็มไปหมด เหลือติดกระเป๋าเท่าไหร่ ถึงเริ่มคิดถึงเรื่องการลงทุน” อังเคิลริชชี้ด้านล่างของขนมเปียกปูน

“คนรวยคิดถึงการลงทุนก่อนการบริโภค ในขณะที่คนจนทำในสิ่งตรงกันข้าม”

“คนรวยอดทนรอคอยความสำเร็จได้ ในขณะที่คนจนทำในสิ่งตรงกันข้าม”

“คนรวยมีระเบียบวินัยในการออมและลงทุน ในขณะที่คนจนทำในสิ่งตรงกันข้าม” เม่าสรุปเป็นบทเรียนของตัวเองในวันนี้

“ยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอต้องเรียนรู้นะพ่อหนุ่ม ผลตอบแทนแบบทบต้นเป็นเหมือนดาบสองคม คนใช้เป็นก็จะรวยง่าย รวยแน่ แต่ถ้าใช้ทางผิด ก็จนง่าย และจนแน่เช่นกัน”

รวยง่าย รวยแน่ แค่ลงทุนเป็น … เม่านั่งท่องประโยคนี้อยู่ทั้งวัน



ตอนที่ 6: คำสัญญา

วันนี้เป็นวันที่สามของการเรียน แต่เป็นวันแรกที่อังเคิลริชติดอุปกรณ์การสอนมาด้วย มันเป็นกระดาษหนึ่งแผ่นที่วางคว่ำหน้าอยู่ และชวนให้เม่าสงสัยว่ากระดาษแผ่นนั้นมันคืออะไรกันแน่

โกโก้ร้อนถูกจัดเตรียมไว้พร้อม รอเสิร์ฟให้ผู้เป็นอาจารย์

“ค่าเรียนของเธอไม่แพงเลย ว่ามั๊ย” อังเคิลริชหยอกเม่าก่อนเข้าบทเรียน

แม้จะเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมา จนเขาสะอึก แต่เม่าเองก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเทียบกันกับคอร์สราคาหลักแสน หลายคอร์สที่เขาเรียนผ่านมา

“ทำไมเธอถึงอยากเป็นนักลงทุน” ชายชราเริ่มบทเรียนของวันนี้

“อยากรวยครับ อยากมีฐานะทางการเงินที่ดีและสุขสบายครับ” เม่าตอบตามตรง ไม่อ้อมค้อม

“ดี … แล้วเธอคิดว่าเป็นนักลงทุน ง่ายหรือเปล่า”

“น่าจะไม่ยากนะครับ เพราะก็ยังมีคนรวยใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอด แต่ก็คงไม่ถึงกับง่าย ไม่งั้นทุกคนก็คงรวยกันหมดแล้ว”

อังเคิลริชผงกศรีษะ แอบชื่นชมในคำตอบของผู้เป็นลูกศิษย์

“โอเค ก่อนที่เราจะเรียนกันลึกของไปในรายละเอียด ฉันอยากให้เธอสัญญาอะไรบางอย่างกับฉันก่อน” ชายชราเอื้อมไปหยิบกระดาษที่วางอยู่ข้างๆ พร้อมกับยื่นให้เม่า

“อ่านให้ละเอียด ทำความเข้าใจให้ดี ถ้าเธอตกลง เราจะเรียนกันต่อ”

เม่าเองไม่ได้มีข้อติดขัดอะไร เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะเรียนเรื่องการลงทุนจากอังเคิลริชให้ได้ ดังนั้นไม่ว่ากติกาจะยากแค่ไหน เขาก็ยังยืนยันจะเรียนอยู่ดี

เขาค่อยก้มหน้าอ่านเอกสารที่ได้รับ แม้จะมีบางข้อที่ดูเหมือนเป็นการบังคับและขัดใจอยู่บ้าง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ไม่งั้นอังเคิลริชคงไม่ตั้งเป็นกติกา


เม่ายังคงนั่งขมวดคิ้ว อ่านทีละข้อพร้อมกับพยายามทำความเข้าใจ

“มีข้อไหนทำไม่ได้หรือเปล่า”​ อังเคิลริชถามทำลายความเงียบ

“ดูเหมือนไม่ยากนะครับ เรื่องศึกษาให้ดีก่อนลงทุน ผมเข้าใจ แต่ที่สงสัยคือ ทำไมเราไม่ดูราคาหุ้นทุกวัน ทำไมต้องรอให้ถึง 3 เดือน” เม่าเอ่ย

“ฉันเขียนอย่างนั้นเหรอ” ชายชราย้อนถาม

เม่าอ่านทบทวนอีกครั้ง และพบว่าตัวเองเขาใจผิด อังเคิลริชขอให้เขาสัญญาว่าจะติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท ไม่ใช่ราคาหุ้นอย่างที่เขาเข้าใจ

“แล้วเราควรดูราคาหุ้นทุกวันมั๊ยครับ”

“ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงชอบดูราคาหุ้นกันจัง เห็นดูกันทุกวันเลย ดูแล้วก็ตัดสินใจทำอะไรผิดพลาด เพราะความโลภและความกลัวทุกที” ชายชราร่ายยาว

สิ่งที่อังเคิลริชพูด ทำให้เม่าสะอึกไปเล็กน้อย เพราะที่ผ่านมาเขาแทบจะเปิดแทบเล็ตเพื่อดูราคาหุ้นตลอดเวลา จนไม่เป็นอันทำอะไร และสุดท้ายก็จริงอย่างที่อังเคิลริชว่า เขาตัดสินใจโง่ๆ ด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่า เพราะเฝ้าดูราคาหุ้น

“ผมสัญญาครับว่าจะทำตามที่ระบุไว้ทุกข้อ” เม่าเอ่ยปากด้วยสีหน้ามุ่งมั่น หลังจากเงียบอยู่นาน

“อืม … ถ้าคิดว่าทำได้ ก็ปฏิญาณให้ฉันฟังหน่อยสิ” อังเคิลริชยิ้มตาเป็นประกาย

เม่าทำหน้าเหรอหรา “อะไรนะ! ตอนนี้เลยเหรอครับ ในร้านกาแฟเนี่ยนะ”

“ก็ถ้ามั่นใจว่าทำได้ และจะทำแน่” ชายชราพูดพลางหันมองไปนอกร้าน

แม้จะอายอยู่บ้าง แต่เม่าก็ค่อยๆอ่านประกาศในมือด้วยน้ำเสียงเรียบและมีสติ เขาอ่านช้าๆ เหมือนจะพยายามซึมซับกติกาการลงทุนสำคัญเหล่านั้นผ่านสมองลงไปสู่ใจและจิตใต้สำนึก

เขาประกาศกับอังเคิลริชว่า เขาจะออมเงินเดือนละ 10,000 บาท เพื่อนำมาลงทุน และจะให้เวลากับการศึกษาเรื่องการลงทุนสัปดาห์ละ 5 ชั่วโมง

ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่เขาให้คำสัญญาด้วยความมุ่งมั่นไปกว่าวันนี้อีกแล้ว เมื่ออ่านจบเขายื่นมือออกไปต่อหน้าชายชราผู้เป็นอาจารย์

ชายชรายื่นมือไปจับ จ้องตาของเม่าเขม็ง พร้อมกับพูดว่า

“ถ้าเธอทำได้ เธอก็รวยได้ และรวยแน่ ฉันรับรอง”

* เม่าตั้งปฏิธานที่จะเป็นนักลงทุนที่ดีแล้ว ทีนี้ถึงตาของคุณบ้าง




ตอนที่ 7: ซื้อหุ้น = ลงทุนกิจการ

เม่าตั้งใจค่อยๆ จดข้อความในคำประกาศไว้ในสมุดโน๊ตที่ตอนนี้สะสมแนวคิดการลงทุนที่เขาได้เรียนจากอังเคิลริชไว้ไม่น้อย ทั้งกฎการลงทุน แนวคิดเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนแบบทบต้น และคำมั่นสัญญาสำหรับการเป็นนักลงทุนที่ดีในวันนี้

“เล่าเรื่องหุ้นตัวแรกที่เธอซื้อให้ฉันฟังหน่อยสิ” อังเคิชริชเอ่ยถาม เมื่อเห็นเขาเงยหน้าจากสมุดโน๊ต

“หุ้น AAA ครับ”

“มันทำธุรกิจอะไร แล้วทำไมเธอถึงซื้อมัน”

“บริษัทไอทีครับ ผมซื้อเพราะได้ยินว่าธุรกิจมันกำลังเติบโต และที่สำคัญตอนนั้นราคามันกำลังขึ้น”

“เธอมีเหตุผลในการซื้อที่ดีกว่านี้มั้ย” อังเคิลริชมองหน้าเขาด้วยแววตาจริงจัง

เม่านิ่งไปสักครู่ใหญ่ นึกถึงเหตุการณ์วันนั้น ภาพของราคาหุ้น AAA ที่เขยิบขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เปิดตลาด ทำให้เขาตัดสินใจส่งคำสั่งซื้อไป ทั้งที่ยังไม่รู้จักหุ้นตัวนี้ดีเลย

“ผมยอมรับว่าวันนั้นผมตัดสินใจซื้อเพราะราคามันกำลังขึ้นเพียงอย่างเดียวครับ” เม่ายืนยันคำตอบ

“แล้วเธอเคยซื้อรถยนต์ หรือโทรศัพท์มือถือตอนราคามันกำลังขึ้นหรือเปล่า การที่ของสักอย่างราคาขึ้น มันเป็นการบอกเราอย่างนั้นหรือ ว่าของสิ่งนั้นเป็นของที่ดี หรือคุ้มค่ากับเงินที่เรากำลังจะจ่ายไป” ชายชราถามด้วยน้ำเสียงเย็นเรียบ

“ไม่มีทาง ของแพงขนาดนั้น ยังไงก็ต้องดูให้ละเอียด” เม่าตอบ แล้วก็อึ้งไปเอง

“เพื่อนๆของเธอหลายคน เวลาจะตัดสินใจซื้อแพคเกจมือถือ หรือแม้กระทั่งผงซักฟอก แทบจะเอาจำนวนนาที หรือไม่ก็เอาน้ำหนักมาเปรียบเทียบกันทุกแบบ ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ กว่าจะตัดสินใจซื้อได้ ทั้งค้นหาข้อมูลจากเว็บ ดูฉลากข้างถุงผลิตภัณฑ์ กว่าจะเลือกของที่คิดว่าคุ้มค่าที่สุดได้

พวกเขาใส่ใจการใช้จ่ายเงินที่หามาได้ แต่ไม่ใส่ใจกับการใช้จ่ายเงินที่พวกเขาสู้อุตสาห์เก็บหอมรอมริบมาตั้งนาน พวกเขาเอาเป็นเอาตายกับแพคเกจมือถือและผงซักฟอกที่ถูกและประหยัดที่สุด แต่น่าแปลกที่เพื่อนๆของเธอไม่ทำอย่างนั้นกับการเลือกลงทุนในหุ้น”

“เพื่อนของผม”​ เม่าทำหน้าสงสัย

“ก็แมงเม่าทั้งหลายไง” ชายชรายิ้มด้วยสีหน้าเฉือดเฉือน

เม่านิ่งอึ้งไป เขาค่อยๆทบทวนและถามตัวเอง บรรยากาศในร้านกาแฟชื่อดังตอนนี้เงียบสงัด เขารู้สึกเหมือนทั้งห้องมืดสนิทไปหมด เหลือแต่แสงไฟที่ส่องมายังตัวเขาเพียงจุดเดียว

“หุ้น คือ ธุรกิจ ทุกครั้งที่ฉันจะลงทุน ฉันคิดเสมอว่า ฉันไม่ได้ซื้อหุ้น ฉันลงทุนในกิจการที่ฉันต้องการเป็นเจ้าของ”

และเมื่อฉันซื้อหุ้นแล้ว ฉันคือเจ้าของกิจการคนหนึ่ง” ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

แม้จะยังไม่เข้าใจ เม่ารีบคว้าสมุดโน๊ตขึ้นมาจดคำที่อังเคิลริชพูด เขาเช่ือว่ามันต้องสำคัญอย่างแน่นอน มิฉะนั้นผู้เป็นอาจารย์คงไม่เน้นย้ำขนาดนั้น


“มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เธอจะซื้อหุ้นสักตัวเพื่อลงทุน ทั้งที่เธอยังไม่รู้ลึกซึ้งว่า พวกเขาทำธุรกิจอะไร กิจการนั้นเป็นกิจการที่ดีหรือไม่ ผลการดำเนินงานในอดีตที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร และวันข้างหน้าธุรกิจนี้จะเดินไปอย่างไร” ผู้เป็นอาจารย์พูดย้ำและเน้นคำทุกคำที่พูดออกมา

“นี่คือเหตุผลที่คุณบอกว่าผมแค่เล่นหุ้น แต่ยังไม่ได้เป็นนักลงทุนใช่มั๊ยครับ” เม่าทวนคำที่ชายชราเคยกล่าวกับเขาไว้

ชายชรานิ่งไม่ตอบ แต่รอยย้ิมเล็กๆที่มุมปากของผู้เป็นอาจารย์ก็ทำให้เม่าแอบอุ่นใจกับบทสรุปของตัวเอง

“แค่เธอตอบไม่ได้ว่า เธอซื้อหุ้นตัวนั้นเพราะอะไร มันก็ผิดแล้ว เธอยังจำได้มั๊ยว่า การทำอะไรด้วยความไม่รู้ มันหมายถึงอะไร”

“หมายถึงผมกำลังอยู่กับการลงทุนที่เสี่ยง”

ชายชรายิ้มชื่นชมในความช่างจดช่างจำ และนำสิ่งที่เคยบอกเล่ามาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี

“เมื่อเธอไม่รู้อะไรเลย มันก็เสี่ยง และความเสี่ยงอันเนื่องมาจากความไม่รู้นี่แหละที่อันตรายมาก เพราะมันจะทำให้เธอเป็นทุกข์กับการลงทุน เธอจะอดรนทนไม่ได้กับความผันผวนของราคาหุ้นซึ่งเกิดขึ้นทุกวินาทีที่ตลาดเปิดทำการ ถ้าเธอไม่รู้จักกิจการของเธอดีพอ ราคาขึ้นเธอก็จะตื่นเต้นเพราะโลภ ราคาลงเธอก็จะตื่นเต้นเพราะกลัว แบบนี้นอกจากจะลงทุนไม่รวยแล้ว ยังนอนหลับไม่สบายอีกด้วยนะ”

“แสดงว่า ‘ราคา’ ไม่ใช่สิ่งสำคัญในการลงทุน” เม่าพยายามจะสรุปประเด็น

“ฉันพูดอย่างนั้นเหรอ”

เม่านิ่งไปสักครู่ เขายอมรับว่าเริ่มสับสน เพราะสิ่งที่เขาเรียนมาในคอร์สสัมมนาที่ผ่านมา กับสิ่งที่กำลังเรียนกับอังเคิลริชนั้นขัดแย้งกันอย่างรุนแรง”

“ไม่ใช่ว่า ‘ราคา’ ไม่สำคัญ แต่มันคือสิ่งสุดท้ายที่เราจะพิจารณา” ชายชราค่อยๆขยายความช่วยลูกศิษย์ที่ตอนนี้ความสับสนแสดงออกทางสีหน้าและสายตาอย่างชัดเจน

แม้จะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่อังเคิลริชพูดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังแอบสับสนกับสองแนวคิดที่แตกต่าง

ชายชรามองดูลูกศิษย์ด้วยความเห็นใจ ก่อนเอ่ยปากสรุปบทเรียนสำคัญวันนี้

“ฉันซื้อหุ้นเหมือนลงทุนในธุรกิจ ฉันซื้อหุ้นโดยคิดว่าฉันเป็นเจ้าของกิจการนั้น และฉันเลือกลงทุนเฉพาะธุรกิจที่ฉันเข้าใจมันเป็นอย่างดี

ก่อนจะลงทุนเงิน ฉันจะลงทุนเวลาศึกษาธุรกิจนั้น ทั้งในอดีต และปัจจุบัน รวมไปถึงแผนการของธุรกิจในวันข้างหน้า เพราะฉันต้องการให้เงินของฉันอยู่กับธุรกิจที่ดีและมีอนาคต เพื่อจะมั่นใจได้ว่า การลงทุนในแต่ละครั้งจะทำให้ฉันนอนหลับสนิท ไม่ใช่เพราะรู้ว่าจะได้เงินแน่ๆ แต่เพราะฉันพอจะเข้าใจแล้วว่า มีโอกาสและความเสี่ยงอะไรบ้างที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของฉันในวันข้างหน้า และฉันจะรับมือกับมันอย่างไร”

“คำสัญญาข้อที่ 4” เม่าเริ่มนึกอะไรออก

“ความจำไม่สำคัญเท่าความคิดนะ ทำให้สิ่งที่เธอสัญญากับฉันกลายเป็นการกระทำทั้งหมดให้ได้ แล้วเธอจะประสบความสำเร็จในการลงทุน” ชายชรายิ้มให้กำลังลูกศิษย์

เม่าหยิบสมุดโน๊ตบันทึกสิ่งที่เขาประมวลได้จากคำสอนของอังเคิลริช …
ทุกครั้งที่ลงทุน ถามตัวเองเสมอว่า “ลงทุนแล้วนอนหลับสนิทมั๊ย”




ตอนที่ 8: ใช้สิ่งที่รู้ให้เป็นประโยชน์

วันนี้เม่าไม่มีนัดกับอังเคิลริช แต่มีการบ้านที่ได้รับมอบหมายให้ทำ เขาตื่นแต่เช้าเพื่อเสิร์ชหาข้อมูลบริษัท AAA หุ้นตัวแรกที่เขาซื้อ และใช้เวลาทั้งหมดในช่วงเช้า นั่งอ่านรายงานประจำปี *รายงาน 56-1 และ **กิจกรรม Opportunity Day ของบริษัทดังกล่าว

เม่าเทคโน๊ตสำคัญของบริษัทไว้ด้วย เขานั่งจดข้อมูลไปยิ้มไป เพราะยอมรับว่ามีหลายเรื่องที่เขาเพิ่งรู้เกี่ยวกับหุ้นตัวนี้ และก็ยังมีอีกหลายเรื่องในรายงานที่เขาอ่านไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใดนัก

เม่าหยิบรายการคำถามที่อังเคิลริชมอบหมายไว้ให้ขึ้นมาดู พร้อมตอบคำถามทีละข้อตามความเข้าใจของเขา

1) หุ้นที่เราสนใจมีธุรกิจอะไรอยู่บ้าง (1 บริษัท อาจมีมากกว่า 1 ธุรกิจ)

2) โครงสร้างรายได้ของธุรกิจเป็นอย่างไร (กำไร 100% มาจากแต่ละธุรกิจเท่าไหร่ อย่างไร)

3) โมเดลการทำกำไรของธุรกิจ คือ อะไร (ธุรกิจทำกำไรโดยวิธีใด)

4) มีคู่แข่งรายอื่นที่ผลิตสินค้าหรือให้บริการในแบบเดียวกันหรือไม่

5) ถ้ามีคู่แข่ง คนส่วนใหญ่เลือกใช้บริการของใคร เพราะอะไร และเหตุผลที่คนเลือกใช้สินค้าและบริการของบริษัทนั้นจะยั่งยืนยาวนานอีกแค่ไหน

ขณะนั่งทำการบ้าน เม่าเผลอใจลอยนึกถึงการสนทนาของเขากับอังเคิลริช
………………………………………………………………………………………………..

“เธอลงทุนในหุ้นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บ้างหรือเปล่า” อยู่ดีๆ อังเคิลริชก็ถามโพล่งขึ้นมา

“เปล่าครับ มีอะไรเหรอครับ” เม่าถามกลับ

“บริษัทที่เธอทำงานอยู่เป็นยังไงบ้าง” ชายชราถามกลับเป็นคำตอบ

“ดีมากเลยครับ ปีนี้บริษัทกำไรเติบโตดีมาก จะว่าไปเราเติบโตประมาณ 15% มา 3 ปีติดต่อกันแล้ว ผู้บริหารคาดว่าอีกไม่นานเราน่าจะครองตลาดเป็นอันดับ 1 ครับ” เม่าอธิบายถึงบริษัทตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ

“อืม … ไม่ธรรมดา ทำไมผู้บริหารถึงคิดว่าจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ได้หละ” ชายชราซักต่อ

“ผมว่าการตลาดที่เจาะกลุ่มคนระดับกลางถึงล่าง ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ รวมไปถึงความน่าเชื่อของบริษัท และที่สำคัญคือ เรามีการบริหารต้นทุนที่ดีมาก ต้นทุนการผลิตของเราต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ”

“แล้วด้านการเงินหละเป็นอย่างไร”

“ก็ดีเหมือนกันครับ มีหนี้อยู่บ้าง แต่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนก็ยังไม่ได้สูงมากนัก เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน”

“ถ้าอะไรๆก็ดีหมด แล้วทำไมเธอไม่ซื้อหุ้นบริษัทตัวเองหละ” อังเคิลริชโยนคำถามทิ้งระเบิดตูมเบ่อเร้อ

เม่าน่ิงเงียบไป ด้วยหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะอะไร

“เรื่องแปลกๆแบบนี้เกิดขึ้นเสมอในตลาดหุ้น หมอบางคนโยนเงินก้อนแรกลงไปในหุ้นธุรกิจพลังงานที่พวกเขาไม่เคยรู้จักและไม่เข้าใจ แทนที่จะเร่ิมต้นศึกษาการลงทุนจากธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจยา หรือประกันชีวิต ที่พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี”

“หมายความว่าคนเราควรเริ่มต้นลงทุนจากธุรกิจที่เราทำงานอยู่อย่างนั้นเหรอครับ” เม่าถามด้วยความสงสัย

“ฉันพูดอย่างนั้นเหรอ” ชายชราตอบโดยไม่มองหน้า

อาการของชายชราทำให้เม่าเป็นกังวล เขายอมรับว่าหลายครั้งเขาพูดหรือตอบอังเคิลริชแบบเร็วๆ โดยไม่ทันได้ไตร่ตรองโดยละเอียด

“การลงทุนเป็นกิจกรรมที่ต้องอาศัยทั้งความรู้และความชำนาญ ดังนั้นมันจึงอาจยากลำบากอยู่บ้าง หากต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ท้ังหมดในสิ่งที่เราจะลงทุน” ถึงตรงนี้อังเคิลริชเงียบเหมือนรออะไรสักอย่าง

“มันจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า หากเราเริ่มศึกษากิจการจากองค์ความรู้เดิมที่เรามี” เม่าพูดช้าๆ ด้วยเกรงว่าบทสรุปของเขาจะไม่ถูกต้องอีก

“เธอว่าจริงมั้ยหละ” ชายชราถามด้วยสีหน้ายิ้ม

เม่ายิ้มและนึกอะไรออกได้หลายอย่าง เพราะถ้าบริษัทของเขาเติบโตและประสบความสำเร็จ ธุรกิจต้นน้ำและปลายน้ำของกิจการของเขา ก็น่าจะพลอยได้รับผลดีไปด้วย

ไม่นานนักรายชื่อบริษัทซัพพลายเออร์และเอาท์ซอร์ท 2-3 ราย ก็ถูกจดลงในรายการหุ้นที่น่าสนใจสำหรับเขาทันที

“แล้วนอกจากงานที่เราทำอยู่ เราจะค้นหาหุ้นดีๆ เพื่อการลงทุนได้จากที่ไหนอีกบ้างครับ” เม่าถามซื่อๆ ด้วยความไม่รู้

“ก็ชีวิตประจำวันของเธอยังไงหละ อาหารที่เธอกิน สินค้าที่เธอซื้อ ร้านค้าที่เธอชอบ ร้านไหนที่มีลูกค้าเยอะๆ ร้านไหนที่ทำกำไรได้มาก เหล่านี้คือ จุดเริ่มต้นของการค้นหาการลงทุนที่ดีได้ทั้งสิ้น” ชายชราหยุดไปพักหนึ่งก่อนอธิบายต่อ

“เธอรู้อะไรมั้ย หลายครั้งคนธรรมดาอย่างเราๆ สามารถเข้าถึงการลงทุนดีๆ ได้ก่อนพวกผู้จัดการกองทุนหรือนักวิเคราะห์เสียอีก แค่เธอจะหัดเริ่มสนใจและต้ังคำถามว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ยาสระผม น้ำอัดลม บัตรเครดิต ซอฟท์แวร์ โทรศัพท์ บริการรับจ้างทำความสะอาด และอื่นๆที่เธอใช้บริการอยู่นั้น เป็นของบริษัทอะไร”

เม่าจดโน๊ตสำคัญลงทุนกระดาษ …


“แต่ทั้งหมดที่พูดมา ไม่ใช่ว่าเธอคุ้นเคยกับอะไร แล้วจะลงทุนมันได้ทันทีเลยนะ เพราะข้อมูลที่เราเห็นด้วยตาและความรู้สึกนิยมชมชอบชองเรานั้น มันเป็นแค่ประตูที่จะพาเราไปสู่การศึกษาโอกาสการลงทุนในเชิงที่ลึกมากขึ้นเท่านั้น” อังเคิลริชออกปากเตือนเม่าไม่ให้ใจร้อน

………………………………………………………………………………

หลังทำการบ้านเสร็จ เม่าเดินดูร้านค้าในห้างสรรพสินค้าตามคำแนะนำของอังเคิลริช เขาเดินทั่วทุกชั้น ดูร้านทุกคูหาที่ตั้งอยู่ในห้างนั้น แล้วเลือกจดชื่อร้านที่เขารู้สึกชอบและเชื่อว่าน่าจะเป็นกิจการที่ดี โดยไม่ต้องสนใจว่ากิจการนั้นอยู่ในตลาดหุ้นหรือไม่

เม่าสร้างลิสต์กิจการที่เขาสนใจไว้ 4-5 กิจการ แล้วก็เริ่มศึกษาและวิเคราะห์ธุรกิจโดยคำถามเบื้องต้น 5 ข้อ ที่อังเคิลริชแนะนำ

การฝึกทำการบ้านในแบบนี้ ทำให้เม่าได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมาก การทำงานซ้ำๆ ทำให้เขาเริ่มอ่านรายงานประจำปีและรายงาน 56-1 ได้เร็วขึ้น และรู้สึกสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ

เขานึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับอังเคิลริช


สำหรับเม่าตอนนี้ การลงทุนไม่ใช่อะไรที่น่าเบื่อหรือต้องทนทำ แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องสนุกของชีวิตเขาไปเสียแล้ว



หมายเหตุ

* แบบ 56-1 คือ แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ได้กำหนดให้บริษัทไทยที่มีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเรียกสั้นๆ ว่า บริษัทจดทะเบียน (Listed Company) ซึ่งขณะนี้ มีอยู่จำนวน 634 บริษัท ทำการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงินและผลการดำเนินงาน ภายใน 3 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี

** กิจกรรม “บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน” ( Opportunity Day ) จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้บริษัทจดทะเบียนได้ดำเนินกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์ โดยชี้แ จงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและการดำเนินงาน ของบริษัทฯ แก่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักลงทุน และสื่อมวลชนที่มาร่วมงาน โดย ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดจัดกิจกรรมในช่วงเวลา หลังการประกาศงบการเงินทุกๆ ไตรมาส

ดูกิจกรรม Opportunity Day บริษัทที่คุณสนใจ ได้ ที่นี่





ที่มา: Link

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)